• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

จิตอาสา พลังสร้างโลก

จิตอาสา พลังสร้างโลก (๔) การแพทย์ที่เน้นหัวใจของความเป็นมนุษย์


นักศึกษาแพทย์จะกรีดผ่าศพของเราผิดพลาดสักกี่ร้อยครั้งก็ไม่เป็นไร เราอนุญาตให้ทำได้เต็มที่แต่เมื่อจบไปเป็นแพทย์แล้ว ห้ามกรีดผ่าตัดใครผิดแม้แต่ครั้งเดียว

โรงเรียนสอนแพทย์ให้เป็นมนุษย์
วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ผมและคณะดูงานได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมกิจการของคณะแพทยศาสตร์ มูลนิธิฉือจี้ที่ฮวาเหลียน คณะแพทย์แห่งนี้เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี   พ.ศ. ๒๕๓๗ ผลิตแพทย์จบไปหลายรุ่นแล้ว อาคารคณะแพทย์ปลูกสร้างอย่างอลังการมั่นคงแข็งแรง มีบริเวณพื้นที่สีเขียวกว้างขวาง บริเวณไม่ไกลจากคณะแพทย์มากนักเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลขนาด ๑,๒๐๐ เตียง ก่อสร้างอย่างอลังการเช่นเดียวกัน ระหว่างคณะแพทย์และโรงพยาบาลเป็นที่ตั้งของอาคารมูลนิธิที่สวยงาม บริเวณโดยรอบมีประติมากรรมที่งดงามและให้ความหมายที่ดีประดับไว้หลายสิบชิ้น ภายในอาคารมูลนิธิมีห้องประชุมขนาดใหญ่ และมีพิพิธภัณฑ์งานของฉือจี้

คณะแพทยศาสตร์ก่อตั้งขึ้นตามภารกิจของฉือจี้ที่มุ่งช่วยเหลือผู้คนในทุกๆ ด้าน ด้านการแพทย์ก็เป็นด้านหนึ่งที่ฉือจี้ให้ความสำคัญ เพราะเป็นการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากอย่างแท้จริง ซึ่งศาสนาคริสต์ได้จัดกิจกรรมทำนองนี้มานานแล้ว ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนเล็งเห็นว่ามูลนิธิพุทธฉือจี้ก็ควรทำกิจกรรมด้านนี้ด้วย อันเป็นปณิธานของท่านมาตั้งแต่อดีตดังที่เคยเขียนถึงไปแล้ว ดังนั้น นอกจากก่อสร้างโรงพยาบาลเพื่อบริการชาวบ้านแล้ว ก็ถือโอกาสก่อตั้งสถานที่ผลิตแพทย์ที่เน้นปลูกฝังมิติของความเป็นมนุษย์และจิตวิญญาณควบคู่ไปกับองค์ความรู้ทางเทคนิค เพื่อให้ได้แพทย์ที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ โดยมีเป้าหมายให้ได้แพทย์ที่เก่งรักษาโรค รักษาใจ รักษาชีวิตของผู้คนเสมือนญาติ และทำหน้าที่โอบอุ้มโลกใบนี้ด้วย

คณะแพทย์แห่งนี้ ใช้ "พรหมวิหาร ๔" อันเป็นแนวทางพระโพธิสัตว์ที่ชาวฉือจี้ยึดถือมาเป็นคำขวัญประจำคณะ คือ

๑. เมตตา ฝึกการมีจิตใจต้องการให้ผู้อื่นมีความสุข

๒. กรุณา ฝึกลงมือทำเพื่อช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

๓. มุทิตา ฝึกเรียนรู้ เข้าใจ และกตัญญูในสรรพสิ่ง

๔. อุเบกขา ฝึกเข้าใจความเป็นธรรมชาติธรรมดาสามารถลดตัวตนและปล่อยวาง

เป็นการตีความพรหมวิหาร ๔ อย่างกว้างและลึก

การผลิตแพทย์ของที่นี่ใช้หลักสูตรทำนองเดียวกับสากล คณบดีจบแพทย์จากสหรัฐอเมริกา ทำงานที่นั่นเกือบ ๒๐ ปี ก่อนกลับมาทำงานให้ฉือจี้ที่ไต้หวัน โดยเขาเน้นการฝึกอบรมด้านศิลปวัฒนธรรม มนุษยศาสตร์และการพัฒนาจิตวิญญาณอย่างเข้มข้นและเอาจริงเอาจังควบคู่ไปด้วย เขาไม่ต้องการให้ได้แพทย์ที่เก่งแต่ทางเทคนิคชีวการแพทย์เพียงด้านเดียว นักศึกษาแพทย์ที่นี่มีชั่วโมงเรียนการจัดดอกไม้ การเขียนพู่กันจีน การชงชา การเดินการนั่ง การยกโต๊ะเก้าอี้แบบไม่ให้เกิดเสียง และอื่นๆ อีกหลายอย่างเพื่อฝึกให้เป็นคนประณีตละเอียดอ่อน เข้าถึงสภาวะของจิตไม่หยาบกระด้าง นอกจากนี้ ก็ยังให้นักศึกษาไปทำงานอาสาสมัครต่างๆ เพื่อฝึกการบริการรับใช้ผู้อื่น ฝึกลดตัวตน ฝึกให้รำลึกถึงบุญคุณผู้อื่นจนเข้าไปอยู่ในจิตสำนึก กรณีที่เด่นสำหรับคณะแพทยศาสตร์แห่งนี้ ก็คือ การจัดการเรียนการสอนวิชากายวิภาคศาสตร์ ซึ่งนักศึกษาแพทย์ต้องเรียนผ่าศพอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่เป็นคำเรียกผู้อุทิศศพให้นักศึกษาแพทย์ได้เรียนโดยทั่วไปศพอาจารย์ใหญ่ ๑ ท่าน สามารถให้นักศึกษา แพทย์เรียนพร้อมๆ กันได้ ๔ คน) ที่นี่สร้างระบบให้นักศึกษาเห็นความสำคัญและรำลึกในพระคุณของอาจารย์ใหญ่อย่างสูงยิ่ง โดยเขาให้นักเรียนแพทย์ที่จะต้องเรียนผ่าศพได้ไปรู้จักกับครอบครัวของอาจารย์ใหญ่เพื่อให้เสมือนว่านักเรียนแพทย์เป็นสมาชิกในครอบครัวนั้นด้วย นักศึกษาแพทย์จะรู้ประวัติเรื่องราวชีวิตของอาจารย์ใหญ่ตั้งแต่ก่อนเรียนผ่าศพ เพื่อให้รู้ว่าร่างของอาจารย์ใหญ่มิใช่เป็นแค่ศพ แต่เป็นเรือนร่างของเจ้าของชีวิตที่เคยมีเลือดเนื้อ มีลมหายใจ มีคุณงามความดีและมีชีวิตจิตใจอันดีงาม เป็นการปลูกฝังให้นักศึกษาแพทย์มีจิตใจที่รู้จักเคารพผู้อื่นแม้กระทั่งเขาเหล่านั้นเสียชีวิตเป็นศพไปแล้วก็ตาม

เมื่อนักศึกษาแพทย์เรียนผ่าศพ ก็กระทำด้วยความเคารพอย่างสม่ำเสมอเหมือนกระทำกับญาติผู้ใหญ่ มิใช่มองเห็นเป็นเพียงแค่ศพๆ หนึ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจแล้วเท่านั้น
"นักศึกษาแพทย์จะกรีดผ่าศพของเราผิดพลาดสักกี่ร้อยครั้งก็ไม่เป็นไร เราอนุญาตให้ทำได้เต็มที่ แต่เมื่อจบไปเป็นแพทย์แล้ว ห้ามกรีดผ่าตัดใครผิดแม้แต่ครั้งเดียว" อาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่งพูดฝากนักศึกษาแพทย์ไว้ก่อนที่จะเสียชีวิต ทางอาจารย์ได้บันทึกเป็นวีซีดีไว้ให้นักศึกษาแพทย์ดูก่อนเริ่มเรียนวิชานี้
ท่านคณบดีคณะแพทยศาสตร์แห่งนี้ บอกเราว่า "อาจารย์ใหญ่ของนักศึกษาแพทย์แต่ละคนจะมี  ๒ คนคือ คนหนึ่งเป็นศพคนที่ตายไปแล้ว แต่อีกคนหนึ่งจะอยู่ในหัวใจของนักศึกษาแพทย์ตลอดไป"

ด้วยระบบการจัดการที่ให้เกียรติแก่อาจารย์ใหญ่อย่างสูงเช่นนี้ มีผลทำให้มีผู้แสดงความจำนงบริจาคร่างกายให้นักศึกษาแพทย์ที่นี่เป็นหมื่นราย มีศพอาจารย์ใหญ่มากเกินความต้องการ จนต้องบริจาคต่อไปยังคณะแพทยศาสตร์แห่งอื่นด้วย เมื่อได้ดูวีซีดีได้รู้ได้เห็นเรื่องนี้ด้วยตัวเอง หลายคนในคณะดูงานต้องเสียน้ำตาด้วยความประทับใจ และบางคนบอกว่า "เห็นแล้วน่าตาย" เพราะตายแล้วถ้าได้เป็นอาจารย์ใหญ่ของนักศึกษาแพทย์ที่นี่ ดูว่าจะได้รับเกียรติและได้รับความเคารพอย่างสูง

โรงพยาบาลพระโพธิสัตว์
ช่วงราว ๒๐ ปีที่ผ่านมา ฉือจี้ได้สร้างโรงพยาบาลไว้บริการผู้ป่วยรวม ๕ แห่ง มีทั้งที่อยู่ในต่างจังหวัดและในไทเป เป็นโรงพยาบาลที่สร้างอย่างมั่นคงสวยงาม ป้องกันแผ่นดินไหวไว้พร้อมสรรพ เสาแต่ละต้นโอบคนเดียวไม่รอบคงจะใช้งานได้เป็นร้อยๆ ปี ค่าก่อสร้างทั้งหมดมาจากเงินบริจาคของสมาชิกฉือจี้จำนวนนับล้านคน ในช่วงที่ท่านธรรมาจารย์มีดำริจะสร้างโรงพยาบาลแห่งแรกยังไม่มีเงินเลย ทางการทราบเจตนารมณ์ก็ติงว่า เมื่อไม่มีเงินควรคิดทำกิจกรรมอย่างอื่นที่ใช้เงินน้อยกว่านี้ไม่ดีกว่าหรือ แต่ท่านธรรมาจารย์มั่นใจว่าจะทำได้ แม้ต้องใช้เงินหลายร้อยล้านเหรียญก็ตาม เมื่อเริ่มโครงการมีนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นที่เคยอยู่ที่ไต้หวันมาก่อนแสดงความประสงค์ขอบริจาคเงินก้อนใหญ่ให้สร้างโรงพยาบาล ท่านธรรมาจารย์ไม่รับเพราะต้องการให้คนไต้หวันส่วนใหญ่ได้ร่วมกันเป็นเจ้าของโรงพยาบาลด้วยการร่วมบริจาคคนละเล็กคนละน้อยมากกว่า ในที่สุดโรงพยาบาลแห่งแรกก็สำเร็จจนวันนี้เปิดโรงพยาบาลแห่งที่ ๕ แล้ว (ขนาดใหญ่เกิน ๑,๐๐๐ เตียง ๓ แห่ง ขนาดเล็ก ๒ แห่ง)

เครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยีทางการแพทย์ไม่ต้องพูดถึง ทุกแห่งมีพร้อมอยู่ในระดับแนวหน้าของไต้หวัน และเข้ามาตรฐานสากล แต่ที่เด่นมากคือ การจัดระบบให้ความสำคัญกับมิติทางมนุษย์และจิตวิญญาณอย่างสูง โรงพยาบาลของฉือจี้ใช้พรหมวิหาร ๔ เป็นคำขวัญกำหนดทิศทางการทำงานเช่นเดียวกับองค์กรอื่นๆ ของฉือจี้ จึงมุ่งบริหารจัดการให้โรงพยาบาลเป็นทั้งแหล่งรักษาคน รักษาใจ รักษาโรค ไปพร้อมๆ กับเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของทุกฝ่ายไปพร้อมๆ กัน บรรยากาศในโรงพยาบาลจัดได้ดีมาก สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก ไม่มีกลิ่นเหม็นของยาให้ได้สัมผัส ผู้คนที่ทำงานในโรงพยาบาลมีทั้งแพทย์พยาบาล และบุคลากรวิชาชีพ ทำงานร่วมกับอาสาสมัครฉือจี้เป็นร้อยๆ คน ทุกคนให้บริการแก่ผู้ป่วยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส กระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือ แนะนำและให้บริการตามบทบาทหน้าที่ของตน ทราบว่าอาสาสมัครที่มาทำงานในโรงพยาบาลต้องแจ้งความจำนงเข้าคิวรอเป็นเดือนๆ กว่าจะได้มาทำงานอาสาสมัครในโรงพยาบาลครั้งละหนึ่งวัน

ในโรงพยาบาลมีการจัดสถานที่ปฏิบัติธรรมให้กับคนไข้ทุกศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม บรรยากาศสงบเย็นดีมาก โรงพยาบาลของฉือจี้มีการรณรงค์ภายในเพื่อสร้าง จิตวิญญาณการแพทย์ที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ เรียกว่า "The mission to be a human doctor" เพื่อส่งเสริมการพัฒนาจิตใจของผู้ให้บริการทุกระดับให้ใส่ใจในคุณค่าศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น ให้เกียรติและให้ความเคารพในการให้บริการและระลึกในพระคุณของผู้ป่วยและญาติที่เขามาใช้บริการ เขาบอกว่า
"แพทย์พยาบาลและทีมงานมีหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ซึ่งเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นทุกคนต้องลดตัวตนให้เล็กที่สุด จึงจะทำภารกิจที่สำคัญนั้นได้" เราจึงเห็นแพทย์ชาวฉือจี้ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส ยกมือไหว้คนไข้และคนอื่นๆ ได้เสมอ นอบน้อมถ่อมตน ตั้งใจให้บริการอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เพราะเขาถือว่าการได้ทำงานช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากคือการทำหน้าที่ พระโพธิสัตว์ สะสมบุญกุศลให้สูงขึ้นเรื่อยไป

ธนาคารไขกระดูกอันดับหนึ่งของเอเชีย
ธนาคารไขกระดูกของมูลนิธิฉือจี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๗ ด้วยการเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาและแสดงความจำนงบริจาคไขกระดูก (Bone marrow registry) เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับความผิดปกติของเม็ดเลือด เช่น ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคโลหิตจางบางชนิด มะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิด โรคไขกระดูกฝ่อ เป็นต้น
ไขกระดูกคือเซลล์ที่ผลิตเม็ดเลือดตามปกติ ในกรณีเป็นโรคเลือดบางชนิดดังตัวอย่างข้างต้น จำเป็นต้องให้ยาทำลายไขกระดูกที่มีอยู่เดิม แล้วฉีดเซลล์ไขกระดูก ของผู้บริจาคเข้าไปทางหลอดเลือดให้เข้าไปอยู่ในไขกระดูก เพื่อทำหน้าที่แทนไขกระดูกของผู้ป่วย เป็นเทคนิคที่ทางการแพทย์ทำสำเร็จครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๑ จากนั้นก็มีพัฒนาการก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ

ปกติแล้วผู้ป่วยมักจะสามารถรับบริจาคไขกระดูกได้จากญาติพี่น้องร่วมสายเลือด เนื่องจากมีเนื้อเยื่อเข้ากันได้ ร่างกายผู้ป่วยก็จะไม่ปฏิเสธไขกระดูกที่ฉีดเข้าไป แต่ถ้าเนื้อเยื่อเข้ากันไม่ได้ ร่างกายก็จะปฏิเสธไขกระดูกที่ ฉีดเข้าไป ผู้ป่วยบางคนไม่สามารถรับไขกระดูกจากญาติ พี่น้องก็ต้องรอคอยรับบริจาคไขกระดูกจากผู้อื่น ซึ่งมีโอกาสเข้ากันได้ประมาณ ๑ ใน ๕ หมื่น ดังนั้นการมีผู้บริจาคไขกระดูกลงทะเบียนไว้มากเพียงใดก็มีโอกาสทำให้มีเนื้อเยื่อเข้ากับผู้ป่วยได้มากเท่านั้น (ไม่ต้องบริจาคไขกระดูกไปเก็บไว้ในธนาคาร แต่เป็นการเจาะเลือดไว้ตลอดด้วยเทคนิคพิเศษเท่านั้น) ต่อเมื่อตรวจพบว่าเนื้อเยื่อของเราเข้าได้กับผู้ป่วยพอดี ถึงเข้าสู่กระบวนการเจาะไขกระดูกจากตัวเราไปให้ผู้ป่วย ซึ่งก็มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่มีโอกาสบริจาคไขกระดูกให้กับผู้ป่วยจริงๆ ใครที่ลงทะเบียนบริจาคไว้แล้วได้บริจาคจริงก็ถือว่าได้โอกาสทำบุญทำกุศลอันยิ่งใหญ่ ปัจจุบันธนาคารไขกระดูกของฉือจี้มีผู้แสดงความจำนงบริจาคมากถึงเกือบ ๓ แสนคน มีการบริจาคไขกระดูกช่วยเหลือผู้ป่วยจริงๆ ทั้งในไต้หวันและประเทศ อื่นๆ ไปแล้วกว่า ๘๐๐ ราย ใน ๒๐ ประเทศ นับเป็นธนาคารไขกระดูกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
 
บทเรียนรู้
การดำเนินกิจการทางการแพทย์ของมูลนิธิพุทธฉือจี้ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมของมนุษยชาติอันยิ่งใหญ่ เพราะมิใช่เป็นเพียงแค่กิจการสังคมสงเคราะห์ผู้เจ็บป่วย ด้วยบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขแบบทั่วๆ ไปเท่านั้น หากแต่เป็นการจัดกิจกรรมที่ให้ความสำคัญกับคุณค่า ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ทั้งฝ่ายผู้ให้บริการไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล และอาสาสมัคร และฝ่ายผู้รับบริการไม่ว่ายากดีมีจน มีชีวิตหรือเสียชีวิตไปแล้ว เป็นการสร้างโอกาสให้ทุกคนได้ปฏิบัติธรรมไปพร้อมๆ กัน ฝ่ายผู้ให้บริการ ยิ่งทำงานก็ยิ่งจะต้องรู้จักลดตัวตนให้เล็กลง รู้จักเคารพอ่อนน้อมต่อผู้ที่ตนให้บริการและสรรพสิ่งรอบตัว และสร้างบุญกุศลด้วยการทำงานเพื่อผู้อื่นให้มากยิ่งขึ้น
ฝ่ายผู้รับบริการก็จะได้รับบริการที่ดี มีทั้งคุณภาพ และมีน้ำจิตน้ำใจสอดแทรกอยู่ในทุกกรณี ส่งผลให้ตนเองต้องพัฒนาจิตใจตนให้เป็นผู้ที่รู้จักคิดถึงคนอื่นและพยายามทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้อื่นในส่วนที่ตนทำได้ ขยายวงออกไปเรื่อยๆ ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยเมื่อผ่านการ ดูแลจากทีมงานของฉือจี้ ในที่สุดก็จะกลับกลายมาเป็นสมาชิกและอาสาสมัครของฉือจี้บำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์ สุขของคนอื่นต่อไป เข้าลักษณะของการทำให้คนดีและความดีแพร่ระบาดออกไปอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่ผมและคณะดูงานได้เห็นได้สัมผัสได้เรียนรู้มา มิใช่สิ่งที่เป็นอุดมคติ มิใช่สิ่งเพ้อฝัน แต่เป็นเรื่องที่เกิดจริง มีรูปธรรม พิสูจน์ได้ ยืนยันได้ เรียนรู้ได้ ขยายผลได้ ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยสอนว่า มนุษย์เราทุกคนสามารถนิพพานได้ในชาตินี้ เวลาใดที่เราลดตัวตนได้ ทำประโยชน์สุขให้แก่ผู้อื่นได้โดยไม่หวังผลตอบแทนอย่าง แท้จริง จิตใจเกิดปีติสุข เวลานั้นเราก็นิพพานแล้ว แม้เพียงห้วงเวลาสั้นนิดเดียวก็ตาม ที่เรียกว่านิพพานชิมลอง ไม่ต้องไปรอนิพพานในชาติไหนๆ ขบวนการพุทธฉือจี้เขาก็ชวนกันปฏิบัติเช่นนี้นี่เอง

ข้อมูลสื่อ

325-022
นิตยสารหมอชาวบ้าน 325
พฤษภาคม 2549
นพ.อำพล จินดาวัฒนะ