• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ไมเคิล แจ๊กสัน... ตายจากยาจริงหรือ?

ในปี ๒๕๕๒ มีข่าวโด่งดังและสร้างความเสียใจให้กับแฟนเพลงป๊อปทั่วโลก คือ การจากไปของราชาเพลงป๊อป “ไมเคิล แจ๊กสัน” นักร้องสีผิวที่มีผลงานเพลงฮิตติดตลาดจำนวนมาก ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กที่รวมตัวกับพี่ๆ น้องๆ ๕ คน ในครอบครัวเดียวกันในนาม “วงแจ๊กสันไฟว์” และต่อมาก็ได้ออกอัลบั้มเดี่ยวสร้างผลงานเพลงที่ไพเราะมากมายเท่าที่จำได้คุ้นหูได้แก่ เพลง “We are the World” ที่มีทำนองไพเราะแถมมีเนื้อหาต้องการสร้างความรักความเอื้ออาทรให้แก่คนทั้งโลก แถมยังเอกลักษณ์สไตล์การเต้นท่า Moon Walker ในอัลบั้ม “Thriller” ที่มียอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ทั่วโลก
    
การตายของนักร้องดัง... ไมเคิล แจ๊กสัน
เหตุการณ์การเสียชีวิตจากคำบอกเล่าของแพทย์ประจำตัวของไมเคิลเล่าว่า ในช่วงเที่ยงวันเกิดเหตุได้เข้าไปในห้องนอนของนักร้องดัง และพบร่างของเขานอนอยู่บนเตียง ในขณะนั้นเขาได้หยุดหายใจไปแล้ว แต่ยังมีชีพจรอ่อนๆ แพทย์ได้พยายามช่วยชีวิตด้วยการเป่าปาก และปั๊มหัวใจของไมเคิล เพื่อยื้อชีวิตเอาไว้อยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง แต่อาการของเขาก็ยังไม่ดีขึ้น จึงได้เรียกรถฉุกเฉิน ซึ่งหน่วยช่วยชีวิตก็เดินทางมาถึงบ้านดังกล่าวภายใน ๑๐ นาที หลังจากที่ได้รับแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่ได้ช่วยชีวิตขั้นต้น และนำส่งโรงพยาบาลใกล้ๆ ซึ่งต่อมาก็รายงานว่า นักร้องดัง ไมเคิล แจ๊กสัน...ได้จากโลกนี้ไปแล้ว

สาเหตุการตายของนักร้องดัง...ไมเคิล แจ๊กสัน
เมื่อเจ้าหน้าที่ทำการชันสูตรศพ พบว่า ไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายแต่ประการใด แต่พบยาหลายชนิดในกระแสโลหิต ในจำนวนนี้ที่พบในปริมาณมาก ได้แก่ ยานำสลบ ยานอนหลับ และยาคลายกังวล
นอกจากนี้ ยังพบยาตัวยาอีก ๓ ชนิดในปริมาณไม่มาก ได้แก่ ยานอนหลับ ๒ ชนิด และยาขยายหลอดลม ๑ ชนิด
    
ทำไมในเลือดของไมเคิล แจ๊กสัน จึงมีตัวยานำสลบด้วย
หลายคนคงสงสัยว่า “ทำไมในเลือดของไมเคิล แจ๊กสัน จึงมีตัวยานำสลบด้วย” เพราะปกติแล้วยานำสลบ หรือยาดมสลบนี้ มักจะใช้เฉพาะในห้องผ่าตัด โดยหมอดมยาหรือวิสัญญีแพทย์เพื่อจะให้ผู้ป่วยหมดสติก่อนทำการผ่าตัด

แต่กรณีของนักร้องดังคนนี้ แพทย์ประจำตัวสั่งจ่ายให้โดยการฉีดยานำสลบให้แก่เขา เพื่อให้ไมเคิลได้พักผ่อนนอนหลับอย่างเต็มที่ เพราะตามประวัติการใช้ยาและข้อมูลจากผู้ใกล้ชิด พบว่า ไมเคิลได้ใช้ยานอนหลับมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ประกอบกับมีการใช้ยานอนหลับเป็นจำนวนมากทั้งขนาดของยาและจำนวนชนิดของยาก็มากขึ้น เพื่อช่วยให้นักร้องดังได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ตามความต้องการของเขา ซึ่งผลการตรวจหาระดับยาในเลือดที่พบยานอนหลับถึง ๔ ชนิดในตัวผู้ตายก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี

จากการพบตัวยานอนหลับหลายชนิดนี้ แสดงว่า เฉพาะยานอนหลับยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ไมเคิลนอนหลับได้ จึงต้องใช้เพิ่มยานอนหลับหลายชนิดร่วมกัน ก็ยังไม่หลับอีก จนต้องนำยานำสลบมาใช้กับไมเคิลเพื่อให้หมดสติ

จากประวัติการใช้ยาและผลตรวจเลือดแสดงว่า ผู้ตายได้ใช้ยานอนหลับมาเป็นระยะเวลานานแล้ว เพราะมีการทนหรือดื้อต่อยา จนต้องเพิ่มขนาดยาให้มากขึ้น รวมถึงการเพิ่มชนิดของยานอนหลับ ดังที่พบยานอนหลับปริมาณมากและยานอนหลับหลายชนิดในเลือดของเขา
    
ประวัติเริ่มต้นการใช้ยาของไมเคิล แจ๊กสัน
เมื่อย้อนดูประวัติการใช้ยาของเขาก็พบว่า เริ่มมีการใช้ยาอย่างมากและต่อเนื่องกันช่วงการถ่ายทำโฆษณาสินค้าชนิดหนึ่ง แล้วเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ที่ศีรษะของไมเคิล ทำให้เกิดแผลไฟไหม้ขนาดใหญ่ที่ศีรษะ สร้างความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างมากกับเขา เขาจึงเริ่มต้นบรรเทาอาการด้วยยาแก้ปวดชนิดรุนแรงที่มีส่วนผสมอนุพันธ์ของฝิ่น หลังจากนั้นไมเคิลก็ได้ใช้ยาแก้ปวดมาตลอด
    
การใช้ยาต่อไปเรื่อยๆ...ทำให้เกิดการทนต่อยา
ต่อมาเกิดข่าวฉาวเรื่องการละเมิดทางเพศเด็กชาย ทำให้ไมเคิลต้องใช้ยานอนหลับ เพื่อช่วยคลายกังวล พร้อมทั้งช่วยให้นอนหลับ และใช้ติดต่อกันเรื่อยๆ จนเริ่มมีอาการทนต่อยาหรือดื้อต่อยา คือ ใช้ยาขนาดเท่าเดิมจะได้ผลน้อยลง และในทางกลับกันการที่จะให้ได้ผลเท่าเดิม จะต้องเพิ่มขนาดของยาเพิ่มขึ้น

เมื่อมีการเพิ่มขนาดยามากขึ้น และใช้ไปอีกสักระยะหนึ่ง ก็จะเกิดการทนต่อยาอีก จนต้องเพิ่มขนาดของยาไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่การเพิ่มขนาดยาก็ไม่ช่วยให้ผลของยาเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ซึ่งกรณีนี้จะต้องเปลี่ยนชนิดของยาไปเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง หรือการเพิ่มยานอนหลับอีกชนิดหนึ่งดังกรณีของไมเคิล
    
การสูญเสียชีวิตจากการใช้ยา... นับวันจะมีมากยิ่งขึ้น
จากเหตุการณ์สูญเสียชีวิตของไมเคิล แจ๊กสัน ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาปริมาณมากและหลากหลายชนิดนี้ ไม่ใช่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียว แต่ก่อนหน้านี้ได้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้หลายครั้งแล้ว หนึ่งในจำนวนนั้นที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี และดังไม่แพ้ไมเคิล แจ๊กสัน เพียงแต่เป็นคนละยุคคนละสมัย ก็คือนักร้องราชาเพลงร็อกแอนด์โรล “เอลวิส เพรสลี่ย์”

เอลวิส เพรสลี่ย์ ต้องจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร ในปี ๒๕๒๐ สร้างความอาลัยอาวรณ์ให้กับแฟนเพลงทั่วโลก ซึ่งเมื่อชันสูตรศพของเอลวิส เพรสลี่ย์ ก็พบว่าในเลือดของเขามีตัวยาถึง ๑๔  ชนิด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนลงความเห็นว่า สาเหตุการตายเพราะหัวใจเกิดการเต้นผิดปกติ จากการได้ยาเกินขนาด ทำให้โลกต้องสูญเสียอัจฉริยะทางดนตรีไปอีกคนหนึ่ง คงเหลือไว้เพียงผลงานเพลงไพเราะให้แก่แฟนๆ ได้รื่นรมย์และรำลึกถึง

ยามีคุณอนันต์ มีโทษมหันต์ ควรใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น
จากการสูญเสียของนักร้องคนดังทั้ง ๒ คน นับเป็นอุทาหรณ์เตือนใจถึงการใช้ยาที่มีทั้ง “คุณอนันต์ และโทษมหันต์” เหมือนดาบสองคม ที่จะต้องมีการใช้อย่างเหมาะสม เมื่อจำเป็นเท่านั้น ไม่ควรจะใช้พร่ำเพรื่อตามความต้องการของผู้ใช้เพียงฝ่ายเดียว ควรที่จะอยู่ในการดูแลของผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ และ/หรือ เภสัชกร ที่จะได้ให้เกิดการใช้ยาอย่างสมดุล ไม่มาก หรือน้อยเกินไป ดั่งที่เคยรณรงค์เรื่องการใช้ยาอย่างพอเพียงในอดีต
    
การทนต่อยา และการแก้ไข
การทนต่อยาเกิดขึ้นจากการใช้ยาต่อเนื่องนานๆ เช่น ยานอนหลับ ยาแก้แพ้ ยาระบาย เป็นต้น เมื่อใช้ไปนานๆ แล้ว ร่างกายของเราจะปรับตัว ทำให้ยาที่เคยใช้ขนาดเดิม แต่ได้ผลน้อยลง จนต้องเพิ่มขนาดของยา และเมื่อใช้ไปอีกระยะหนึ่งก็จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้อีก ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการเปลี่ยนยาที่ใช้ โดยหันไปใช้ยาชนิดอื่นที่มีสูตรโครงสร้างทางเคมีต่างจากเดิมสัก ๑-๒ เดือน เพื่อให้ร่างกายของเราลืมยาเก่าไป แล้วกลับมาใช้ใหม่ก็จะได้ผลดีเหมือนกับยังไม่เคยใช้ยานี้เลย

อนึ่ง สำหรับยาบางชนิดที่ใช้ในการรักษาเพื่อควบคุมอาการของโรคเรื้อรังและจะต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาลดไขมันในเลือด ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นต้น ก็ควรกินอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมความผิดปกติของร่างกาย ไม่ให้ลุกลาม เกิดภาวะแทรกซ้อน และสร้างความเสียหายให้แก่ร่างกายได้ และควรสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดจากการใช้ยา เช่น การทนต่อยา การแพ้ยา ผลข้างเคียงของยา หรืออาการอื่นๆ เพื่อจะได้รายงานต่อแพทย์ และหาทางแก้ไข หากเกิดเหตุการณ์เหล่านั้นขึ้นกับผู้ป่วย
 

ข้อมูลสื่อ

393-038
นิตยสารหมอชาวบ้าน 393
มกราคม 2555
ฉลาดใช้... ยา
ภก.ดร.วิรัตน์ ทองรอด