• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

จิตอาสาพลังสร้างโลก

จิตอาสาพลังสร้างโลก


มีหลักการเหมือนกับมูลนิธิแม่ที่ไต้หวัน มุ่งเจริญรอยตามแนวทางของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน มีภารกิจหลัก คือ การสงเคราะห์ การรักษาพยาบาล การศึกษา และวัฒนธรรม

พุทธฉือจี้สาขาประเทศไทย
ดังที่ผมเขียนเล่าไว้ตั้งแต่ตอนที่ ๑ ว่า การไปดูงานของพวกเราได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยมจากอาสาสมัครฉือจี้ที่เดินทางไปจากเมืองไทย ๕-๖ ท่าน ส่วนใหญ่เป็นคนไทย บางท่านเป็นคนไต้หวันที่มาลงหลักปักฐานอยู่เมืองไทยแล้ว ทำให้ทราบว่า ฉือจี้ได้ขยายสาขาออกไปยังประเทศต่างๆ ที่มีอาสาสมัครฉือจี้พำนักอยู่ในประเทศนั้นๆ ปัจจุบันมี ๓๙ ประเทศ สาขาในประเทศไทยเริ่มเปิดดำเนินงานเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๘ จดทะเบียนเป็นมูลนิธิไม่แสวงกำไรเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๑ ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า ๔ พันคน มีสำนักงานอยู่ที่แขวงดินแดง กทม.* และมีสาขาย่อยอยู่ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีโรงเรียนของฉือจี้อยู่ที่นั่น ๑ แห่ง มูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวัน สาขาประเทศไทย มีหลักการเหมือนกับมูลนิธิแม่ที่ไต้หวัน โดยมุ่งเจริญรอยตามแนวทางของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน มีปณิธานยึดหลักการให้เกียรติต่อสรรพชีวิตและมวลมนุษย์ มุ่งการสังคมสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่นตามหลักมนุษยธรรม โดยไม่ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง ไม่แบ่งแยกเผ่าพันธุ์ ศาสนา ถิ่นฐาน วัฒนธรรม ดำเนินงาน ๔ ภารกิจหลักคือ การสงเคราะห์ การรักษาพยาบาล การศึกษา และวัฒนธรรม นอกจากนี้ก็เป็นงานบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศ การรับบริจาคไขกระดูก การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และงานอาสาสมัครชุมชน รวมทั้งสิ้นได้ ๘ ประการเหมือนที่ไต้หวัน เพียงไม่กี่ปีผ่านไปชาวอาสาสมัครฉือจี้ในประเทศไทยก็ได้จัดกิจกรรมทำงานตามเจตนารมณ์ไปแล้วหลายอย่าง

รวบยอดบทเรียน
การได้มีโอกาสไปดูงานของมูลนิธิพุทธฉือจี้ ถือว่าที่ได้มีโอกาสเรียนรู้อย่างล้ำค่า ทำให้เกิดความปลื้มใจปีติยินดีที่ได้เห็นผู้คนจำนวนหนึ่ง มีจิตใจดี มีวัตรปฏิบัติดี ทำงานเพื่อคนอื่นอย่างนอบน้อมถ่อมตน จริงจัง จริงใจ ไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรคและความยากลำบาก โดยมีความรักอันบริสุทธิ์ให้กับทุกๆ คน ไม่เลือกเขาเลือกเรา ไม่เสแสร้ง ไม่เอาหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีโอกาสไปกราบคารวะท่าน ธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน ยิ่งถือเป็นบุญกุศลอย่างที่ผู้ใหญ่ สอนไว้ว่า การที่ได้มีโอกาสรู้จักและได้เรียนรู้จากคนดีๆ ถือเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตนั่นเอง จากการที่ได้เรียนรู้เรื่องราวของชาวฉือจี้ แม้จะเหมือนการได้รู้ได้เห็นอวัยวะเพียงบางส่วนของช้างทั้งตัว แต่เมื่อจินตนาการภาพต่อเข้าด้วยกัน ทำให้พอคิดถึงภาพช้างทั้งตัวที่สง่างามนั้นได้บ้าง

ผมสรุปประเด็นจากการเรียนรู้ได้ ๖-๗ ประการ ดังนี้

๑. บริบทของสังคมไต้หวันที่ต้องเผชิญภัยธรรมชาติ และการเมืองมาโดยตลอด ได้หล่อหลอมให้คนไต้หวันมีความเข้มแข็ง ขยันขันแข็งและเอาจริงเอาจัง ประกอบกับอีกด้านหนึ่งของคนจีนที่มีนิสัยขยัน หนักเอาเบาสู้ ใฝ่เรียนรู้ ชอบบริการและนอบน้อมถ่อมตัว จึงส่งผลให้คนไต้หวันส่วนใหญ่มีอุปนิสัยด้านที่เป็นบวกค่อนข้างสูง

นอกจากนี้ เมื่อสังคมการเมืองไต้หวันเปิดโลกประชาธิปไตยที่ให้เสรีแก่ประชาชน เปิดเสรีทางสื่อสารมวลชน เสรีทางศาสนา จึงมีผลทำให้พัฒนาการด้านจิตวิญญาณ คุณธรรม ความดีงามอย่างขบวนการฉือจี้เติบโตได้อย่างมีพลัง จนกลายเป็นแกนหลักที่สำคัญในด้านคุณธรรมจริยธรรมของไต้หวันดังเช่นทุกวันนี้ (แต่ในด้านลบของคนไต้หวันก็มีไม่น้อยเหมือนกัน)

ถ้าสังคมใดเป็นระบบปิด มีวัฒนธรรมอำนาจนิยม ครอบงำ เสรีภาพด้านต่างๆ ของสังคมถูกกดทับอย่างแน่นหนา โอกาสเกิดสิ่งดีๆ อย่างขบวนการฉือจี้ก็คงมีได้ยากทีเดียว หรืออาจเกิดขบวนการจากศรัทธาขึ้นมาได้ แต่ก็มักจะดำเนินการผิดทิศทางคือกลายเป็นการเข้าสู่การสะสมรวบทุกอย่างไว้ที่ศูนย์กลางเสมอๆ

๒. ขบวนการฉือจี้ เป็นการนำพุทธธรรมที่ใช้แนวความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา (แนวทางพระโพธิสัตว์) เป็นเข็มทิศนำทาง ทำให้ทุกคนสามารถใช้หลักศาสนามาปฏิบัติได้จริง และปฏิบัติได้อย่างง่ายๆ ในชีวิตนี้คือ การทำงานช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าจะด้วยทรัพย์ ด้วยแรง ด้วยปัญญา หรืออื่นๆ โดยถือว่าทั้งหมดนี้ก็คือ การปฏิบัติธรรม เป็นการได้ฝึกเป็นพระโพธิสัตว์ในชาตินี้เลย ทำให้เรื่องพุทธศาสนาเป็นเรื่องเข้าใจง่าย เข้าถึงง่าย ไม่แยกส่วนออกจากชีวิตจริง อีกทั้งสามารถทำได้อย่างทันสมัยอยู่เสมอ

๓. การมีผู้นำทางจิตวิญญาณที่เป็นผู้ทรงธรรมะ อันงดงาม มีวัตรปฏิบัติที่เป็นแบบอย่างที่ทุกคนเห็นได้สัมผัสได้ คือ ท่านอิ้นซุ่น (หลวงปู่ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเจิ้งเหยียน) และท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน จึงเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่นในการทำดี ทำให้เกิดภาวะผู้นำที่สมาชิกและอาสาสมัครฉือจี้จำนวน เป็นแสนเป็นล้านสามารถยึดถือเป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นแบบอย่างให้เจริญรอยตามได้อย่างเป็นรูปธรรม การที่ผู้นำทรงไว้ซึ่งความเมตตากรุณาอย่างสูงส่ง ดำเนินชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายสุดๆ กินน้อย อยู่น้อย ใช้น้อย ไม่สะสม ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและทุกสรรพสิ่งนอบน้อมถ่อมตน ลดตัวเองให้เล็กอยู่เสมอ มีแต่คิดจะทำเพื่อผู้อื่นอย่างสุดใจ จึงเป็นเสมือนต้นแบบนำทางให้กับศิษย์ฉือจี้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเหนือกว่าคำสอนใดๆ

๔. แนวทางพุทธฉือจี้ที่เคารพยกย่องให้เกียรติแก่คนทุกคนอย่างไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่แบ่งแยกเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของทุกคน ดังที่ท่านธรรมาจารย์สอนว่า ไม้ฟืนแต่ละชนิดมีประโยชน์แตกต่างกัน แต่ทุกชนิดล้วนมีประโยชน์ มีคุณค่าทั้งสิ้น แนวคิดเช่นนี้ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์กันของผู้คนทั้งหลายแบบแนวราบ ก่อให้เกิดความสร้างสรรค์ ความรัก ความผูกพัน ไม่เหมือนกับความสัมพันธ์แนวดิ่ง ที่เกิดแรงกดทับและปฏิสัมพันธ์จะกลายเป็นเชิงอำนาจ ทำให้ความรัก ความดี ความงามเกิดขึ้นได้ยากกว่า

๕. แนวทางพุทธฉือจี้ มีลักษณะที่น่าจะเรียกได้ ว่าเป็นปรากฏการณ์ "รวมเข้าเพื่อกระจายออก"  หมายความว่า การรวมความรักความศรัทธา รวมทรัพยากร ปัญญา องค์ความรู้ การปฏิบัติต่างๆ เข้ามาสู่ศูนย์รวมแห่งศรัทธาคือผู้นำทางจิตวิญญาณ แต่การรวมทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้นมิใช่รวมเข้ามาพอกพูน สะสมไว้ที่ศูนย์กลาง เหมือนกับศาสนปฏิบัติที่เราเห็นกันอยู่เป็นส่วนใหญ่ ตรงกันข้ามการรวมสรรพสิ่งเหล่านั้น เป็นไปเพื่อกระจายสู่มหาชนคนยากไร้ คนตกทุกข์ได้ยากอย่างกว้างขวางไม่มีที่สิ้นสุด ตรงนี้ถือว่าเป็นความงดงามอย่างยิ่งของแนวพุทธฉือจี้

มูลนิธิพุทธฉือจี้มีเงินบริจาคเข้ามาเป็นหมื่นล้านแสน ล้านเหรียญ แต่เงินเหล่านั้นถูกนำไปใช้เพื่อการช่วยเหลือ ผู้คนเป็นแสนเป็นล้านคนทั้งในไต้หวัน และที่อื่นๆ ทั่วโลก

มูลนิธิพุทธฉือจี้มีคนเก่ง มีความรู้เทคโนโลยีไหลเข้ามามากมาย แต่สิ่งเหล่านั้นถูกนำไปสู่การทำงานเพื่อ เพื่อนมนุษย์ที่ต้องการความช่วยเหลือ

ในขณะที่ท่านธรรมาจารย์ ภิกษุณีและอาสาสมัคร ที่สมณารามยังคงดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายบนหลักของ การพึ่งตนเองอย่างสุดๆ ไม่เบียดเบียนสรรพสิ่ง เหมือนเดิมตามที่เคยปฏิบัติกันมาตลอดเกือบครึ่งศตวรรษ และอาสาสมัครฉือจี้ทุกคนยังคงต้องทำงานหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต เพื่อดูแลตนเอง และออกไปช่วยเหลือผู้อื่นอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับฝึกฝนให้เป็นคนที่กินน้อย ใช้น้อย อยู่น้อยตลอดเวลาอีกด้วย

๖. การดำเนินงานของขบวนการฉือจี้ ไม่ปฏิเสธความเป็นไปของสังคมและของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นพลวัตตลอดเวลา รู้จักนำจุดเด่นบางอย่างมาใช้ อย่างชาญฉลาด เช่น นำเอาองค์ความรู้ด้านการจัดการ การตลาดเชิงสังคม เทคโนโลยีสารสนเทศ ฯลฯ มาใช้ในการดำเนินงานด้านศาสนาอย่างกลมกลืนและมีประสิทธิภาพ ตรงนี้ก็นับว่าเป็นจุดเด่นที่สำคัญอีกประการหนึ่ง

๗. โดยภาพรวม อาจสรุปได้ว่า ขบวนการพุทธฉือจี้ดำเนินงานตลอด ๔๐ ปีนี้ น่าจะด้วยยุทธศาสตร์สำคัญ ๓ ประการ คือ

๑. ศรัทธา คือ การสร้างศรัทธาในการทำความดีเพื่อผู้อื่น โดยมีท่านธรรมาจารย์เป็นผู้นำและมีคำสอนแนวพุทธโพธิสัตว์เป็นหลักยึด

๒. ปัญญา  ฉือจี้รับเอาองค์ความรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาปรับใช้เพื่อสานเจตนารมณ์ตลอดเวลา ไม่ได้ปล่อยให้เรื่องศาสนาเป็นเรื่องคร่ำครึเป็นเรื่องอดีตที่แยกส่วนออกจากปัจจุบัน จึงเข้าถึงคนทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ได้ตลอดเวลา

๓. การจัดการในกระบวนการทำงานของฉือจี้ มีการจัดการอย่างเป็นระบบในทุกระดับ แม้แต่การทำงานของอาสาสมัคร ก็มีการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน มีระบบ มีระเบียบ ไม่ใช่แบบ "ช่วยๆ กันไป" การทำได้อย่างนี้คือการนำ "การจัดการ" มาใช้ในทุกเรื่องและทุกขั้นตอนนั่นเอง

ผมหวังว่า ข้อเขียนของผมจากการไปดูงานมูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวันโดยการอนุเคราะห์ของศูนย์คุณธรรมครั้งนี้ คงจะเกิดแรงบันดาลใจดีๆ ให้กับผู้อ่านเพื่อที่จะช่วยกันทำอะไรดีๆ ได้มากยิ่งขึ้นต่อไป เพราะจะว่าไปแล้วในบ้านเมืองเราก็มีคนดี มีคนทำอะไรดีดีมากมายเหมือนกัน เพียงแต่ว่าคนดีและความดีเหล่านั้นไม่ได้รับการเผยแพร่ให้ปรากฏออกมา และไม่ค่อยได้รับการหนุนเสริมให้มีคนดีและความดีเพิ่มพูนมากขึ้นเท่าที่ควร ด้วยความขอบพระคุณที่กรุณาติดตามอ่านมาตั้งแต่ต้นจนจบครับ
กั่นเอิน* 

* มูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวัน ในประเทศไทย ๓๒๒/๒๐๗ ซอยอยู่เจริญ ถนนรัชดาภิเษก ๓ แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ ๑๐๔๐๐, โทรศัพท์ ๐-๒๖๔๒-๑๘๘๘, ๐-๒๖๔๒-๐๔๗๗/๘๘/๙๙ โทรสาร ๐-๒๖๔๒-๑๘๙๐ e-mail : [email protected]

* กั่นเอิน หรือ "สำนึกบุญคุณ" คือ ความรู้สึกแห่งบุญคุณ อาสาสมัครฉือจี้นิยมพูดคำนี้กันติดปาก ไม่ว่าจะไปช่วยเหลือใคร บริการใคร ทำอะไรให้ใคร ก็มักจะพูดคำนี้ เพื่อฝึกความกตัญญูรู้สึกในทุกบุญคุณของทุกคนและสรรพสิ่งต่างๆ เพื่อลดตัวตนให้เล็กลงอยู่เสมอ

ข้อมูลสื่อ

327-021
นิตยสารหมอชาวบ้าน 327
กรกฎาคม 2549
นพ.อำพล จินดาวัฒนะ