• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ดีใจที่เป็นมะเร็ง

ดีใจที่เป็นมะเร็ง
 

   ...เพราะสิ่งนี้มี  สิ่งนี้จึงมี  ...เพราะสิ่งนี้เกิด  สิ่งนี้จึงเกิด
   ...เพราะสิ่งนี้ไม่มี  สิ่งนี้จึงไม่มี ...เพราะสิ่งนี้ไม่เกิด  สิ่งนี้จึงไม่เกิด

จากข้อความข้างต้นทำให้ดิฉันหวนคิดถึงสิ่งที่เคยเกิดในชีวิตของดิฉัน ซึ่งมีมากมายทั้งที่สมควรจำ และไม่สมควรจำ แต่มีครั้งหนึ่งจำได้ไม่เคยลืมเลือน คือ การเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นที่มาของคำพูดที่ติดปากของดิฉันเสมอว่า "ดิฉันดีใจที่เป็นมะเร็ง"

บางคนหาว่าดิฉันประสาทไม่ดี เพราะมีแต่คนกลัวและเสียใจที่เป็นมะเร็ง ทำไมดิฉันจึงพูดอย่างนั้น... มา ลองฟังเหตุผลของดิฉันดูนะคะ

ในอดีตดิฉันถูกเลี้ยงมาให้เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ เข้าวัดทำบุญบ้าง ถึงจะไม่บ่อยนัก แม้จะไม่เคยสวดมนต์ก่อนนอน ทำบาปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เป็นงานประจำ แต่ทำเพราะหามาขายและเป็นอาหาร ทั้งที่ครอบครัวก็ไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น พอเรียนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ อาจารย์พาไปปฏิบัติธรรมที่วัดสวนโมกข์ สุราษฎร์ธานี วันเสาร์ วันอาทิตย์ไปนั่งฟังเทศน์ ได้ดูสไลด์เกี่ยวกับการทายปริศนาธรรมต่างๆ นั่งสมาธิก็หลับเสียส่วนใหญ่ แต่ก็ได้อะไรติดตัวมาบ้าง คือ เชื่อเรื่องบาปบุญมากขึ้น เสียงสวดมนต์ของแม่ชีช่างไพเราะจับใจเหลือเกิน โตขึ้นสอบเรียนพยาบาลได้ก็เลยหยุดกิจกรรมฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเหล่านั้นไปโดยปริยาย

เมื่อเรียนจบก็แต่งงานตามวิสัยของสัตว์โลก พอปี พ.ศ.๒๕๓๑ ย้ายตามสามีมาทำงานที่จังหวัดชัยนาท มีบุตรชาย ๓ คน คนโตเป็นคู่แฝด (คู่แฝดอายุได้ ๕ ขวบ) อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ดิฉันเดินอยู่หน้าบ้านพักในโรงพยาบาล ตอนนั้นดิฉันกำลังตั้งท้องลูกคนเล็กได้ประมาณ ๖-๗ เดือน ดิฉันได้ยินเสียงมาจากไหนไม่ทราบว่า "แดงแกต้องเป็นลูคีเมีย" ดิฉันแปลกใจมาก หลังจากนั้นประมาณ ๑ เดือน ดิฉันก็มีจ้ำเลือดบริเวณขาและแขนหลายแห่งทั้งที่ไม่ได้โดนอะไรกระแทก จึงรีบไปห้องตรวจเลือด ให้น้องนักวิทยาศาสตร์ การแพทย์เจาะเลือดตรวจโดยเล่าเหตุการณ์ ที่ได้ยินมาให้ฟัง น้องเขาก็รีบตรวจให้ ผลออกมาปกติ จนลูกชายคนเล็กอายุเกือบ ๓ ขวบ (วันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๐) ดิฉันตรวจสุขภาพประจำปี ผลการตรวจทุกอย่างยังคงปกติ แต่ต่อจากนั้นไม่กี่วัน ดิฉันเริ่มมีอาการไข้ต่ำๆ ไอมาก ไม่เจ็บคอ แต่เสียงแหบ คุณ หมอให้กินยาแก้หวัด กินครั้งแรกอาการดีขึ้น และหายไปสัก ๒-๓ วัน ก็มีอาการไอ มีไข้ต่ำๆ อีก คุณหมอก็ให้กินยา ทุเลาเล็กน้อย เป็นๆ หายๆ หลายครั้ง กินยาก็ไม่ดีขึ้น บางครั้งเจ็บเสียวชายโครงซ้าย ไอมากขึ้น เป็นอยู่ประมาณเดือนครึ่งจึงปรึกษาคุณหมอที่ทำผ่าตัดอยู่ด้วยกัน คุณหมอให้ไปเอกซเรย์ ก็ได้รับคำตอบว่า ปอดข้างซ้ายมีน้ำเต็มไปหมด แถมหัวใจโต มีน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ แวบแรกที่ดิฉันรู้สึกเมื่อเห็นสีหน้าของรังสีแพทย์ที่ดูฟิล์มแล้ว ดิฉันคิดว่าโรคร้ายแน่ๆ บอกคุณหมอว่าบอกมาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก พี่ทำใจได้

ดิฉันได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ส่งตัวไปทำซีที และส่งตัวด่วนไปรักษาในกรุงเทพฯ แต่ จากการตัดสินใจผิดพลาดของดิฉันทำให้ดิฉันมาติดอยู่แค่โรงพยาบาลชานกรุงเทพฯ เท่านั้นเอง ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๐ ได้รับการตรวจวินิจฉัยซ้ำๆ ซากๆ อยู่จนถึงวันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นเวลา ๒๑ วัน ทั้งเจาะปอด ตัดชิ้นเนื้อในช่องเยื่อหุ้มปอด ๒ ข้าง ดูดน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดทิ้ง ทำสไปรอล ซีที มีทั้งความเจ็บปวดทรมานแต่ไม่เคยเสียกำลังใจ คิดอยู่เสมอว่าเราต้องหายให้ได้ไม่ว่าโดยวิธีใด จนกระทั่งวันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๐ แพทย์ได้แจ้งแก่ดิฉันว่าให้ย้ายโรงพยาบาล เพราะสงสัยว่าอาการของดิฉันคงจะเกี่ยวกับระบบเลือด ให้ดิฉันเข้าไปรับการรักษาในกรุงเทพฯ เสียที

วันแรกดิฉันได้เจออาจารย์หมอที่เป็นหมอทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ท่านเอาใจใส่ดิฉันดีมาก และบอกดิฉันว่า "หนูเป็นลูคีเมียชนิดเฉียบพลันนะคะ" ด้วยความคิดว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองกลับมาเป็นโรคที่ดิฉันเคยได้ยินจากเสียงลึกลับเมื่อ ๓ ปีก่อน ซึ่งลืมไปแล้ว แม้จะเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อแต่ก็เป็นไปแล้ว ดิฉันรับการรักษาโดยได้รับเคมีบำบัดในวันแรกก็แย่เสียเล้ว แทบไม่รู้สึกตัว ไข้ขึ้นสูง คุณพยาบาลและคุณหมอแทบไม่ได้หลับได้นอน ให้เลือด ให้น้ำเกลือ ออกซิเจน วุ่นวายไปหมด ต่อมาอีก ๒ วัน อาการจึงค่อยดีขึ้นๆ อาจารย์หมอให้ยาได้ทุกวัน ท่านบอกว่าดิฉันโชคดีที่เป็นคนแข็งแรง แต่ก็ยังแพ้ผลข้างเคียงจาก ยาคือผมร่วง ปากมีแต่แผล ลิ้นเปื่อยเป็นแผลเนื้อตาย ดิฉันพยายามช่วยตัวเองให้มากที่สุด คือ การพยายามกินอาหารให้มากเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง

ความเจ็บป่วยคราวนี้ทำให้ดิฉันกลัวการเจาะเลือดเป็นที่สุด เมื่อเห็นเข็มดิฉันจะร้องไห้ ตัวสั่นงันงก เพราะกว่าจะเจาะได้นั้นยากมาก เนื่องจากหาหลอดเลือดไม่พบ ทุกวันนี้ดิฉันอดขำตัวเองไม่หายที่เป็นโรคร้ายแต่ไม่กลัว กลับกลัวเข็ม เมื่อรับการรักษาได้ ๒๐ วัน ท่านอาจารย์หมอได้ให้กลับมารักษาต่อที่ชัยนาท โดยให้ไปตรวจตามนัดทุก ๒ สัปดาห์ ครั้งหลังๆ ดิฉันเริ่มมีอาการปวดตามข้อมากขึ้น แต่ยังไปรับเคมีบำบัดตลอด ดิฉันค้นพบทางสว่าง เมื่อรับการรักษาที่ชัยนาท นอนพักในหอผู้ป่วย มีคนแนะนำให้สวดมนต์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ แห่งวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี แต่ก็ไม่ได้สวด อ่านเสร็จเก็บใส่ใต้หมอนหนุนนอนที่ตึกนอนพักรักษาตัวอยู่ จนกระทั้งวันที่ ๓ มีเสียง ลึกลับมาบอกว่า "มีของดีอยู่ใต้หมอนทำไมไม่สนใจ" ดิฉันจึงรีบลุกขึ้นมาสวดมนต์ตั้งแต่วันนั้นวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๐ สวดก่อนนอนหรือว่างก็สวด จนวันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๐ ไปตรวจตามนัด ขากลับแวะที่วัดหาซื้อหนังสือมาอ่าน และได้กราบนมัสการหลวงพ่อ บอกท่านว่า "ลูก นางบุปผา พูลพันธ์ ป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว กำลังรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ขณะนี้ลูกสวดมนต์พาหุงมหากาของหลวงพ่ออยู่ ลูกอยากขอกำลังใจจากหลวงพ่อด้วยค่ะ" ท่านมองหน้าดิฉันแล้วพูดว่า "สวดไปพาหุงมหากา เดี๋ยวจะหาย หาย" ดิฉันดีใจมากขนลุกซู่ หลวงพ่อให้พรดิฉันแล้ว ดิฉันจะต้องหาย มีความปีติมาก กลับมาตั้งหน้าตั้งตาสวดมนต์ บางวันริหัดนั่งสมาธิ โดยอ่านจากหนังสือกฎแห่งกรรมธรรมปฏิบัติ ซึ่งก็ได้รับบทเรียน โดยมีอาการอึดอัดแน่น หายใจไม่ออก เหมือนกำลังจะตาย ไม่มีหนทางแก้ เป็น การเรียนรู้ว่า อย่าบังอาจทำโดยไม่มีครูอุปัชฌาย์อาจารย์

ครั้งต่อไปเมื่อไปตรวจตามนัดก็แวะที่วัด ซื้อวีดิโอ เทปซึ่งหลวงพ่อสอนกรรมฐานม้วนที่ ๗-๘ ไปนั่งดูนอนดูหลายเที่ยวจนขึ้นใจ สวดมนต์ตั้งจิตอธิษฐานขอยึดหลวงพ่อเป็นครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ขอให้ช่วยปกป้องคุ้มครองขณะปฏิบัติกรรมฐานด้วย เพราะลูกไม่สามารถไปอยู่วัดได้ ด้วยสภาพร่างกายยังไม่อำนวย หากลูกหายหรือมีอาการดีขึ้นลูกจะไปอยู่วัด ดิฉันปฏิบัติธรรมในขณะที่นอนรักษาในโรงพยาบาล ทำโดยไม่ท้อแท้ ตื่นตี ๓ ตี ๔ มาเดินจงกรมนั่งกรรมฐาน บางครั้งเมื่อดิฉันจะเตลิด จะได้ยินเหมือนเสียงของหลวงพ่อมาคอยบอก คอยสอน ทำให้ดิฉันมีมานะพยายามมากขึ้น ดิฉันสามารถเอาชนะโรคร้ายได้ โดยใช้เวลา ๔ เดือน ด้วยการอาศัยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณค่ะ ดิฉันดีใจเป็นอย่างมาก แต่ดิฉันก็เผชิญกับการเจ็บทุกข์ทรมานมากเช่นกัน คือ ปวดเข่า มาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง เดินแทบไม่มีแรง ตักข้าวเข้าปากช้อนยังร่วงจากมือ นั่งห้องน้ำไม่ได้ต้องยืน กลางเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๐ ขณะออกจากโรงพยาบาลไปพักฟื้นที่บ้านนั้น ดิฉันมีอาการไข้สูงมาก ๔๐.๕ องศาเซลเซียสตลอด ไอ หอบ หนาวสั่น เป็นอยู่ ๕  วัน สามีจะพาไปนอนโรงพยาบาล แต่ดิฉันก็ไม่ยอมไป ดิฉันได้แต่ปลงอนิจจัง จะกลัวไปไยกับความตาย ชาติหนึ่งเกิดมาตายหนเดียว ดิฉันตั้งจิตอธิษฐานเลิกการรักษาทั้งหมด จะตายก็ขอตายอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ขอนอนอยู่กับที่ให้คนอื่นดูแล ขอตายอย่างทระนงดีกว่า นอนอยู่กับบ้านยิ่งปวดยิ่งทรมาน ยิ่งภาวนา บางครั้งทรมานมาก ดิฉันคิดถึงคำเทศน์ของหลวงพ่อที่อ่านเจอในหนังสือบอกว่าฝากความเจ็บปวด ความไข้ไว้กับเสา ทดลองฝากความทรมานไว้กับเตียง อธิษฐานขอเวลา ๑ ชั่วโมง จนต้องอธิษฐานว่าลูกจะไม่พูดกับใคร ไม่กินของหนัก กินแต่น้ำผลไม้เป็นเวลา ๓ วัน ดิฉันอยู่หน้าพระครบ ๓ วัน อาการไอ ไข้ หอบหายไปโดยไม่ต้องใช้ยา ดิฉันไปอยู่วัดปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๔๑ เป็นเวลา ๓ วันเต็ม ซึ่งมีนิมิตต่างๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง ซึ่งดิฉันได้พิจารณา เหตุการณ์ที่ผ่านมา รู้สึกว่าบางเรื่องน่าจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต

จากเวลานั้นถึงเวลานี้เป็นเวลา ๕ ปีกว่าแล้ว ดิฉันยังแข็งแรงดี มีอาการหลงเหลือบ้างก็คืออาการปวดตามข้อ ทั้งข้อมือ ข้อเข่า และเป็นตะคริวบ่อย ทั้งมือ เท้า และน่อง ขณะนี้ดิฉันได้อุทิศตัวออกทำงานเพื่อชุมชน โดยออกปฏิบัติงานที่ศูนย์สุขภาพชุมชน เพื่อเป็นการสร้างคุณงามความดีให้แก่ปวงชน โดยสิ่งที่จะนำไปปฏิบัติด้วยคือ กายและจิตที่มุ่งหวังให้ผู้อื่นมีความสุขเหมือนที่ดิฉันได้รับมา

ข้อมูลสื่อ

289-004
นิตยสารหมอชาวบ้าน 289
พฤษภาคม 2546
บุปผา พูลพันธ์