• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

โรคปวดเข่า : รักษาโดยวิธีไม่ใช้ยาปลอดภัยกว่า

โรคปวดเข่า : รักษาโดยวิธีไม่ใช้ยาปลอดภัยกว่า

ดิฉันมีประสบการณ์ซึ่งเป็นเรื่องของคุณแม่ที่คิดว่าน่าจะเกิดประโยชน์กับผู้อ่าน "หมอชาวบ้าน" บ้างไม่มาก ก็น้อย จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

คุณแม่ดิฉันชื่อ ยินดี ศุภรัตน์ อายุ ๗๒ ปี มีอาชีพเป็นแม่ค้าขายของในตลาด ทำให้ต้องนั่งพับเพียบเป็นส่วนใหญ่ เพิ่งจะหยุดขายของเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๗ เพราะดิฉันรับคุณแม่มาอยู่ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ ๕-๖ ปีคุณแม่เริ่มมีอาการปวดเข่า ก็ให้หมอนวดแผนโบราณมาบีบมานวด ถ้าไปโรงพยาบาลก็จะได้ยามากินอยู่เรื่อย ยาที่ได้ส่วนใหญ่จะเป็นบรูเฟน อินโดซิด เป็นกลุ่มยาแก้ข้ออักเสบ ซึ่งมีผลข้างเคียงทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารได้ แพทย์ได้ให้ยาลดกรดกินควบด้วย

พอมาช่วงหลังดิฉันมารับการอบรมเพิ่มเติม จึงศึกษาเรื่องโรคข้ออย่างจริงจัง พอกลับไปแล้วก็บอกคุณแม่ว่าลอง หยุดใช้ยาแล้วมาบริหารกล้ามเนื้อเข่า เพราะที่เรียนมาเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุจะมีอาการปวด เป็นเพราะกล้ามเนื้อเข่าอ่อนแรงเนื่องจากอายุมากขึ้น

ดิฉันให้คุณแม่หยุดกินยาแก้ข้ออักเสบที่เหลือเป็นกระปุก ซึ่งคุณแม่ไปหาหมอขอยาอยู่เรื่อยเวลาปวดเข่า ตอนนั้นคุณแม่อยู่ที่นครศรีธรรมราช ส่วนตัวดิฉันอยู่สงขลา จะกลับมาเยี่ยมคุณแม่เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ แล้วคุณแม่ อยู่ในชมรมผู้สูงอายุของเทศบาลนครฯ แต่ไม่มีแพทย์ประจำ แต่เขาก็รู้ว่าเป็นคุณแม่ของดิฉันซึ่งทำงานเป็นพยาบาล พอมาขอยาเขาก็ให้ คือท่านเอาตัวอย่างยานี้ไปให้ดู เขาก็จะให้ยาตัวนั้น พอระยะหลังดิฉันก็เก็บยาชุดนั้นออกหมดไม่ให้คุณแม่กิน แต่ท่านก็ยังขอกินอีกเพราะท่านปวด ซึ่งความปวดของท่านมานึกย้อนแล้วเราก็สงสาร ท่านจะใช้ลูกประคบด้วย คือสมุนไพรห่อผ้านำมานึ่งอบให้อุ่นแล้วก็ประคบที่เข่า ท่านจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หายปวด

บังเอิญแถวบ้านมีคุณป้าคนหนึ่งเป็นโรคปวดเข่าเหมือนกัน เขากินยาจนอาเจียนออกมาเป็นเลือดแล้วเสียชีวิต ดิฉันบอกคุณแม่ว่าโรคนี้มีวิธีการรักษาอีกอย่างที่ทำ ให้หายได้คือการบริหารกล้ามเนื้อเข่า เพราะถ้าเรากินแต่ยาโทษของยาจะมีมากกว่า ถ้าคุณแม่ยังขืนที่จะกินยาอยู่ต่อไป  อาจเป็นแบบคุณป้าที่เสียชีวิตก็ได้

ท่านเลยหันมาฝึกการบริหารกล้ามเนื้อเข่า อาการก็ดีขึ้น ดิฉันให้ท่านบริหารโดยการเกร็งยืดปลายเท้าประมาณ ๕-๑๐ นาที แล้วให้ท่านนับ ๑-๑๐ เกร็งอยู่อย่างนั้น ทำสลับขาแต่ละข้าง ครั้งแรกเลยให้ท่านทำข้างละ ๕ ครั้ง ทำทุกวัน ตอนเช้าๆ ทำครั้งแรกท่านก็บอกว่าปวด แต่ระยะหลังท่านไม่ปวดแล้ว ดิฉันก็เริ่มหาน้ำหนักไปถ่วง คือใช้น้ำใส่ถุงพลาสติกเริ่มจากหนักครึ่งกิโลกรัมก่อน  แล้วก็เพิ่มไปเรื่อยๆ ตอนนี้หนัก ๑.๕ กิโลกรัม ทำมาประมาณ ๕ เดือน แล้ว 

ตั้งแต่เริ่มบริหารดิฉันก็ไม่ให้ท่านกินยาอีกเลย และบอกท่านว่าไม่ควรนั่งพับเพียบหรืองอเข่า แม้แต่เวลาไปวัด ดิฉันก็ให้ท่านนั่งเก้าอี้ ที่บ้านก็ทำห้องน้ำใหม่ คือจากที่ทำแบบนั่งยองๆ ก็เปลี่ยนเป็นแบบนั่งชักโครก เพื่อให้ท่านได้สบายขึ้น การขึ้น-ลงบันไดก็ไม่มีปัญหาเพราะที่บ้านเป็น บ้านแบบชั้นเดียวไม่มีบันได คือดิฉันเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ทั้งหมดเลย

ดิฉันควบคุมเรื่องอาหารของคุณแม่ ไม่ให้ท่านกินของหวานๆ และอาหารมันๆ จากเดิมน้ำหนักท่าน ๗๐ กว่ากิโลกรัม ตอนนี้ก็เหลือประมาณ ๖๐ กว่ากิโลกรัม เพื่อนบ้านมักจะมาถามว่าทำไมท่านจึงผอมลง ท่านก็บอกเขาว่าลูกให้ลดน้ำหนัก เพื่อจะได้ปวดเข่าน้อยลง

ตอนนี้ท่านบอกว่าอาการดีขึ้น ปวดน้อยลง และไม่ต้องกินยา
ดิฉันตั้งใจจะเอาเรื่องของคุณแม่ไปเป็นตัวอย่าง  ประกอบในงานของดิฉัน ในการแนะนำชาวบ้านว่า ทำอย่าง คุณแม่แล้วไม่ต้องกินยาก็ช่วยให้หายจากอาการปวดเข่าได้ ถึงแม้ว่าการปรับเปลี่ยนความเชื่อของคนนั้นจะเป็นสิ่งที่ยาก อย่างคุณแม่ดิฉันต้องใช้ระยะเวลาไม่น้อย ต้องอ่านหนังสือ ให้ฟัง ต้องชี้จุดอันตรายของคนอื่นให้เห็น และต้องให้คนใกล้ชิดมีส่วนร่วมด้วย เช่น ลูก หลาน หรือคนอื่นๆ ในครอบครัว ต้องคอยให้กำลังใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม คอยบอกถึงอันตรายของการใช้ยา คอยเตือนไม่ให้ใช้ยา ถึง ท่านจะท้อแท้ทุกข์ทรมานเพราะความปวด ดิฉันก็พยายาม ให้กำลังใจ และชี้แจงท่านตลอด ขอให้ท่านอดทน แรงจูงใจ อีกอย่างของท่านก็คงจะเห็นจากเพื่อนบ้านที่เสียชีวิตจากโรคนี้ ยิ่งพอท่านเริ่มบริหารเข่าแล้วได้ผลท่านก็ยิ่งมีกำลังใจ ทุกวันนี้ไม่ได้กินยาอีกเลยค่ะ

เรื่องที่ดิฉันเล่ามาคงจะเป็นประโยชน์และเสริม "กำลังใจ" ให้กับผู้ที่ทุกข์ทรมานจากอาการปวดเข่า และกินยาแก้ปวดเท่าไรๆ ก็ไม่ดีขึ้นบ้างนะคะ ยาทุกชนิดมีคุณก็มีโทษมากมายเช่นกัน ลองหันกลับมาหาการออกกำลัง บริหารร่างกายกันดูบ้าง จะช่วยให้ปลอดภัยจากการใช้ยา และประหยัดเงินทองได้อีกมากค่ะ...
 

ข้อมูลสื่อ

283-002
นิตยสารหมอชาวบ้าน 283
พฤศจิกายน 2545
จารุนันท์ จตุรพร