• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

รู้ตัวอยู่กับการเคลื่อนไหว : ศิลปะแห่งความสุข/ของฝากจากอเมริกา (ตอนที่ 4)

รู้ตัวอยู่กับการเคลื่อนไหว : ศิลปะแห่งความสุข/ของฝากจากอเมริกา (ตอนที่ 4)

 ในช่วงเดือนสิงหาคม 2538 ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เพื่อร่วมประชุมสัมมนานานาชาติ (3rd World Congress of Medical Acupuncture and Natural Medicine) ซึ่งจัดโดย “มูลนิธิการแพทย์ ธรรมชาติแห่งโลก” (World Natural Medicine Foundation) ที่เมืองเอดมอนตัน ประเทศแคนาดา และได้แวะดูงานทางด้านเวชศาสตร์ ครอบครัวที่เมืองซีแอตเติล สหรัฐอเมริกา ได้รับความรู้ ประสบการณ์ และแง่คิดต่าง ๆ จึงขอบันทึกไว้ในคอลัมน์นี้ เริ่มลงตอนที่1 ตั้งแต่ฉบับตุลาคม 2538    

 

ผมฝึกฉี้กงอยู่ประจำ มาประชุมคราวนี้ก็หวังจะได้เรียนรู้มากขึ้น หลักสูตรแพทย์ต้องสอนให้นัก ศึกษาแพทย์รู้จักฝึกหัดต้องสอนให้นักศึกษาแพทย์รู้จักฝึกหัดในเรื่องเหล่านี้ จะได้ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต และทำงานมีความสุขขึ้น”

ชายเจ้าของคำพูดนี้เป็นแพทย์แผนปัจจุบันสาขารังสีวิทยา วัย 40 เศษ จากรุงโซล เกาหลีใต้ ผู้หันมาสนใจในเรื่องธรรมชาติบำบัด และใช้เงินส่วนตัวเดินทางร่วมประชุมในครั้งนี้
ดังได้กล่าวไว้ในตอนที่แล้วว่า การฝึกฉี้กงหรือพลังชีวิตนั้นเป็นการผสมผสานการบริหารกาย–ลมหาย-จิต-ใจ ทั้ง 3 ด้านพร้อมๆ กันไปด้วยการเคลื่อนไหวท่าต่าง ๆ ประกอบกับการผ่อนลมหายใจ ถ้าออกตามจังหวะและสร้างศานติภายในจิตใจ นั่นก็คือ การเคลื่อนไหวอย่างมีสตินั่นเอง

คุณหมอซ่งเทียนปิน ครูสอนวิชาฉี้กง จากปักกิ่ง ดังที่ได้กล่าวถึงเมื่อตอนที่แล้ว ได้บรรยายและสาธิตท่าบริหารขั้นพื้นฐาน (ดูข้อความในกรอบ 1)  

                                             การฝึกฉี้กงขั้นพื้นฐาน

วิธีพื้นฐานง่าย ๆ ก็คือ การยืนตรง เท้าห่างกัน 15-20 เซนติเมตร ปล่อยแขนไว้ 2 ข้างลำตัว หายใจเข้า-ออกลึก ๆ โดยหายใจเข้าทางจมูก พร้อมกับยืดตัวขึ้นและกำมือ 2 ข้างพอแน่น พดสุดแล้วก็ผ่อนหายใจออกยาว ๆ ปล่อยลมออกจากปาก พร้อมกับย่อเข่าเล็กน้อยและปล่อยมือที่กำออก ทำเช่นนี้ 9 ครั้ง จะให้ความรู้สึกสดชื่นทันที
หรือเวลานั่งอยู่ว่าง ๆ ก็อาจทำการบริหารส่วนของใบหน้าและศีรษะเริ่มต้นด้วยการทำท่าเคี้ยวอาหาร 36 ครั้ง ต่อไปเคลื่อนไหวลิ้น ดันลิ้นไปทางซ้าย-ขวา 36 ครั้งแล้วต่อด้วยท่าบ้วนปาก 36 ครั้ง จนรู้สึกมีน้ำลายสอ ก็ให้กลืนน้ำลาย 7-9 ครั้ง โดยประสานกับการหายใจเข้า-ออก
ต่อไปใช้มือ 2 ข้างทำท่าหวีผม ให้นิ้วแตะถูกหนังศีรษะแล้วนวดจากหน้าไปหลัง จะทำท่าเคาะหรือเกาหนังศีรษะเบา ๆ ไปด้วยก็ได้ ทำเช่นนี้ 36 ครั้ง


เสร็จแล้วเอาฝ่ามือ 2 ข้างประกบกันถูไปมาให้รู้สึกร้อนแล้ว ใช้นิ้วมือ 2 ข้างเช็ดขอบตาบน ไล่จากหัวตาออกไปทางหางตา 36 ครั้ง
ต่อไปถูฝ่ามือให้ออกร้อนแบบเดียวกัน แล้วทำท่าเช็ดข้างจมูก 2 ข้าง 36 ครั้ง
ต่อไปใช้นิ้วชี้ 2 ข้างเช็ดนวดไปตามร่องหู เริ่มจากด้านใน (ตรงรูหู) ออกมาที่ขอบหู สุดท้ายลงมาสุดที่ใบหูส่วนล่าง ใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือดึงใบหู ก่อนจะปล่อยนิ้วมือออกจากใบหู ทำเช่นนี้ 36 ครั้ง จนใบหูออกร้อนผ่าว ๆ




 

 

 

 

 

 

 

ต่อไปใช้มือ 2 ข้าง นวดบริเวณท้ายทอยขึ้นลง 36 ครั้งแล้วบริหารคอ โดยท่าก้ม-เงย 9 ครั้ง ก้มไปทางซ้าย-ขวา 9 ครั้ง และหันศีรษะไปทางซ้าย-ขวา 9 ครั้ง
 

 

ผู้เขียนได้ลองทำดูก็รู้สึกเพลิดเพลิน เข้าใจว่าเป็นอุบายสร้างจังหวะ การเคลื่อนไหวให้เกิดสติรู้ โดยไม่เปิดโอกาสให้ความคิดอย่างอื่นเข้าแทรก
การฝึกฉี้กงมีทั้งหมด 500 แบบ ที่ผู้ที่เขียนได้เรียนรู้นี้เป็นเพียงขั้นพื้นฐานเบื้องต้น เท่านั้น
เคยเห็นที่สวนลุมพินีและสวนจตุจักรมีการฝึกในท่าที่ซับซ้อน ท่านที่สนใจในเรื่องนี้ลองไปฝึกจากครูที่สวนสาธารณะเหล่านี้ดูก็ได้

ในการประชุมครั้งนี้ ยังมีห้องที่สาธิตเกี่ยวกับการฝึกโยคะและการหายใจโดยครูจากเนปาล การฝึกสมาธิแบบทีเอ็มจากสำนักมหาฤษี (maharishi) ซึ่งโด่งดังในโลกตะวันตก การถ่ายทอดพลังจักรวาล (Reiki) โดยแพทย์แคนาดา การเจริญสติ แบบเฟลเตนไครส์ (Felden krais) โดยครูฝึกชาวแคนาดา เป็นต้น
ผู้เขียนได้เลือกทดลอง หาประสบการณ์จาก 2 ห้องหลัง ซึ่งดูจะเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ ไม่เคยทราบมาก่อน

เรื่องของพลังจักรวาล (Reiki) เป็นการรักษาโรค ที่ค้นพบโดยหมอญี่ปุ่น ชื่อ มิคาโอะ อูซิอิ เมื่อ 100 กว่าปีมาแล้ว โดยเชื่อว่าผู้ที่ฝึกฝนสมาธิจนมีพลังจิตแก่กล้า จะสามารถรับพลังจักรวาลเข้าสู่ร่างกายโดยผ่านเข้าทางศีรษะ พลังนี้จะช่วยปรับดุลในร่างกาย เป็นการส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง และช่วยในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายทอดพลังนี้ออกทางฝ่ามือ ส่งทอดให้คนอื่นได้อีกด้วย

ในห้องสาธิต หมอหรือครูฝึกได้ให้ผู้สนใจรับพลังนั่งบนเก้าอี้ บางคนก็ให้นอนบนเตียง หลับตา ทำใจนิ่งสงบ หายใจเข้า-ออกช้า ๆ แล้วหมอก็เข้าประกบผู้รับพลังพลังเป็นคู่ ๆ ใช้ฝ่ามือ 2 ข้าง แตะประกบตรงหน้าผากและท้ายทอยของผู้รับพลัง สัก 5-10 นาที จนรู้สึกว่าฝ่ามือของหมอผู้ส่งพลังออกร้อน ต่อมาก็ขยับฝ่ามือมาแตะที่หน้าอก หน้าท้อง หัวเข่า ตามลำดับ วางอยู่แห่งละ 5-10 นาที รวมเวลาทั้งสิ้น ประมาณ 20-30 นาที
ผู้เขียนได้ทดลองรับถ่ายทอดพลังจากครูฝึกคนหนึ่ง ซึ่งมีอาชีพเป็นพยาบาล ก็รู้สึกสงบและผ่อนคลาย
แพทย์หญิงมาเรียน เทย์เลอร์ ชาวแคนาดา หัวหน้าคณะครูฝึกพลังจักรวาล ได้บรรยายว่า วิธีนี้ เป็นการช่วยให้ผู้รับพลังได้ใช้สมองซีกขวาในการเจริญสติ (การรู้ตัว) และผ่อนคลาย ซึ่งจะทำให้ร่างกายหลั่งสารสุข (เอ็นดอร์ฟีน) และเพิ่มพลังต้านทานโรค
เธอย้ำว่าในการรักษาโรคจะต้องผสมผสานส่วนดีของการแพทย์ทุกระบบ เช่น ถ้าเป็นโรคที่จำเป็น ต้องผ่าตัด ฉายรังสี หรือให้ยา ก็ให้ปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำ ขณะเดียวกันก็เสริมด้วยวิธีการตามแบบตะวันออกควบคู่กันไป

ส่วนการเจริญสติแบบเฟลเดนไครส์นั้นค้นพบโดยนักฟิสิกส์และครูสอนยูโด ชาวยิว ชื่อ ดร.โมเซ่ เฟลเดนไครส์ โดยได้คิดค้นท่าบริหารที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองต่างหาก ในคราวนี้วิทยากรได้สอนท่าบริหารหลังส่วนล่าง (ดูข้อความในกรอบ 2) ซึ่งก็ให้ความเพลิดเพลินได้ดีเช่นกัน
สิ่งที่ได้เรียนรู้ก็คือ วิธีการต่าง ๆ ที่มีผู้คิดค้นขึ้นนี้ล้วนมีจุดที่ร่วมกัน คือ เป็นอุบายในการสร้างความรู้ตัวหรือเจริญสติ ส่วนใครจะชอบหรือถนัดวิธีใด ก็คงขึ้นกับจริตของแต่ละคน
อย่างไรก็ตาม การเจริญสติควรสอดแทรกอยู่ในอิริยาบถในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน หายใจ วิ่งออกกำลังกาย ทำงาน ทำกับข้าว กินข้าว เคียวอาหาร ดื่มน้ำ กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน อาบน้ำ ฯลฯ ก็สามารถสร้างความรู้ตัวในการเคลื่อนไหวหรืออิริยาบถนั้น ๆ ได้ ทุกอย่างทุกแห่งและทุกเวลา

หากปฏิบัติได้เป็นนิจ ก็ย่อมเกิดความสุข ดังโคลงพุทธภาษิตของท่านพุทธทาสที่ว่า
สวรรค์               พลันสฤษฎ์ด้วย                           ความพอใจเฮย
ใน                     ขณะหน้าที่ใด                             เผด็จแล้ว
ทุก                   ถิ่นทุกกาลไหน ทุกชนิด             แลนา
อิริยาบถ           สดใสแผ้ว                                   เพียบด้วยดวงธรรม

 

 

                                                  การเจริญสติแบบเฟลเดนไคร์ส 
                                                     (ท่าบริหารหลังส่วนล่าง )

                                           
ผู้ฝึกนอนหงาย ชันเข่า 2 ข้าง กำหนดให้ตำแหน่งก้นกบเป็นเลข 12 นาฬิกา ตะโพกขวาเป็นเลข 3 นาฬิกา ตรงกลางกระเบนเหน็บเป็นเลข 6 นาฬิกา และตะโพกซ้ายเป็นเลข 9 นาฬิกา
เริ่มต้นให้ทำใจสงบ หายใจเข้า-ออกลึก ๆ
แล้วให้เคลื่อนไหวแผ่นหลังส่วนล่าง โดยเริ่มขยับไปมาระหว่างตำแหน่ง 12 นาฬิกา (ก้นกบ) กับ 6นาฬิกา (กระเบนเหน็บ) 10 ครั้ง แล้วขยับไปมาระหว่างตำแหน่ง 3 นาฬิกากับ 9 นาฬิกา 10 ครั้ง
หลังจากนั้นลองเคลื่อนตามเข็มนาฬิกา เริ่มจาก 12 นาฬิกา จนครบรอบ (360 องศา) ทำ 10 ครั้ง แล้วเคลื่อนทวนเข็มนาฬิกา 10 ครั้ง
ตลอดเวลาให้มีสติรู้ลมหายใจเข้า-ออก



 

    

ข้อมูลสื่อ

201-010
นิตยสารหมอชาวบ้าน 201
มกราคม 2539
ท่องไปได้คิด
รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ