• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ยาม้า...ยาขยัน จะกินกันไปทำไม?

ยาม้า...ยาขยัน จะกินกันไปทำไม?


รถสิบล้อคันหนึ่งวิ่งติดต่อกันมาเป็นเวลา 6 ชั่วโมง เลี้ยวเข้าสู่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง “ไอ้น้องชายขอม้าสัก 5 ตัวซิ เสียงดังออกมาจากตอนหน้าของรถคันนั้น

เด็กปั๊มคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาคนขับรถ มองดูหน้าตาให้ชัด ๆ “อ้อ พี่สิงห์เองหรือ คิดว่าใคร เดี๋ยวนะครับพี่” แล้วก็วิ่งไปหลังปั๊ม หยิบยาเม็ดสีขาว ๆ ขนาดเท่ายาแอสไพริน บนเม็ดมีรูปม้า มาส่งให้คนขับรถสิบล้อคนนั้นตามต้องการ

พร้อมกับสนทนาต่อ “วันนี้ไปถึงไหนล่ะพี่” “เชียงใหม่โน่นแน่ะ ง่วงฉิบหาย เมื่อกี้เกือบลงเหวไปทีนึงแล้ว” ว่าแล้วก็ปายาเม็ดหนึ่งเข้าปาก ควักเงินส่งให้เด็กผู้นั้นไป 25 บาท แล้วออกรถไป

มีป๊อบปิ้นไหมเฮีย” “เอายาขยันมา 5 ชุดซิ” “มีม้าไหม” “ลุงบ่มีแฮงเฮ็ดงาน เอายาที่กินมีแฮงให้ลุงจั๊กหน่อยปะไร้” “เอาไอ้ที่ชูสองนิ้วมาดื่มสักขวดสิ” “ไอ้ที่ดื่มแล้วเขาว่า ซู่ๆ ซ่าๆ น่ะมีไหม” และอีกหลายร้อยหลายพันคำถามทำนองเดียวกันนี้ ที่เกิดขึ้นในร้านขายยาที่หาง่ายกว่าร้านกาแฟ

ทำไมการสนทนาในปั๊มน้ำมันหรือคำถามเหล่านี้ในร้านขายยา จึงต้องมีในบ้านเมืองเรา? อ๋อ! ก็เป็นธรรมดาของประเทศที่ถูกเรียกอย่างเกรงใจว่า ประเทศกำลังพัฒนาละครับ ที่ประชากรส่วนใหญ่ต้องตรากตรำทำงานหนักเกินกำลัง แต่ก็ยังไม่พอกินพอใช้ จำเป็นต้องพยายามดิ้นรน เพื่อที่จะหาให้ได้พอแต่เมื่อร่างกายมันเหนื่อย อ่อนเพลียจะทำไม่ไหว ก็ต้องไปหาอะไรมากินกระทุ้ง กระตุ้น ให้มันทนอยู่ไหว แล้วผลก็คือ การตกเป็นทาสของยาเหล่านั้น

ทีนี้ ถ้าจะถามต่อไปว่า แล้วยาที่ผู้ใช้แรงงานเรียกหากันนั้น มันไปทำอะไรให้ดีขึ้นหรือเปล่า? ก็ต้องบอกกันตรง ๆ อย่างชัด ๆ เลยว่า ไม่มีประโยชน์เลย โดยเฉพาะการนำมาใช้ที่ผิด ๆ อย่างทุกวันนี้ นอกจากไม่มีประโยชน์แล้วยังทำให้เสพติด และอาจทำให้เกิดความผิดปกติของประสาทสมอง ทำให้เสียสติในที่สุดได้ อย่างที่มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์บ่อย ๆ ว่า มีผู้ไปกินยาม้าแล้วเกิดคลุ้มคลั่ง ฆ่าลูกเมียตายเรียบ อย่างนี้เป็นต้น

ยาพวกนี้ เป็นที่รู้จักกันขึ้นโดยการบอกเล่าจากผู้ไม่รู้จริงบ้าง โฆษณามอมเมาบ้าง ทำให้เข้าใจผิดกันไปว่าเป็นยาบำรุงบ้าง ทำให้ร่างกายแข็งแรงบ้าง แก้หรือป้องกันโรคนั้นโรคนี้ได้บ้าง ซึ่งล้วนแต่เป็นความเข้าใจผิด หรือเข้าใจคลาดเลื่อนทั้งสิ้น
จริงอยู่ เมื่อกินยาพวกนี้เข้าไป แรก ๆ จะรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะยาพวกนี้ออกฤทธิ์ไปกระตุ้นสมองส่วนกลาง หาใช่ไปบำรุงร่างกายไม่ แต่พอผ่านไป 3-6 ชั่วโมงเท่านั้น ไอ้ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าก็จะหายไป กลายเป็นความซึมเซาหมดเรี่ยวแรงเหมือนเดิม หรือยิ่งกว่าเดิมเสียอีก โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ไปกระตุ้นให้ทำงานเกินกำลัง คือเมื่อทำงานหนักจนจะไปไม่ไหวแล้วกินยาพวกนี้เข้าไปกระตุ้น มันก็ไปต่อได้จริง ๆ เสียด้วย แต่หารู้ไม่ว่า มันเป็นการไปสู่หลุมฝังศพด้วยทางด่วน ซึ่งสร้างขึ้นด้วยตนเอง สุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจจะเสื่อมโทรมลงทุกวัน ยิ่งถ้าไปเสพติดยาพวกนี้เข้า จะทำให้เบื่ออาหาร กินข้าวกินปลาไม่ลง จิตใจหงุดหงิดฟุ้งซ่าน ยิ่งส่งเสริมการตายผ่อนส่งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ทีนี้ ก็จะเป็นการแข่งขันกันระหว่างการที่จะบ้าก่อน หรือการที่ร่างกายจะทรุดโทรมก่อน ถ้าใครยังบังอาจกล่าวว่า “บ้าก็บ้าซิวะ” ก็ระวังไว้นะ อาจจะต้องไปทำบาปทำกรรม ฆ่าลูก ฆ่าเมีย อย่างที่มีข่าวมาแล้วละก็ ยิ่งซวยหนักไปกันใหญ่เลย



ทีนี้ คนติดแล้วจะทำยังไงล่ะ

ไม่ยาก! ไม่ยาก! แต่ก็ไม่ง่ายเสียทีเดียวหรอกนะ มันก็มีกรรมวิธีอยู่ บอกเสียก่อนเลยว่า เป็นวิธีของมหาบุรุษเอกของโลก ใช้กันมาตั้ง 2500 กว่าปีแล้วซะด้วยนะ คือวิธีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไงล่ะ ท่านสอนไว้ว่า เมื่อเราไปติดสิ่งใด ก็ให้เราพิจารณาให้เห็นโทษร้ายก็สิ่งนั้นให้มาก ๆ ให้เห็นให้ชัดแจ้ง พิจารณาทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเกิดความยากที่จะเลิกราจากมันจริง ๆ เรียกว่าเกิดสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าสิ่งนั้นมันชั่ว มันเลว เราไม่น่าจะต้องไปกิน ไปเสพมัน แต่ถ้าใจมันยังไม่ยอม ยังอยากไปกินมันอยู่นั่นเอง ทีนี้เราก็ต้องมาตั้งสัจจะหรือศีลให้กับตัวเอง โดยประมาณตนเองให้ดี ๆ ว่า เรามีความเก่งที่จะลดละลงมาได้แค่ไหน เช่นเคยกินวันละ 5 เม็ด หรือ 5 ขวด เราจะลดเหลือวันละ 4 หรือ 3 หรือ 2 หรือ 1 ได้หรือไม่ หรือถ้าใครแน่จริง ก็เลิกทีเดียวเลยก็ยิ่งดี แต่ก็ต้องให้แน่จริง ๆ นะ เพราะเมื่อเราตั้งสัจจะหรือศีลขึ้นแล้ว ก็ต้องทำจริง ๆ ให้ได้ตามนั้น เคล็ดลับที่สำคัญมันอยู่ตรงนี้ “ต้องเอาจริง” ต้องท่องคาถาเอาไว้ด้วยว่า “แค่ตาย” คือเอาจริง ๆ แล้วก็ทำแค่ตาย (แล้วมันจะไม่ตายจริงสักที ไม่ต้องกลัวหรอก) เพราะศีลนั้น มาจากคำว่า ศิลา แปลว่า หลักหินอันหนัก ซึ่งเมื่อปักลงแล้ว ก็ต้องให้แน่น ไม่ใช่ตั้ง ๆ ล้ม ๆ เหมือนไม้หลักปักขี้เลนอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ต้องให้หนักแน่จริง ๆ ไม่ว่าจิตใจมันจะโหยหาอาวรณ์ เรียกร้องต้องการอย่างไร ๆ ก็ต้องไม่ยอมมัน และต้องอย่าหลงสำคัญผิดคิดว่า ไอ้ที่มันดีดดิ้นขอเครื่องเซ่น (ยา) อยู่นั้นเป็นตัวเราเข้าให้ล่ะ แท้จริงแล้วมันคือเจ้าผีร้ายที่เราหลงเลี้ยงไว้เพื่อป้อนเหยื่อ (ยา) ให้มันเป็นประจำจนมันอ้วนพีทีเดียว ทีนี้เมื่อเราละเหยื่อ มันก็ต้องดีดดิ้นเรียกร้องจะกินเหยื่อเป็นธรรมดา

เมื่อเรารู้ได้ด้วยปัญญาแล้วว่า สิ่งนี้ไม่จำเป็นกับเรา แถมยังมีโทษภัยกับเราถึงตายทีเดียว ไอ้การเรียกร้องอันนั้นก็เป็นการเรียกร้องของเจ้าผีร้ายแน่ ๆ เราจงเฝ้าดูมัน สมน้ำหน้ามัน ประกาศกับมันเลยว่า ต่อไปนี้เราจะไม่เป็นทาสเจ้าอีกแล้ว เราจะไม่ป้อนเหยื่อเจ้าอีกแล้ว เราจะปล่อยให้เจ้าอดจนเหี่ยวแห้งตายไปทีเดียว แล้วเมื่อเราทำได้เราก็จะเห็นมันค่อยๆ ตามไปจริงๆ เราจะเห็นได้ชัดๆ ว่ามันไม่ใช่ตัวเรา เราพรากมันออกได้จริงๆ แต่ถ้าเมื่อใดที่ใจของเราเริ่มหวั่นไหว จะเอาเหยื่อไปป้อนมัน ก็ต้องรีบตั้งสติให้ดี รู้เท่าทันมันให้ได้ ใช้ขันติอดทนข่มฝืนไว้ พร้อมกันนั้นก็ต้องใช้ปัญญา พิจารณาให้เห็นโรคภัยของมันให้ชัดๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พิจารณาให้เห็นถึงคุณประโยชน์ที่เลิกล้มจากมันให้ได้ จนจิตใจมันคลายความหวั่นไหวลง ทำอย่างนี้เสมอๆ จิตใจเราก็จะหลุดล่อนจากมันได้ขั้นหนึ่ง แล้วตั้งศีลขึ้นใหม่ให้ลดละได้ยิ่งกว่าเดิม ทำอย่างเดิมจนได้ ตั้งศีลขึ้นอีก อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนเลิกละได้สนิท จิตใจเป็นปกติไม่หวั่นไหว ไม่ต้องอดทนข่มฝืน หลุดขาดจากการเป็นทาสเจ้าผีร้ายได้จริง แม้ได้เห็น ได้สัมผัสก็ไม่อยากจริงๆ เรียกว่าวิมุติ หรือหลุดพ้นจากสิ่งนั้นอย่างแท้จริง

วิธีที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา อันได้แก่หลัก ศีล สมาธิ ปัญญาหลักสมถะและวิปัสสนาอย่างแท้จริงอยู่ในวิธีทั้งหมดนี้ และวิธีเดียวกันนี้ใช้ได้กับการเสพติดชนิดอื่นๆ ตั้งแต่ขั้นหยาบๆ คือ อบายมุข เช่น เหล้า บุหรี่ หมากพลู ยานัตถุ์ การพนัน เป็นต้น ไปจนถึงขั้นละเอียดขึ้นไป คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และขั้นสุดท้าย คือละอัตตาตัวตนเลยทีเดียว

วันนี้คอลัมน์ยาน่าใช้ ก็ขอคุยเรื่องธรรมะอีกสักคอลัมน์เถอะครับ ไม่ได้คิดจะแข่งกับคอลัมน์พุทธธรรมกับสังคมของคุณหมอประเวศหรอกนะครับ แต่พอดีการแก้ปัญหาเรื่องนี้และความจริงในทุกๆ ปัญหานั่นแหละ ต้องใช้วิธีของพระพุทธองค์ ซึ่งได้ผลดีจริงๆ และดีที่สุด เพราแก้กันหลุดล่อนถึงใจจริงๆ เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเชียวละ คือได้ลดละยาเสพติด และเป็นการฝึกหัดการใช้วิธีของพระพุทธเจ้า ในการแก้ปัญหาอันจะเป็นประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาชีวิตอื่น ๆ ซึ่งเกิดจากการเสพติดได้อีกด้วย
กลับมาถึงปัญหายาม้า ยาขยัน กันอีกสักหน่อยนะครับ ทีนี้ก็คงจะมาถึงปัญหาสุดท้ายละครับว่า ถ้าไม่ให้กินยาพวกนี้ แล้วเวลาที่เหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรงหรือง่วงนอน จะทำอย่างไรดี?

เราต้องสำรวจตัวเองว่า อาการที่เราเป็นนั้นเกิดจากสาเหตุอะไร ถ้าเป็นเพราะเราทำงานจนเกินกำลังแล้วก็ไม่ควรจะไปฝืนขืนทำต่ออีก เพราะมันเป็นการทำลายตนเองดังได้กล่าวมาแล้ว ควรจะได้พักผ่อนให้หายอ่อนเพลีย หรือหายง่วงนอนเสียก่อน จึงค่อยทำใหม่ดีกว่า แต่ถ้าจำเป็น พักไม่ได้จริง ๆ ก็ให้กินกาแฟแก่ ๆ สัก 1-2 แก้ว ก็จะรู้สึกมีกำลัง หายง่วงเหมือนกินยาพวกนี้เหมือนกัน แต่ก็ต้องตระหนักให้มาก ๆ ด้วยนะว่า วิธีนี้ห้ามใช้บ่อย ๆ เพราะจะทำให้ติดกาแฟได้เหมือนกัน ทางที่ดีแล้วเราต้องหาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าหาเวลาพักผ่อนไม่ได้ นั่นก็แสดงว่า เรากำลังดำเนินชีวิตบนวิธีทางที่ไม่ถูกต้องเสียแล้ว ควรที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตให้มีเวลาพักผ่อนเพียงพอดีกว่า เพราะมันคงไม่คุ้มกันหรอกนะครับที่จะเอาชีวิตอันมีค่า ไปแลกกับค่าตอบแทนที่เพิ่มมาเพียงเล็กน้อย ที่เกิดจากการทำงานในส่วนที่เกินกำลังไปนั้น แต่ถ้าทำงานแค่เต็มกำลังความสามารถแล้ว ยังไม่พอกินพอใช้ ก็ต้องมาสำรวจตัวเองดูว่า มีสิ่งใดที่เกินจำเป็นสำหรับมนุษย์ ต้องพยายามลดละมันเสีย เช่น สิ่งเสพติดต่าง ๆ (เหล้า บุหรี่ หมากพลู ยานัตถุ์) การพนัน มหรสพ การละเล่น เที่ยวกลางคืน เหล่านี้ล้วนแต่เผาผลาญทุน เวลา แรงกาย แรงปัญญาของเราทั้งสิ้น เราต้องเรียกร้องเอากลับคืนมาให้หมด โดยใช้วิธี ศีล สมาธิ ปัญญา ตามที่กล่าวมาแล้วนั่นแหละ แต่ถ้าทั้งขยันขันแข็ง ทำการงานเต็มที่ อบายมุขก็ไม่มีสะอาดหมดจด ก็ยังไม่พอกินพอใช้ ก็เห็นจะต้องคุยกันเป็นส่วนตัวแล้วละครับทีนี้ เพราะเดี๋ยวจะยาวเกินไป บรรณาธิการ ท่านจะโกรธเอา หาว่าผมชอบนอกเรื่องเสียเรื่อง แต่ความจริงก็ในเรื่องเหมือนกันแหละครับ แต่มันเป็นขั้นตอนที่ละเอียดอ่อนทางศาสนธรรม ที่จะต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียว ถ้าใครสนใจจะติดต่อผ่านทางหมอชาวบ้าน ถึงผมก็ได้นะครับ


 

ข้อมูลสื่อ

13-009
นิตยสารหมอชาวบ้าน 13
พฤษภาคม 2523
ยาน่าใช้
ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี