• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

เด็กสามขวบถึงสี่ขวบ

การเลี้ยงดู

314 ฝึกลูกให้แข็งแรง

เมื่อเด็กโตขึ้นอายุเกิน 3 ขวบ การฝึกร่างกายของเด็กย่อมยุ่งยากขึ้น เพียงฝึกกายบริหารและสูดลมหายใจลึกๆเท่านั้นไม่เพียงพอ เด็กควรได้ออกไปวิ่งเล่น กระโดดโลดเต้น และส่งเสียงดังอยู่กลางแจ้งซึ่งเป็นสถานที่ปลอดภัย ไม่มีรถยนต์แล่นไปมาน่าอันตราย เป็นที่น่าเสียดายที่ว่าเมื่อเมื่อขยายใหญ่ขึ้น ที่ว่างกลางแจ้งสำหรับเด็กก็น้อยลงไปเรื่อยๆ จะให้เด็กวิ่งเล่นไล่จับกัน แม้เป็นการออกกำลังกายวันละหลายชั่วโมงนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเด็กมีเพื่อนวิ่งเล่นด้วยกันแกจะเล่นอยู่ได้อย่างเพลิดเพลินเป็นเวลานานโดยไม่เบื่อ

เด็กที่มีชีวิตอยู่ในเมืองท่ามกลางความจอแจและขาดที่ว่างอันปลอดภัยให้แกเล่น จะถูกกักขังอยู่แต่ในบ้าน เมื่อเด็กถูกกักขังแกจะหาทางระบายพลังงานที่อัดอยู่ในร่างกายออกมา โดยการปีนโต๊ะเก้าอี้บ้าง ปีนบันไดกระโดดลงมาบ้าง เอาเก้าอี้ทำเป็นรถเข็นเล่นบ้าง ซึ่งเป็นการฝึกร่างกายตามความเรียกร้องทางธรรมชาติของเด็ก แต่พ่อแม่มักจะคิดว่าลูกเล่นโลดโผนอันตรายและห้ามก็ไม่ค่อยเชื่อ

การใช้โทรทัศน์หรือวิดีโอเป็นพี่เลี้ยงเด็กนั้น จะทำให้เด็กขาดการออกกำลังกายที่เพียงพอ รายการสำหรับเด็กมักมีโฆษณาขนมต่างๆมากมายจำพวกขนมแป้งทอดกรอบ ช็อกโกแลต บะหมี่สำเร็จรูป ฯลฯ เด็กถูกโฆษณาชักจูงจึงอยากกิน และถ้าคุณแม่ตามใจไม่อั้น ให้ลูกดูโทรทัศน์ไปกินไปไม่ร้องกวน เพราะคนเลี้ยงสบายดี ผลสุดท้ายลูกจะอ้วนฉุและอ่อนแอ เพราะฉะนั้นอยากให้คุณพ่อคุณแม่ถือว่าการพาลูกออกไปเล่นกลางแจ้งเป็นหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งของตนทีเดียว

บ้านและที่ดินราคาแพงขึ้น สนามส่วนตัวของบ้านคนฐานะธรรมดาโดยทั่วไปจึงแคบลงทุกที จนกระทั่งไม่พอสำหรับฝึกร่างกายของเด็ก ถ้าสภาพเป็นเช่นนี้ เมื่อเด็กอายุเกิน 3 ขวบ น่าจะส่งไปสถานเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียนอนุบาลซึ่งมีสนามเด็กเล่นกว้างขวาง และมีนโยบายฝึกความพร้อมของเด็กทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ และสังคม มิใช่บังคับให้เด็กนั่งเรียนหนังสือตั้งแต่เช้าจรดเย็นอยู่แต่ในห้อง เวลาซึ่งเด็กวัยนี้แยกจากแม่ไปฝึกการอยู่ในสังคมรวมหมู่และการพึ่งตนเองนั้น ไม่ควรยาวนานนัก อาจจะเป็นเฉพาะช่วงเช้า วันละ 3-4 ชั่วโมง สถานเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียนอนุบาลควรเน้นการฝึกร่างกายของเด็กให้มากเพราะมีสนามกว้าง มีเครื่องเล่นที่ปลอดภัย และมีเพื่อนเล่นสนุกสำหรับเด็กอยู่อย่างพร้อมมูล

คุณพ่อควรเอาใจใส่ด้านการออกกำลังกายของลูกด้วย หาโอกาสพาลูกวิ่งบ้าง พาไปว่ายน้ำบ้าง ฯลฯ เป็นการยิงทีเดียวได้นกหลายตัว คือได้ออกกำลังกายทั้งพ่อทั้งลูก และช่วยกระชับสัมพันธ์ของพ่อกับลูกอีกด้วย

ประเพณีไทยนิยมเลี้ยงลูกผู้หญิงให้เป็นเด็กเรียบร้อยดังผ้าพับไว้ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า เด็กผู้หญิงหมดสิทธิ์วิ่งเล่น กระโดดโลดเต้น หรือปีนป่าย ซึ่งเป็นการฝึกร่างกายให้แข็งแรงตามธรรมชาติของเด็ก เด็กควรถูกฝึกให้รู้จักสำรวมเรียบร้อยในเวลาที่ควรเรียบร้อย และได้เล่นอย่างเต็มที่ในเวลาเล่น มิใช่ถูกดุว่าหรือบังคับกักกันอยู่ตลอดเวลา

315 ควรสอนอะไรลูกที่บ้าน
คุณพ่อคุณแม่สมัยนี้มักจะ “แก่วิชา” พอลูกเริ่มพูดรู้เรื่องก็สอนท่องก.ไก่ A B C D หัดนับ 1 ถึง 10... เมื่ออายุ 2 ขวบเศษ ก็ส่งเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาล ถ้าโรงเรียนไม่สอนให้เด็กหัดอ่านหัดเขียน จะถูกหาว่าเป็นโรงเรียนที่สอนเด็กไม่ได้ผล เมื่อเด็กกลับมาบ้าน ทางบ้านก็สอนอีก วันเสาร์อาทิตย์พาไปเรียนดนตรีบ้าง เรียนวาดภาพบ้าง ฯลฯ

ก่อนที่จะคิดว่า เราจะสอนอะไรลูก ควรคิดเสียก่อนว่า เราสอนเพื่ออะไร? หากคุณพ่อคุณแม่คิดว่าการสอนเลข สอนภาษาไทย สอนภาษาอังกฤษ แก่เด็กในวัยก่อนเข้าเรียนนี้จะทำให้เด็กเก่งกว่าคนอื่น เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเรียนตามเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ ก็นับว่าเป็นความคิดที่ผิด

จริงอยู่ ในช่วงการเรียนปีแรกๆของชั้นประถมต้น เด็กที่เคยเรียนมาก่อนอาจไปเร็วกว่าเด็กที่เข้าเรียนตามเกณฑ์จริง แต่ความเก่งเพียงชั่วระยะปีสองปี จะมีความหมายอะไร เมื่อเทียบกับช่วงชีวิตที่ยาวนานหลายสิบปี โดยที่เด็กต้องสูญเสียโอกาสเรียนรู้สิ่งที่ไม่ใช่ “วิชา” แต่เป็นสิ่งซึ่งสำคัญยิ่งสำหรับมนุษย์ นั่นคือ “ความคิดสร้างสรรค์”

ความคิดสร้างสรรค์จะไม่เกิดขึ้นโดยผ่านการสอนแบบบังคับยัดเยียดหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ คือสอนให้ลูกรู้จักพัฒนาความสามารถด้วยตนเอง รู้รสชาติของความปีติยินดีเมื่อได้ทำสิ่งที่สร้างสรรค์ และรู้จักสร้างครอบครัวที่สุขสดชื่น

ครอบครัวจะมีความสุขสดชื่นก็ต่อเมื่อสมาชิกของครอบครัวเข้าใจซึ่งกันและกัน และอยู่ร่วมกันอย่างมีชีวิตชีวา

คนเราจะรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาเมื่อเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีเพราะได้ทำสิ่งที่สร้างสรรค์ ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ซึ่งเหมาะกับอุปนิสัยและความสามารถของตน เด็กที่ชอบวิ่งเล่นนอกบ้านก็เปิดโอกาสให้แกได้เล่น เด็กชอบวาดรูปก็ให้วาด ถ้าชอบดูหนังสือภาพก็หาหนังสือให้ชอบ ประดิษฐ์ก็หาแท่งไม้หรือพลาสติกสำหรับต่อเล่นให้ เด็กที่ชอบดนตรีก็ให้ฟังดนตรี เด็กบางคนชอบอ่านตัวอักษร เมื่อแกถามก็ควรตอบให้รู้ แต่ถ้าเด็กไม่สนใจ เราไม่ควรยัดเยียดเพราะไม่มีประโยชน์ มีแต่โทษ

นอกจากนั้น ทางบ้านควรสอนให้เด็กรู้จักเข้าใจผู้อื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ซึ่งไม่ใช่ “วิชา” แต่สำคัญต่อการมีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข เด็กจะเรียนรู้สิ่งนี้ได้โดยผ่านการสัมพันธ์กับผู้อื่น เด็กจำเป็นต้องมีเพื่อน ควรสนับสนุนให้เด็กเล่นกับเพื่อน และคุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของการเข้าใจผู้อื่น คือไม่ถกเถียงกันบ่อยๆต่อหน้าลูกด้วย

ความเข้าใจผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องของจิตใจ และจะไม่เกิดขึ้นถ้าใจของเด็กอึดอัดทุรนทุราย เพราะถูกกักอยู่แต่ในบ้าน ไม่มีโอกาสระบายพลังงาน หากเด็กอยู่บ้านกับแม่เพียงสองคนทั้งวัน จะเกิดอาการประสาทกินทั้งคู่ แม่ก็จู้จี้ขี้บ่น ลูกก็ทนแม่ไม่ได้ เกิดความอยากดื้ออยากต่อต้าน ในกรณีนี้ควรให้เด็กแยกจากแม่บ้าง โดยส่งไปสถานเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียนอนุบาลวันละ 3-4 ชั่วโมงหรือตามความเหมาะสม ไม่ควรใช้โทรทัศน์หรือวิดีโอเลี้ยงลูก เพราะจะทำให้กลายเป็นเด็กเฉื่อยชา (passive) และขาดความคิดสร้างสรรค์

ข้อมูลสื่อ

100-018
นิตยสารหมอชาวบ้าน 100
สิงหาคม 2530