• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

กามโรค (ตอนจบ)

กามโรค ตอนจบ


ฝี,ตุ่ม และหงอนไก่
เรื่องราวของกามโรคที่ได้คุยกับคุณหมอนิวัติไปแล้ว ในฉบับเดือนกุมภาพันธ์ และมีนาคม พูดถึงเรื่องของหนองในและหนองในเทียม ซึ่งเป็นกามโรคที่พบบ่อย เป็นกันมากอันดับหนึ่งเชียวละ แผลริมอ่อนและแผลเริม (เฮอร์ปีส์) นั้น ก็พบได้บ่อยเช่นกันในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงมากขึ้นในอนาคต ส่วนซิฟิลิส (แผลริมแข็ง) ก็เป็นกามโรคที่เป็นอันตรายเป็นแล้วรักษายาก กามโรคหรือโรคที่สามารถเกิดขึ้นหรือติดต่อกันได้เนื่องจากการประกอบกิจทางเพศนั้น มีมากมายตั้ง 20 กว่าโรคแต่ “หมอชาวบ้าน” จะคุยกันเฉพาะโรคที่สำคัญๆ และเป็นกันบ่อย ๆ เท่านั้น

คุณผู้อ่านครับ ฉบับนี้เราจะคุยกับคุณหมอนิวัติผู้รอบรู้เรื่องกามโรคอีกเช่นเคย และจะว่าด้วยเรื่องของฝีที่ชาวบ้านทั่วๆไปเรียกกันว่า ฝีมะม่วง และโรคหงอนไก่ แถมท้ายด้วยโรคที่ผู้หญิงจะเป็นได้บ่อยอีกเหมือนกันคือโรคพยาธิในช่องคลอด กับเชื้อราแคนนิดา อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็ต้องอ่านต่อไปให้จบนะครับ เพราะคราวนี้เป็นตอนสุดท้ายแล้ว และเรื่องราวของมันก็มีประโยชน์อย่างแน่นอน

⇒ ฝีกามโรคต่างกับฝีอื่นอย่างไร
ไม่ต่างกัน เพียงแต่ฝีในกลุ่มของกามโรค มักจะเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ ส่วนฝีอื่น ๆ นั้นย่อมเกิดได้ทุกอวัยวะ

ฝีมะม่วง
เป็นกามโรคที่เกิดจากเชื้อคลามัยเดีย (Chlamydia Hemophilus) หรือเชื้ออื่นๆ บางชนิด ลักษณะของฝีจะเป็นก้อน เป็นฝีขนาดใหญ่เจ็บมาก ตรงกลางมีร่องเป็นพังผืดคล้าย ๆ ร่องของมะม่วงอกร่อง ชาวบ้านจึงเรียกว่า “ฝีมะม่วง” ซึ่งอาจเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ และอาจมีแผลที่อวัยวะเพศร่วมด้วย บางทีก็มีไข้ร่วมด้วย มีอาการเพลีย ปวดเมื่อยตามลำตัว

⇒  การรักษาฝีมะม่วงด้วยตนเอง
ถ้าเป็นฝีเจ็บแต่ไม่ใหญ่มาก ปละมีแผลที่อวัยวะเพศ ให้ใช้ยาซัลฟา เช่น แบคตริม ราคาเม็ดละ 1.50-2.50 บาท กินครั้งละ 2 เม็ด 2-3 เวลา เช้า เที่ยงและเย็น นาน 10 วัน ถ้าเป็นฝีใหญ่มีหนองด้วยอาจต้องฉีดยา ยาฉีดที่ได้ผลก็พวกสเต๊ปโตมัยซิน
ถ้ามีฝี มีไข้แต่ไม่มีแผล ให้กินยา เตตร้าซัยคลีน ราคาเม็ดละ 1 บาท กินครั้งละ 2 เม็ด วันละ 4 ครั้ง นาน 10 วัน จะดีกว่ากินยาอื่น ยาซัลฟาก็เป็นยาที่ใช้ได้ผลและกินได้ปลอดภัยที่สุด และรักษาฝีมะม่วงจากแผลริมอ่อนได้ดีกว่า ถ้าหลังกินยาแล้วฝียังไม่ยุบก็คงต้องไปปรึกษาแพทย์ บางทีอาจต้องเจาะหรือต้องฉีดยา

อาการแทรกซ้อนของฝีมะม่วงปล่อยไว้นานจะเป็นอย่างไร
ปล่อยไว้นาน ๆ ก็จะทำให้เกิดเป็นแผล ถ้าต่อมน้ำเหลืองอักเสบมากอย่างแถวรอบ ๆ ทวารหนักในผู้หญิง อาจทำให้เกิดพังผืดแข็ง แล้วต่อมาก็แตกเกิดรูต่อระหว่างช่องคอลดกับทวารหนักได้ หรืออีกอย่างที่เกิดการอักเสบมาก ๆ ทำให้น้ำเหลืองไหลกลับไม่ได้ก็จะเกิดการบวมน้ำของอวัยวะเพศ

⇒  หญิงมีครรภ์เป็นฝีมะม่วงจะมีผลต่อเด็กในครรภ์อย่างไร
ส่วนมากผู้หญิงจะไม่เป็นฝีมะม่วง เพราะน้ำเหลืองจากอวัยวะเพศหญิงจะถ่ายเทไปยังต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง จะไม่มีอาการบวมของต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบให้เห็น เท่าที่ทราบยังไม่มีการพบถึงอันตรายต่อเด็กในครรภ์

⇒  ปัญหาของแสลงสำหรับผู้เป็นฝีมะม่วง
อย่างพวกสาเก, หน่อไม้ วันนี้หลายคนก็สงสัยและก็เชื่อกันมากว่าเป็นของแสลง แต่ในทางการ แพทย์ก็ยังไม่ได้ศึกษากันอย่างจริงจัง ฉะนั้นทางที่ดีถ้าไม่แน่ใจอย่าไปเสี่ยงกินโดยไม่จำเป็น เพราะบางคนอาจแพ้อาหารเหล่านี้อยู่แล้ว

พยาธิในช่องคลอดหรือทริโคโมแนส (Trichomonas vaginalis)
พยาธิตัวนี้ไม่เหมือนกับพยาธิทั่ว ๆไปอย่าพยาธิไส้เดือน พยาธิตัวตืด พยาธิเส้นด้าย แต่เป็นพยาธิที่พบได้บ่อยในผู้หญิง พยาธิในช่องคลอดนี้เป็นพยาธิตัวเล็ก ๆ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ต้องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ อาศัยอยู่ในช่องคลอดของผู้หญิง เข้าไปอยู่ในเยื่อบุช่องคลอด ผู้หญิงที่มีพยาธิตัวนี้อยู่จะมีอาการตกขาว แสบคัน อวัยวะเพศบวมมาก สำหรับในผู้ชายก็อาจพบพยาธิตัวนี้ได้เหมือนกันแต่มีอาการน้อย คือ มีหนองออกมาคล้ายหนองในและจะเป็นอยู่ชั่วคราวเท่านั้นก็จะหายไป

⇒ เป็นพยาธิในช่องคลอดช่วยตัวเองได้
การรักษาพยาธิในช่องคลอด ก็ให้กินยาพวก เมโทรนิดาโซล (Metronidazole) ขนาด 200 ม.ก. ราคาเม็ดละ 50 สตางค์ วันละ 3 เวลา นาน 10 วัน และมีเมโทรนิดาโซลรุ่นใหม่ ๆ เช่น ฟาสิจิน (Fasigyn) อาจจะกิน 1.5 กรัม (3 เม็ด ๆ ละ 6 บาท) ครั้งเดียว โรคนี้จะไม่ค่อยมีปัญหาในระยะยาว แต่โดยปกติถ้าพบพยาธิในช่องคลอดอาจได้รับเชื้อหนองในเข้าไปด้วย จึงควรสนใจตรวจเชื้อหนองในด้วย และถ้าไม่หายก็น่าจะได้รับการตรวจเชื้อเพื่อแยกจากสาเหตุของคนตกขาวอื่นๆ ที่สำคัญเช่น เชื้อรา

เชื้อราแคนนิดา (Canida)
เป็นเชื้อราที่พบได้บ่อยในผู้หญิงเช่นกัน พวกนี้ก็ทำให้เกิดอาการแสบคัน บวมที่อวัยวะเพศและแดงเป็นผื่น มีตกขาวได้ แต่ตกขาวจะไม่มากเหมือนพวกพยาธิ อาจมีคล้ายๆมูกหรือแป้งเปียก ในผู้ชายก็อาจมีผื่นแดง ๆ คัน ๆ ที่อวัยวะเพศ ปัสสาวะอาจขัดนิดหน่อย

เป็นเชื้อราแคนนิดาในช่องคลอดก็ช่วยตัวเองได้
ผู้หญิงทีเป็นเชื้อราในช่องคลอด ให้ใช้ยาเหน็บ อาจเป็นพวกมัยโคสแตติน (Mycostatin) ใช้เหน็บก่อนนอนสัก 10 วัน ข้างนอกช่องคลอดถ้าเป็นผื่น อาจจะทายาประเภทเดียวกันกับพวกมัยโคสแตติน หรือใช้ เจนเชี่ยนไวโอเลต (Gential Violet) ก็ได้ ในผู้ชายให้ล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศด้วยน้ำและสบู่อ่อน ๆ วันละ 2-3 ครั้งซับให้แห้ง และทาด้วยครีมซึ่งมีตัวยา มัยโคสแตติน หรือ คลอไทมาโซล

⇒ แสบคันในช่องคลอด รู้ได้อย่างไรว่าเป็นพยาธิในช่องคลอดหรือเป็นเชื้อราแคนนิดา
ให้สังเกตอาการตกขาว การตกขาวที่เกิดจากเชื้อราจะมีเพียงมูกๆเล็กน้อย หรือคล้ายแป้งเปียก แต่ถ้าอาการตกขาวมีมาก คือเยิ้มออกมาหรือหากถึงกับต้องใช้ผ้าอนามัยแล้วก็ถือว่ามาก ซึ่งเป็นอาการตกขาวจากพยาธิในช่องคลอด ถ้าไม่แน่ใจว่าเป็นเชื้อตัวไหน และได้ลองใช้ยาเหน็บในช่องคลอดสำหรับเชื้อแคนนิดาแล้ว อาการก็ไม่หาย ก็ให้นึกถึงพยาธิในช่องคลอด

⇒ หงอนไก่
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่พบบ่อยเหมือนกัน แต่ว่าอันตรายมีไม่มากนัก ลักษณะของมันจะเป็นตุ่มแดงๆ เนื้อจะงอกออกมาคล้ายดอกกะหล่ำหรือหงอนไก่ จริงๆที่ปลายหนังหุ้มอวัยวะเพศระยะฟักตัวของโรคหงอนไก่อาจจะหลายเดือน บางที่ไปมีเพศสัมพันธ์มาแล้วร่วมครึ่งปีถึงจะมีอาการ

⇒ หงอนไก่ในผู้หญิงเป็นอย่างไร
ถ้าอยู่ที่อวัยวะเพศด้านนอก ก็จะเห็นเป็นตุ่มงอกออกมาคล้ายในผู้ชาย อาจมีการระคายเคืองบ้างเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นในช่องคลอดมักจะไม่มีอาการ

⇒ หงอนไก่กับหญิงมีครรภ์
โรคหงอนไก่ในผู้หญิงเวลาตั้งครรภ์ ความต้านทานของร่างกายอาจเปลี่ยนแปลง ทำให้หงอนไก่มีขนาดและจำนวนเพิ่มมากขึ้น อาจมีผลทำให้การคลอดของเด็กออกมามีความยากลำบากขึ้น อีกอย่างเชื้ออาจเข้าไปในปากหรือในคอเด็กขณะคลอด อาจทำให้เกิดพวกหูดในกล่องเสียง เด็กพูดไม่ได้หรือทางเดินหายใจตัน

การรักษาหงอนไก่
โดยทั่วไปใช้วิธีจี้ด้วยสารเคมีที่ใช้ก็มีพวก 20% โปโดฟิลลีน (Podophylline) ทิ้งไว้สัก 6 ชั่วโมงแล้วจึงล้างออก การทาให้ทาเฉพาะ ตรงเนื้อที่ที่เป็นหูด, เป็นหงอนไก่ ทาแล้วก็เอาพวกวาสลีนทาทับหรือจะทาทับด้วยน้ำมันใส่ผมก็ได้ ทาเพื่อไม่ให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวหนังข้างเคียงจนเกิดผลได้
หากการจี้ด้วย 20% โปโดฟิลลีน ไม่ได้ผล คือหงอนไก่ยังไม่หลุดอีกก็อาจต้องจี้ด้วยกรดไตรคลออะ-ซีติค กรดพวกนี้ต้องระวังมากไม่ควรจี้เอง ควรให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นคนทำต้องใช้ความชำนาญในการจี้ เพราะถ้าเกิดไปถูกผิวหนังข้างเคียงหรือที่อื่นเข้า ผิวหนังจะไหม้ได้
อีกวิธีหนึ่งก็คือการจี้ด้วยไฟฟ้า ซึ่งก็ต้องใช้คนที่ชำนาญทำการจี้เช่นกัน การรักษาที่นิยมกันมากในต่างประเทศคือจี้ด้วยความเย็นจัด ๆ

ถ้าหากเป็นมาก ๆ บางครั้งก็ต้องทำการผ่าตัด โดยเฉพาะคนตั้งครรภ์เราจะทำการผ่าตัด เพราะว่าหงอนไก่หรือหูดอันนี้อาจขวางทางคลอดของเด็ก และเราจะใช้พวก 20% โปโดฟิลลีน จี้ไม่ได้ ยาพวกนี้อาจดูดซึมเข้าไปมาก และก็มีอันตรายต่อเด็กทำให้เด็กพิการ

⇒ ตุ่มอย่างอื่นที่พบได้บ่อย ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรร้ายแรงแต่ก็ทำให้ท่านรำคาญได้
หูดข้าวสุก มีลักษณะหัวนูนกลม สีขาวและแข็ง ถ้าเกิดขึ้นที่แถวอวัยวะเพศหรือหัวเหน่าบีบออกมาจะมีก้อนขาว ๆ คล้ายเม็ดข้าวสุก มักจะไม่มีอาการ การรักษาใช้ปากคีบปลายแหลม ๆ คีบออกมาก็หลุดได้ แล้วก็จี้ด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน

พวกหิด เป็นตุ่มแดงคันมีน้ำใส เกิดขึ้นแถวอวัยวะเพศมักจะมีอาการคันเวลากลางคืน พวกนี้ถ้าสงสัยก็ให้ใช้ยารักษาหิด ได้แก่ 25% เบนซิลเบนโซเอท เป็นโลชั่นทา ทิ้งไว้ทั้งคืน แล้วจึงค่อยล้างออก หรือจะใช้ ขี้ผึ้งกำมะถัน ขององค์การเภสัชกรรมทาทิ้งไว้สัก 24 ชั่วโมง

พวกโลน ก็เป็นอีกพวกหนึ่งที่ติดต่อได้จากการร่วมเพศ พวกโลนเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ขาว ๆ คล้ายตัวเหา จะขึ้นตามขนอวัยวะเพศ มักอยู่ตรงรากขน สามารถสังเกตดูด้วยตาเปล่าก็เห็นได้ แต่ถ้าใช้แว่นขยายช่วยก็จะดูได้ชัดเจนขึ้น พวกนี้เวลากัดแล้วจะเกิดตุ่มแดง ๆ คันเหมือนมดกัด การรักษาก็ให้โกนขนบริเวณนั้นออกก่อน แล้วจึงใช้ยา 25% เบนซิลเบนโซเอท ทาทิ้งไว้เหมือนรักษาพวกหิดก็จะหายได้

 

ข้อมูลสื่อ

24-005
นิตยสารหมอชาวบ้าน 24
เมษายน 2524
โรคน่ารู้
อุทิศ มหากิตติคุณ