• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

อันเนื่องมาจากพระเวสสันดรกลับชาติ (จบ)

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่อง “มหาเวสสันดรชาดก” ให้พระญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์ฟัง จบแล้วก็ทรงสรุปท้ายด้วยการ “กลับชาติ” ไว้ดังนี้

ในชาตินี้ ชูชก ได้เกิดมาเป็น เทวทัต นางอมิตตดา เป็นนางจิญจมาณวิกา พรานเจตบุตร เป็นพระฉันนะ อจุตดาบส คือ พระสารีบุตร ท้าวสักกเทวราช คือ พระอนุรทธ พระเจ้าสญชัย คือ พระเจ้าสุทโธทนะ พระนางผุสดี เป็นพระเจ้ามหามายา นางมัทรี เป็นนางพิมพายโสธรา ชาลี เป็นพระราหุล กัณหา เป็นนางอุบลวัณณาเถรี และ พระเวสสันดร คือ เราผู้สัมมาสัมพุทธะ แล

เมื่อเห็นการสืบต่อชาติชัดเจน-ใสแจ๋วอย่างนี้ ต่างก็จะเอิบอิ่มปรีดาปราโมทย์ชื่นชมในการบำเพ็ญทานบารมีของพระเวสสันดร และน้อมรับเอามาเป็นปฏิปทา จำเริญรอยตามอย่างเต็มภาคภูมิ เพราะเห็นชัดแล้วว่า ทุกท่านที่ลงทุนร่วมสร้างโพธิญาณกับพระเวสสันดรด้วยความเสียสละอันใหญ่หลวงนั้น ต่างก็ได้รับผลเกินคุ้ม คือได้อาศัยโพธิญาณของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นดุจนายแพทย์ใหญ่มาเยียวยาให้หายจากโรคเวียนว่ายตายเกิด โดยถ้วนหน้ากัน

แต่สำหรับผู้ที่ยังสงสัยว่า ตายแล้วเกิดจริงหรือ? พระพุทธศาสนาสอนเรื่องตายแล้วเกิดไว้อย่างไร? ซึ่งเข้าใจว่ามีมากเสียด้วย จึงจำต้องคลี่คลายปัญหานี้ไว้เป็นตอนจบ

เรื่องตาย-เกิด อาจกล่าวได้ว่า เป็นครึ่งหนึ่งของพระพุทธศาสนา เพราะเป็นซีกของหมู่สัตว์ที่ยังมีกิเลสตัณหา ซึ่งจะต้องกลับมาเกิดหมุนเวียนท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสาร เป็นภาค “โลกิยะ” เป็นเรื่องของสัตว์ที่คลุกเคล้าอยู่ในโลกีย์ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งของพระพุทธศาสนาเป็นซีกโลกุตระ แปลว่า เหนือโลก พ้นโลก ดับกิเลส ตัณหา บรรลุมรรคผล นิพพาน

ในอริยสัจทั้ง 4 ของจริงอันประเสริฐ ที่เจ้าฟ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้แล้วเข้าสู่ภาวะเป็น “สัมมาสัมพุทธะ” นั้น อริยสัจ 2 ข้อข้างต้น เป็นซีกตาย-เกิด คือข้อ ทุกข์ ก็ได้แก่เกิดแล้วตาย-ตายแล้วเกิด ส่วนข้อ 2 สมุทัย ได้แก่เหตุที่ผลักดันให้สัตว์ตายแล้วต้อมาเกิด คือ ตัณหา เพราะ ตาย-เกิด เกิด-ตาย ไม่รู้จับจบเช่นนี้ จึงทรงค้นคว้าหาทางดับทุกข์ต่อไป จนทรงพบ นิโรธ ความดับตัณหา ตายแล้วหมดเชื้อดับสนิทไม่เกิด โดยปฏิบัติตามอริยสัจข้อ 4 คือ มรรคมีองค์ 8

ถ้าตายแล้วเสร็จสิ้นที่สุสานหรือฌาปนสถาน ดับสูญไม่มีเกิดอีก อริยสัจ-ยอดพุทธปรัชญาก็หมดความหมาย เพราะเกิดแก่ก็สิ้นสุดแค่ตาย ถึงกิเลสตัณหาจะมีมากมีน้อยเท่าไร จะก่อกรรมทำเข็ญสักแค่ไหน ก็ไม่จำเป็นต้องไปค้นคว้าหาวิธีดับมัน เพราะอย่างไร เมื่อตายหมดลมหายใจแล้ว ก็เป็นอันดับหมดทุกอย่าง-โดยเท่าเทียมกัน แต่เพราะตายแล้วต้องเกิดต้องเสวยผลกรรมต่างหาก นิโรธและมรรคจึงเป็นโพธิญาณอันล้ำลึก เป็นดุจดวงอาทิตย์สาดแสงอันแรงกล้ามาขับไล่ความมืดให้แก่โลก ฉะนั้น

ในวันตรัสรู้อริยสัจนั่นแหละ ยามต้นของราตรีทรงบรรลุ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญาณที่ทำให้สามารถรำลึกชาติแต่ปางหลังของพระองค์ได้ เป็นญาณที่รู้เห็นตาย-เกิดของพระองค์เองในอดีตชาติอันนานไกล ครั้นเข้ายามสองก็ทรงบรรลุ จุตูปปาตญาณ ญาณที่สามารถรู้เห็นการตายแล้วไปเกิดในภพ-ภูมิของมวลสัตว์ทั้งหลาย ใครตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร ที่ไหน เพราะสร้างกรรมอะไรพระองค์ทรงรู้แจ้งด้วยญาณนี้หมด

ตกลงรู้เรื่อง ตาย-เกิดทั้งของพระองค์เองและของสัตว์อื่นทะลุปรุโปร่งโดยสิ้นเชิงแล้ว จึงทรงบรรลุ อาสวักขยญาณ ซึ่งเป็นญาณสูงสุดในยามที่สาม เป็นความรู้แจ้งที่ขจัดอาสวะกิเลสตัณหาให้สูญสิ้นอย่างเบ็ดเสร็จ ดับ-ไม่มีเหลือ-นิพพาน

ญาณที่ 1 และที่ 2 เป็นความรู้แจ้งซีกตาย-เกิด ส่วนญาณที่ 3 ดับกิเลส-ตัณหาสิ้นเชิง เป็นซีกตายแล้ว-ไม่เกิดที่เรียกว่า นิโรธ หรือนิพพาน อันเป็นเป้าหมาย-สุดยอดของพระพุทธศาสนา

ลองเจาะลึก ตามเข้าไปดูซีกโลกุตระ-มรรค-ผลกันอีกสักหน่อย ก็จะเห็นว่า ตายแล้วเกิดก็ยังมีอยู่กับพระโสดาบัน-พระอริยบุคคลอันดับต้น คืออย่างน้อยที่สุดจะต้องมาเกิดอีก 1 ชาติ อย่างมากไม่เกิน 7 ชาติ สูงขึ้นไปถึงพระอริยบุคคลอันดับที่ 2 ที่มีนามว่า พระสกทาคามี ก็เถอะยังจะต้องกลับมาเกิดอีก 1 ชาติ ส่วนพระอนาคามี พระอริยบุคคลอันดับ 3 แม้จะไม่ต้องกลับมาเกิดในมนุษย์ก็จริง แต่จะต้องไปอุบัติในชั้นพรหมสุทธาวาสแล้วจึงนิพพานในชั้นนั้น เป็นอันว่า ตายแล้วดับสิ้นเชิง ไม่ต้องมาเกิดใหม่อีกเด็ดขาด มีเพียงอันดับสูงสุดเท่านั้นคือพระอรหันต์ขีณาสพ เพราะฉะนั้นถ้าจะกล่าวให้เต็มปากจริงๆแล้ว ตาย-เกิดเป็นถึง 9o% ของพระพุทธศาสนา

ในทางวัตถุ นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบาย ตายแล้วเกิดของวัตถุให้เราเห็นได้ชัดเจน เช่น น้ำในสายตานักวิทยาศาสตร์ เขาเห็นตัวตนชั้นในของน้ำที่เรียกว่า มวล ตราบใดที่มวลของน้ำยังไม่ถูกทำลาย ตราบนั้นน้ำก็จะยังไม่ตาย-ไม่ดับ แต่จะต้องหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ในวัฏจักรของน้ำ ซึ่งเขาเรียกว่าการเปลี่ยนสภาวธรรมทางฟิสิกส์ของน้ำเท่านั้น เช่น น้ำเมื่อถูกความร้อนก็จะกลายเป็นไอ แล้วไปเป็นเมฆเป็นฝน แล้วก็กลับมาเป็นน้ำอีก

จะพูดว่านิพพานในด้านวัตถุก็พอจะได้ นักวิทยาศาสตร์เขาค้นพบแล้ว นั่นก็คือการทำลายมวลหรือตัวตนของสสาร โดยทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางปรมาณู (Atomic Structure) ของมัน ซึ่งเรียกในภาษาวิทยาศาสตร์ว่า Atomic-Fission โดยยิงธาตุที่เป็นกลาง เช่น Neutron ก็จะเข้าไปกระแทกโครงสร้างทางปรมาณูนั้นพังทลายลงจนหมดคุณสมบัติที่มันจะกลับมาเป็นธาตุเดิมอีก มวลทั้งหมดจะแปรสภาพเป็นพลังงานขึ้นมาทันที

คราวนี้มาถึงตัวตนชั้นในของคน-ของสัตว์ ซึ่งเรียกว่าอัตตาบ้าง จิตบ้าง วิญญาณบ้าง ซึ่งเป็นตัวเวียนว่ายตายเกิดนั้น ถึงแม้จะเป็นนามธรรมไม่ใช่วัตถุ เห็นด้วยตาไม่ได้แต่ทางวิทยาศาสตร์ก็มาช่วยคลี่คลายได้บ้าง

เพื่อให้เกิดน้ำหนัก จึงขออนุญาตอ้าง คุณหมออมรา มลิลา ซึ่งพูดในท่ามกลางของแพทย์และพยาบาลที่ศิริราช...

“ทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยาทั้งหลายสนใจค้นคว้าเรื่องนี้กันมาก โดยใช้การสะกดจิต เอาคนไข้มา...แล้วก็สะกดจิต สะกด...สะกดลึกลงไปโดยลำดับ แล้วซักถามคนไข้ จากวารสารที่ตีพิมพ์ออกมารายงานว่า คนไข้บางคนสามารถระลึกถึงอดีตของตัวเองได้ จะบอกชัดเจนว่าตัวเองในอดีตที่ระลึกได้ ชื่ออะไร นามสกุลอะไร เกิดที่เมืองไหน เคยเป็นอย่างไรมา และจากบันทึกที่จดได้เมื่อเอาไปค้นหลักฐานก็พบว่า มีคนชื่ออย่างนั้นจริงๆ และมีหลายอย่างที่เมื่อสอบเหตุการณ์กันแล้วก็ตรงกับความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น ฝรั่งเองนักวิทยาศาสตร์เองก็เกิดความเชื่อว่า เราเวียนว่ายตายเกิดจริง”
เป็นอันว่า การกลับชาติพอจะเชื่อได้ใช่ไหมครับ

เพราะมีอัตตา ตัวกู-ของกู นี่แหละ เราจึงต้องสร้างกรรม ตายแล้วต้องกลับมาเกิด ไม่รู้จักจบสิ้น งานสำคัญก็คืองานกำจัดตัวกู ซึ่งก็ทรงค้นพบว่า ต้องกำจัดที่เหตุ คือ ต้องดับที่กิเลส-ตัณหา ด้วยอาวุธพิเศษ คืออริยมรรค แล้ว ตัวกู-ของกู ก็จะดับเย็นสนิท ที่ท่านเรียกว่า พระนิพพานครับ

 

ข้อมูลสื่อ

101-020
นิตยสารหมอชาวบ้าน 101
กันยายน 2530
ธรรมโอสถ
พอ.(พิเศษ)ทองคำ ศรีโยธิน