• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ตู้ยาคุณหนู

ตู้ยาคุณหนู

คอลัมน์ “ยาน่าใช้” ได้แนะนำยาต่างๆ ทั้งที่น่าใช้ ไม่น่าใช้ และที่ห้ามใช้ ไว้ก็หลายตอนแล้ว แต่ก็มักจะเป็นยาของผู้ใหญ่เสียมากกว่าของเด็กครั้งนี้ เรามาคุยกันถึงเรื่องยาสำหรับเด็กบ้างดีกว่า เพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2523 และเป็นการส่งท้ายปีเด็กสากล ที่เพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ

ในท้องตลาดทุกวันนี้ มียาบรรจุเป็นซองบ้าง ขวดบ้าง ให้เราเลือกซื้อกันหลายร้อยยี่ห้อ ซึ่งส่วนใหญ่ก็โฆษณาสรรพคุณใช้เป็นยาให้เด็กกินแก้อาการปวดหัวตัวร้อน เป็นหวัด ไอ ปวดท้อง ท้องเสีย และไข้ต่างๆ ที่พบกันเป็นประจำในครอบครัว ยาเหล่านี้ ถ้าเรารู้จักวิธีการใช้ที่ถูกต้องก็จะได้ประโยชน์มากทีเดียว แต่ถ้าไม่รู้จักสรรพคุณอย่างแท้จริง มิหนำซ้ำยังไม่รู้ว่ามีโทษอะไร หลงซื้อให้เด็กกิน ก็อาจเป็นโทษถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะยาที่โฆษณาว่าแก้ได้สารพัดโรค ซึ่งลงท้ายด้วย “มัยซิน” บ้าง “แรมติน” บ้าง “อูลิน” บ้าง หรือ “คลอริน” บ้าง มักจะเข้ายาประเภทคลอแรมเฟนิคอล และเตตร้าซัยคลีน ซึ่งเป็นยาที่ต้องระมัดระวังในการที่จะให้เด็กกินเป็นอย่างมาก

ดังนั้น ถ้าหากท่านจำเป็นจะต้องซื้อยาให้ลูกหลานของท่านกิน ก็ควรจะไต่ถามให้รู้ถึงคุณและโทษ ตลอดจนวิธีการใช้ให้ถูกต้องเสียก่อนเป็นดีที่สุด

เราจึงขอแนะนำยาที่สามารถซื้อใช้เองได้ สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองที่จำเป็นต้องเป็นหมอของลูกหลาน

ยาสำหรับเด็กที่ควรมีไว้ประจำบ้าน

1. เมื่อเด็กมีไข้ ตัวร้อนหรือปวดหัว ควรใช้ยาแอสไพริน หรือ พาราเซตามอลสำหรับเด็ก ขณะให้ยาลดไข้ ควรให้ดื่มน้ำตามมากๆ ด้วย น้ำนอกจากจะช่วยให้ยากระจายตัวได้ดี ละลายและออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ลดความเป็นกรดของแอสไพริน จะได้ไม่ระคายเคืองกระเพาะแล้ว น้ำยังช่วยให้มีการระบายความร้อน ทำให้ไข้ลดเร็วยิ่งขึ้นด้วย ยิ่งถ้าเด็กตัวร้อนจัด ต้องใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดให้ทั่วตัว เช็ดมากๆ ตามคอ รักแร้ และข้อพับต่างๆ และอย่าไปห่มผ้า หรือสวมเสื้อหนาๆ จนกว่าไข้จะลดลงแล้ว ถ้าเด็กหนาวด้วย ให้เริ่มใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเล็กน้อยเช็ดก่อนแล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นน้ำเย็น เช็ดจนไข้ลด จึงห่มผ้าให้

ขนาดที่ใช้

  • แอสไพริน

ใช้ชนิดสำหรับเด็ก (เบบี้แอสไพริน) ราคาร้อยละ 4-5 บาท

เราสามารถกำหนดขนาดที่จะให้แอสไพรินเด็ก โดยประมาณได้ง่ายๆ คือ ให้แต่ละครั้งเป็นจำนวนเม็ด เท่ากับจำนวนอายุของเด็ก เช่น

  • เด็ก 1 ขวบ ให้ครั้งละ 1 เม็ด
  • เด็ก 2 ขวบ ” 2 เม็ด
  • เด็ก 3 ขวบ ” 3 เม็ด
  • เด็ก 4 ขวบ ” 4 เม็ด
  • เด็ก 5-10 ขวบ ครั้งละ 5 เม็ด ก็พอ

โดยให้กินซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง ควรให้หลังอาหารทันที และอย่าลืมให้ดื่มน้ำตามมากๆ โดยเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องให้เวลาท้องว่าง

นอกจากนี้ ยังต้องระมัดระวังอีกอย่าง คือ ห้ามให้ยาลดไข้ แอสไพริน ในเด็กที่สงสัยว่าจะป่วยเป็นไข้เลือดออก (เด็กมีอาการตัวร้อนจัดตลอดเวลา และไม่มีน้ำมูกให้เห็น) เพราะจะทำให้เกิดอาการเลือดออกได้ง่ายขึ้น ให้ใช้พาราเซตามอลน้ำเชื่อมแทน

  • พาราเซตามอลน้ำเชื่อม

ใช้ขนาด 120 ถึง 125 มิลลิกรัม ต่อ 1 ช้อนชา (5 ซี.ซี.) ราคาออนซ์ละ 3-5 บาท โดยให้ประมาณตามอายุ ดังนี้

  • เด็กแรกเกิด ถึง 3 เดือน ให้ครั้งละ 1/4 ช้อนชา (ครึ่งของครึ่งช้อนชา)
  • เด็ก 3-6 เดือน ให้ครั้งละ 1/2 ช้อนชา (ครึ่งช้อนชา)
  • เด็ก 2-5 ขวบ ให้ครั้งละ 1 ½ ช้อนชา
  • เด็ก 5-8 ขวบ ให้ครั้งละ 2 ช้อนชา
  • เด็ก 8-14 ขวบ ให้ครั้งละ 3 ช้อนชา

ทั้งหมดนี้ให้วันละ 3-4 ครั้ง ห่างกัน 4-6 ชั่วโมง (ดูรายละเอียดเพิ่มเติม เรื่อง ยาลดไข้สำหรับเด็กใน หมอชาวบ้าน ฉบับที่ 1 ปีที่ 1)

2. ถ้าเด็กมีอาการไข้ และมีอาการหวัด คือ คัดจมูก น้ำมูกไหลด้วย ให้ใช้ยา พาราเซตามอล คอมปาวนด์น้ำเชื่อม ขององค์การเภสัชกรรม ขวดละ 7-8 บาท (2 ออนซ์) แทนพาราเซตามอลธรรมดาโดยให้ขนาดเท่ากัน

3. ถ้าเด็กมีอาการไอ ควรใช้ยาแก้ไอน้ำเชื่อม ขององค์การเภสัชกรรม โดยให้ขนาด ดังนี้

  • เด็กแรกเกิด ถึง 2 ขวบ ให้ครั้งละ 1/ 4 ช้อนชา
  • เด็กแรกเกิด 2-6 ขวบ ให้ครั้งละ 1/2 ข้อนชา
  • เด็ก 6-12 ขวบ ให้ครั้งละ 1 ช้อนชา
  • ทั้งหมดนี้ให้วันละ 4-6 ครั้ง ห่างกัน 3-4 ชั่วโมง

4. ถ้าเด็กเป็นหวัดลงคอ คือ น้ำมูก หรือเสมหะข้นเขียว หรือเหลือง เจ็บคอ ให้ใช้ เพพนนิซิลโลน ชนิดน้ำเชื่อมแห้ง (ขนาด 2 แสนยูนิตหรือ 125 มิลลิกรัม ต่อ 1 ช้อนชา ราคา 8-10 บาทต่อ 2 ออนซ์ หรือใช้แอมซิลลิน ชนิดน้ำเชื่อมแห้ง ขนาด 125 มิลลิกรัม ต่อ 1 ช้อนชา ราคา 13-15 บาทต่อ 2 ออนซ์ (ฆ่าเชื้อหวัดลงคอได้มากชนิดกว่าแต่แพงหน่อย) เวลาซื้อควรเลือกยาที่เป็นผงร่วน ไม่ควรซื้อยาที่เกาะกันเป็นก้อนแข็ง หรือหรือยาที่หมดอายุแล้ว

ยาทั้งสองชนิดนี้เป็นยาปฏิชีวนะ มีฤทธิ์ไปฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นเชื้อที่มาแทรกซ้อนโรคหวัด ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส (ซึ่งหายได้เอง) ทำให้คอหรือหลอดลม หรือ ปอดอักเสบที่เราเรียกกันว่า หวัดลงคอ หรือ ลงปอดนั่นเอง ดังนั้น การจะใช้ยานี้ให้ได้ผล จะต้องกินตามขนาดอย่างเคร่งครัด และต้องกินให้ติดต่อจนอาการหายสนิทจริงๆ ไม่เช่นนั้น นอกจากเชื้อจะไม่ตายแล้ว ยังอาจจะดื้อยา รักษายากขึ้นไปอีก ประกอบกับยาที่เป็นน้ำเชื่อมแห้งนี้ เมื่อเติมน้ำลงไปผสมเป็นน้ำเชื่อมแล้ว (ต้องใช้น้ำต้มสุกเย็นแล้ว หรือถ้าไม่มีก็ใช้น้ำที่สะอาดจริงๆ เติมให้ถึงขีดที่เขากำหนดไว้ เขย่าจนเข้ากันดี บางชนิดอาจละลายเป็นน้ำใส บางชนิดอาจเป็นยาน้ำแขวนตะกอน ดูขุ่นแต่ก็ต้องเขย่าให้เข้ากันอย่างทั่วถึงทุกครั้งก่อนกินยา) ควรเก็บไว้ในที่เย็น เช่น ตู้เย็น (ไม่ต้องใส่ช่องที่เย็นจัด) หรือห่อถุงพลาสติกให้แน่น แช่ไว้ในตุ่มหรือโอ่งน้ำ ก็ได้ และไม่ควรเก็บไว้เกิน 7 วัน เพราะยาจะเสื่อมคุณภาพใช้รักษาไม่ได้ผล และยาบางชนิดที่เสีย อาจจะมีอันตรายด้วย ดังนั้น เมื่อเติมน้ำแล้ว ต้องกินตามขนาดให้ติดต่อจนหมดขวดทุกครั้ง

ขนาดที่ใช้

เด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน กินแอมพิซิลลิน ครั้งละ 1/ 4 – 1/ 2 ช้อนชา หรือ เพนนิซิลลิน ครั้งละ 1/ 4 ช้อนชา

เด็กอายุ 1-2 ขวบ กินแอมพิซิลลิน ครั้งละ 1 ช้อนชา หรือ ยาเพนนิซิลลิน ครั้งละ 1 ช้อนชา

เด็กอายุ 3-4 ขวบ กินแอมพิซิลลิน ครั้งละ ช้อนชาครึ่ง หรือ ยาเพนนิซิลลิน ครั้งละ ช้อนชาครึ่ง

เด็กอายุ 5-7 ขวบ กินแอมพิซิลลิน ครั้งละ 2 ช้อนชา หรือ ยาเพนนิซิลลิน ครั้งละ ช้อนชาครึ่ง

เด็กอายุ 7-10 ขวบ กินแอมพิซิลลิน ครั้งละ 3 ช้อนชา หรือ ยาเพนนิซิลลิน ครั้งละ 2 ช้อนชา

ทั้งหมดนี้ให้กินวันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง เช้า กลางวัน เย็น และก่อนเข้านอน สำหรับเด็กโตที่พอกลืนยาเม็ดได้ อาจจะใช้ชนิดเม็ดของเพนนิซิลลินวี หรือ แอมพิซิลลิน ขนาด 2 แสนยูนิตหรือ 125 มิลลิกรัม ซึ่ง 1 เม็ด เท่ากับ 11 ช้อนชา ของชนิดน้ำเชื่อมแห้ง โดยใช้ขนาดเท่ากัน ราคาเพนนิซิลลิน ราคาประมาณ 2-3 เม็ด ต่อ1 บาท แอมพิซิลลิน เม็ดละ 1 บาท

ทั้งเพนนิซิลลินและแอมพิซิลลิน นอกจากจะรักษาหวัดลงคอ ดังกล่าวมาแล้วนี้ยังใช้รักษา แผล ฝี หนอง ตาแดง และหูอักเสบ (มีน้ำหนวก ปวดหู) ได้อีกด้วย โดยใช้ขนาดเท่ากัน และต้องกินให้ติดต่อจนอาการหายสนิทเช่นกัน

นอกจากนี้ ยังต้องระวัง เพราะบางคนอาจแพ้ยาเพนนิซิลลิน และแอมพิซิลลิน โดยจะมีผื่นแดงคันคล้ายเป็นลมพิษ แน่นหน้าอก หอบ เหนื่อย ใจสั่น ถ้ามีอาการแพ้ยาต้องหยุดยาทันที แล้วไปหาหมอ

5. เด็กที่มีอาการท้องอืดแน่นท้อง ควรใช้ทิงค์เจอร์มหาหิงคุ์ หรือ เหล้าสะระแหน่ ขององค์การเภสัชกรรม ขวดละ 2-2.50 บาท เท่านั้น ใช้ได้ผลดี และปลอดภัยกว่ายาแก้เด็กท้องเฟ้อ ที่เขาโฆษณาขายกันด้วย โดยใช้ทาบางๆ บริเวณหน้าท้องมีอาการ ถ้ายังไม่หาย อาจใช้เหล้าสะระแหน่ หยดใส่น้ำให้กินก็ได้ (ทิงค์เจอร์มหาหิงคุ์ ไม่ควรให้กิน) โดยให้ขนาด ดังนี้

  • เด็กแรกเกิด ถึง 2 ขวบ ให้ครั้งละ 2 หยด
  • เด็ก 6 เดือน - 2 ขวบ ให้ครั้งละ 4 หยด
  • เด็ก 2-5 ขวบ ให้ครั้งละ 8 หยด
  • เด็ก 5-10 ขวบ ให้ครั้งละ 12 หยด

ทั้งหมดนี้ ใช้หยดใส่น้ำจำนวนเท่าที่ประมาณว่า เด็กจะกินได้หมดผสมให้เข้ากัน ให้กินวันละ 3 ครั้ง ห่างกันสัก 4-6 ชั่วโมง จนอาการหาย

6. เมื่อเด็กมีอาการท้องเสีย ต้องสังเกตดูว่า เด็กถ่ายอย่างไร ถ้าถ่ายเหลวๆ หรือเป็นน้ำบ้าง แต่วันหนึ่งไม่ถึง 10 ครั้ง แต่ละครั้งไม่มากผิดปกติ ไม่อาเจียนมากมายอะไรนัก ควรให้งดนมและอาหารทุกชนิด อย่าสงสารลูกในทางที่ผิด เพราะนมหรืออาหารที่กินเข้าไปตอนนี้ มันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเด็กเลย กินเข้าไปเท่าไหร่ก็ถ่ายออกหมด เพราะกระเพาะลำไส้ตอนนี้ มันไม่ยอมรับอาหารแล้ว เราควรจะหายาแก้ท้องเสีย ขององค์การเภสัชกรรม ชื่อโอ.อาร์.เอส. (O.R.S.) ติดตู้ยาประจำบ้านเอาไว้ เมื่อเด็ก (ผู้ใหญ่ก็ใช้ได้) ท้องเสีย ก็ผสมยานี้ตามวิธี ซึ่งมีไว้ละเอียดแล้วบนซองให้กินแทนนมและอาหาร ควรจะกินน้ำที่ผสมนี้ ขนาดพอๆ กับปริมาณของน้ำที่เสียออกไป ทั้งจากการถ่ายและอาเจียน ถ้าปฏิบัติอย่างที่ว่านี้แล้วภายใน 2 วัน ยังไม่ดีขึ้น ก็ควรรีบพาไปหาหมอ หากไม่มี โอ.อาร์.เอส. ก็ใช้น้ำสุก 1 ขวดแม่โขงกลม ผสมกับเกลือแกง ครึ่งช้อนกาแฟ (ช้อนคาว) และน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ (ช้อนชา) แทนก็ได้

ถ้าเด็กถ่ายมากถึงขนาดวันหนึ่งเป็น 10 ครั้งขึ้นไป และถ่ายออกครั้งละมากๆ โดยเฉพาะถ้าถ่ายออกมาลักษณะเหมือนน้ำซาวข้าว หรือถ่ายเป็นมูกเลือด มีไข้สูง อาเจียนมาก ต้องรีบพาไปหาหมอทันที แต่ถ้าถ่ายเป็นมูกกะปริดกะปรอย ปวดเบ่งเวลาถ่าย (อาจร้องเวลาถ่าย) และไม่สะดวกที่จะพาไปหาหมอทันที ก็ให้กินยาแอมพิซิลลิน ตามขนาดและวิธีที่กล่าวมาแล้วดูสัก 2-3 วัน ถ้าดีขึ้นก็ให้กินติดต่อจนหายขาด (ประมาณ 7-10 วัน) ถ้าไม่ดีขึ้นก็ต้องรีบพาไปหาหมอเหมือนกัน

7. ถ้าเด็กมีอาการเป็นลมพิษ ผื่นคัน มีน้ำมูก มีอาการเป็นหวัด คัดจมูก จาม จากการแพ้อากาศหรือแพ้สารอะไรก็ได้ เช่น ขนสัตว์ ผ้าห่ม แพ้ยา ฝุ่นละออง อาหารทะเล ฯลฯ ให้ใช้ ยาแก้แพ้คลอร์เฟนิรามีน ชนิดน้ำเชื่อม ซึ่งมีตัวยาคลอร์เฟนิรามีน 2 มิลลิกรัม ต่อช้อนชา (5 ซี.ซี.)

ขนาดที่ใช้

  • อายุต่ำกว่า 6 เดือน ให้ครั้งละ 1/ 4 ช้อนชา
  • อายุ 1 ปี ให้ครั้งละ 1/ 2 ช้อนชา
  • อายุ 2-5 ปี ให้ครั้งละ 1 ช้อนชา
  • อายุ 5-9 ปี ให้ครั้งละ ช้อนชาครึ่ง
  • ให้กินวันละ 3 ครั้ง ทุก 6 ชั่วโมง

การให้เด็กกินยาแก้แพ้ ต้องระวังอย่าให้มากเกินไป และต้องระวังอย่าให้เด็กแอบหยิบมากินเองเพราะถ้าได้ยาเกินขนาด จะทำให้มีอาการกระวนกระวาย ในบางคนอาจมีอาการชักได้

ในเด็กโต อาจให้กินยา คลอร์เฟนิรามีนชนิดเม็ด (4 มิลลิกรัม) ครั้งละครึ่งเม็ดก็ได้

ในเด็กที่มีอาการผด ผื่นคัน ขึ้นมากตามตัว ไม่ว่าจะเป็นผื่นลมพิษ ยุงกัดแผลมีน้ำเหลือ ตุ่มคันจากอีสุกอีใส หัด ควรทายาแก้ผด ผื่นคัน หรือคาลาไมน์โลชั่น (Calamine lotion) บางทีก็เรียกว่า แป้งน้ำสีชมพู มีลักษณะคล้ายแป้งน้ำที่ใช้ทาหน้าต้องเขย่าขวดก่อน แล้วทาให้ทั่ว วันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้

8. เด็กบางคน หรือในบางระยะ อาจมีอาการเบื่ออาหาร กินข้าวไม่ได้ ทำให้น้ำหนักลด ไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร พ่อ แม่ หรือญาติผู้ใหญ่ ก็อาจหายาช่วยกระตุ้นให้เด็กอยากกินอาหาร โดยปกติ ถ้าเด็กกินได้ และอาหารที่ให้เด็กกินเป็นอาหารที่มีคุณค่า เราก็ไม่จำเป็นต้องใช้พวกวิตามิน ยกเว้นในเด็กที่ไม่แข็งแรง หรือขาดอาหารเท่านั้น ยาที่ทำให้เด็กเจริญอาหารขึ้น ที่พอหาซื้อได้ใช้เอง

ยาธาตุน้ำแดง ให้เด็กกินครั้งละ 1-2 ช้อนชา วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร ประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง จะช่วยกระตุ้นน้ำย่อย ทำให้เด็กเจริญอาหารได้ นอกจากนี้ยังใช้กินแก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง ได้อย่างดีโดยให้กินเมื่อมีอาการดังกล่าว

ธัยโปรเฮปตาดีน หรือ เปอริแอคติน ชนิดน้ำเชื่อม จะมีตัวยา 2 มิลลิกรัม ต่อหนึ่งช้อนชา (5 ซี.ซี.) ถ้าเป็นชนิดเม็ด จะมีตัวยาเม็ดละ 4 มิลลิกรัม ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ให้ใช้ ดังนี้

  • เด็ก 2-6 ขวบ ให้กินชนิดน้ำเชื่อม 1-2 ช้อนชา หรือชนิดเม็ด 1/2 เม็ด ถึง 1 เม็ด
  • เด็ก 6 ขวบขึ้นไป ให้กินชนิดน้ำเชื่อม 2 ช้อนชา หรือชนิดเม็ด 1 เม็ด วันละครั้งก่อนนอน

ตัวยานี้นอกจากจะกระตุ้นให้อยากกินยาแล้ว ยังมีฤทธิ์เป็นยาแก้แพ้ คือ ใช้กินแก้อาการแพ้ต่างๆ ลมพิษ ผด ผื่น คัน ฯลฯ ได้ด้วย และระยะที่กินยาใหม่ๆ อาจมีอาการง่วงได้

9. ในเด็กที่เคยมีประวัติชักและไข้สูง เวลามีไข้ นอกจากจะต้องให้ยาลดไข้ เช็ดตัวบ่อยๆ ด้วยผ้าชุบน้ำ หรือแอลกอฮอล์แล้ว พ่อแม่ควรเตรียมยากันชัก ฟิโนบาร์ปิซอล ไว้ด้วย ยากันชักชนิดนี้ ความจริงเป็นยานอนหลับ แต่เราใช้ในขนาดต่ำ ซึ่งป้องกันไม่ให้เกิดอาการชัก ยานี้มีทั้งชนิดน้ำเชื่อม เช่น ฟีโนซอล อิลิคเซอร์ และ ชนิดเม็ดในเด็กให้ใช้ ยาเม็ด ฟีโนบาร์ปิทอล ขนาด 15 มิลลิกรัม หรือ 1/ 4 เกรน ให้กินกันชัก เวลามีไข้ เด็กเล็กครั้งละ 1 เม็ด เด็กโตครั้งละ 2 เม็ด ถ้าใช้ชนิดน้ำเชื่อมเด็กเล็กให้กินครั้งละ 1-2 ช้อนชา เด็กโตครั้งละ 2 ช้อนชา วันละ 2-3 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม เราต้องระมัดระวังการให้ยาตัวนี้ในเด็ก เพราะถ้าให้เกินขนาดนอกจากจะทำให้หลับ ยังอาจทำให้การหายใจหยุดได้ ซึ่งเป็นอันตรายได้

10. ถ้าเด็กมีอาการปากเปื่อยเป็นแผล เป็นฝ้าขาวในปาก ให้ใช้ยา กลีเซอรีนบอแร็กซ์ ขององค์การเภสัชกรรม หรือใช้เจนเชี่ยนไวโอเล็ต ทาแก้ปากเปื่อย เป็นแผลลิ้นแตก เป็นฝ้าขาวได้ ย้ำยาเจนเชี่ยนไวโอเล็ต มีสีม่วง เวลาทาอาจเปรอะเปื้อนเล็กน้อย แต่ก็ใช้ได้ผลดีมาก ข้อสำคัญ เวลาใช้ยาทั้ง 2 ชนิด ไม่ควรกลืนเข้าไปใช้ทาแผลข้างในปากเท่านั้น

นอกจากยาต่างๆ ที่แนะนำให้ใช้ข้างบนแล้ว อย่าลืมนำลูกเล็กๆ ของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทารกที่เพิ่งเกิดไป ฉีดวัคซีคุ้มกันโรคต่างๆ ตามกำหนดระยะเวลา เพราะการฉีดวัคซีน ดี.พี.ที. กินวัคซีน โปลิโอ ฉีดวัคซีน บี.ซี.จี. จะช่วยป้องกันลูกของคุณจากโรคร้ายร้ายหลายชนิด คือ คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ วัณโรค

ท่านจะได้ไม่ต้องเสียใจในภายหลังว่า ลูกหลานของเราไม่น่าจะมาเจ็บป่วย หรือตายจากโรคที่ไม่น่าจะเป็นเหล่านี้

ข้อมูลสื่อ

9-006
นิตยสารหมอชาวบ้าน 9
มกราคม 2523
ยาน่าใช้