• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

โรคพิษสุนัขบ้า

โรคพิษสุนัขบ้า

ภาค 1 : เรื่องราว

แดดยามเย็นทอประกายอ่อนโยน สาดแสงสีนวลอบอุ่นลงบนพื้นถนนโรยกรวดสายเล็กในซอยนั้น สองฟากทางของซอยมีโรงงานปลากระป๋อง โรงงานแบตเตอรี่ โรงงานเครื่องเหล็ก สังกะสี ตั้งอยู่ห่างกันเป็นระยะๆ สลับกับต้นไม้และหญ้ารกเด็กหญิงและเด็กชาย 2 คน ในเครื่องแบบชุดนักเรียนกำลังวิ่งไล่กวดจี้ตามกันมาพร้อมเสียงหัวเราะสดใส ไร้ความกังวลใจต่อสิ่งใดๆ ทั้งปวง มุ่งตรงสู่บ้านไม้สีขาวที่ล้อมรั้วลวดหนาม ติดกับร้านขายอาหารและกาแฟ

“แม่ เจนกลับบ้านแล้วค่ะ”

“แม่จุลก็กลับเข้าบ้านแล้วครับ”

สองเสียงประสานขึ้นพร้อมกัน ใบหน้าเล็ก 2 หน้า โผล่เข้ามาทางประตูรั้วเกือบพร้อมกัน หน้าหนึ่งเป็นเด็กหญิงวัย 8 ปี ดวงตากลมโต จมูกแบนเชิด ริมฝีปากสีแดงสด ยิ้มแย้มอ่อนหวาน อีกใบหน้าหนึ่ง เป็นหน้าของเด็กชายวัย 6 ปี หน้ากลมป๊อก ดวงตาบ่งแววซุกซน แก้มอูมยุ้ยทั้งสองข้าง ทั้งสองวิ่งโผเข้าประตูบ้าน วางกระเป๋านักเรียนในอาการเกือบ ‘โยน’ ไว้ที่ริมห้อง แล้วก็ร้องขึ้นพร้อมกันว่า

“แม่ เจนหิว”

“จุลก็หิว”

‘แม่’ เป็นผู้หญิงวัยสี่สิบปี ผิวขาว รูปร่างโปร่งบาง ดวงตาสีดำยาวรี ฉายแววอ่อนโยน อบอุ่น ริมฝีปากบางเฉียบแฝงความเด็ดเดี่ยว และเชื่อมั่นในตนเองยามนี้หล่อนมีใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนหวาน ทอดสายตารักใคร่มองดูลูกน้อยทั้งสองที่โผเข้ามากอดหน้ากอดหลัง

“เดี๋ยวพักให้หายเหนื่อยก่อนนะลูก แล้วค่อยกินขนม”

ยังไม่ทันที่เด็กทั้งสองจะได้กินขนม

โฮ่ง . . .โฮ่ง . . . แฮ่ . . .โฮ่ง . . .โฮ่ง . . .เอ๋ง . .

เสียงหมาเห่าอยู่ที่หน้ารั้วประตูบ้านหลายตัว จุลกระโดดไปที่หน้าต่าง ชะโงกมอง ก็เห็นสุนัขพันทางสีดำตัวหนึ่ง ท่าทางดุร้าย กำลังคำรามและพยายามวิ่งลอดรั้วเข้ามา มีฝูงหมาอีก 3-4 ตัว ตะกุยตะกายขู่คำรามอยู่ห่างๆ

“ไอ้ดำเกเรมาอีกแล้ว แม่ . . . ดูท่ามันแปลกๆ นะโจโจ้ . . . โจโจ้ . . . อยู่ไหนนะ”

เสียงเห่าบ๊อกๆ ดังขึ้น พลันก็ปรากฏร่างสุนัขพันธุ์ผสมขนฟูสีน้ำตาล ซึ่งบัดนี้ขนลีบเปียกติดตัวเพราะมันไปเที่ยวท่องน้ำมา ตัวสกปรกมอมแมมไปหมดทันทีที่มันเห็นเจ้าสุนัขดำเกเรที่บุกรุกเข้ามาในบ้านตัวนั้น เจ้าโจโจ้ก็ถลันเข้าไปคำรามขู่ฟ่อๆ เจ้าดำนั่นดูเหมือนจะไม่สนใจท่าทีของเจ้าของบ้านนัก เมื่อมีอะไรมาขวางทาง มันก็กระโจนเข้างับทันที โจโจ้ไม่ทันระวังตัว จึงถูกฟัดลงไปกลิ้ง ร้องครวญครางลั่น พลางตะกุยเล็บข่วนและหันไปงับเจ้าดำให้บ้าง

เด็กชายจุล ในตอนแรกนึกฉุนเจ้าโจโจ้สุนัขเลี้ยงที่หนีลอดรั้วไปเที่ยวซุกซน จนตัวเปียกม่อล่อกม่อแลกกลับมา เดือดร้อนให้ต้องอาบน้ำถูสบู่ แต่พอเห็นเจ้าโจโจ้ถูกฟัดลงไปนอนกลิ้งเช่นนั้น ก็อดตกอกตกใจและเป็นห่วงไม่ได้ ... สายใยแห่งความรักระหว่างเด็กน้อยกับสุนัขแสนซนตัวนั้น ทำให้จุลรีบถลาไปหาทันที โดยไม่ทันฟังเสียงตะโกนห้ามด้วยความเป็นห่วงของมารดา

“จุล ระวังลูก ! อย่าออกไป”

“นี่แน่ะ ! ไอ้ดำ แกมากัดโจโจ้ของชั้น”

ร่างเล็กกลมป้อม ถลาไปที่สุนัข 2 ตัว ที่กำลังพันตูกันอยู่ ขาน้อยๆ เหวี่ยงไปที่ร่างเจ้าดำด้วยความโมโหฉุนเฉียว พร้อมทั้งไม้ในมือที่ไม่รู้ว่าไปคว้ามาจากไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็หวดลงไปที่ร่างของเจ้าดำทันที

เอ๋ง ! แฮ่ ๆ !!!

ฟันเจ้าดำหลุดจากร่างของโจโจ้ทันที หันมาแยกเขี้ยวคำรามพร้อมกับพุ่งใส่ร่างเล็กๆ นั้นแทน แรงกระโจนของเจ้าดำ ทำให้ร่างนั้นล้มกลุ้งไปด้วยขาหน้าของมันตะกุยถูกต้นขาของเด็กชายเป็นแผลยาวเลือดไหลซึม แม่ส่งเสียงหวีดร้องออกมาดังลั่น หร้อมกับถลาจากประตู ตามติดด้วยเจนซึ่งตกใจจนพูดไม่ออก

แต่ทันใดนั้นเอง ร่างของโจโจ้ที่คลุกฝุ่นเมื่อครู่ ก็กระโดดตัวลอยเข้าขวางหน้าระหว่างเจ้ดำกับเด็กชายนายตัวน้อยของมัน ด้วยความรักอย่างหัวใจเท่าที่หมาน้อยอย่างมันจะรู้สึกได้

“จุล ! ลูก . . .”

แม่ซึ่งวิ่งออกมายืนใกล้ที่จุลล้มลง รีบลากตัวเด็กชายออกมาจากสนามหญ้า หันไปคว้าไม้ดุ้นใหญ่ไว้ในมือขวา เตรียมพร้อมจะฟาดลงไปบนร่างเจ้าดำ

“เจน เอาถังไปตักน้ำมาเร็วลูก”

แม่บอกเสียงสั่นระรัว มือซ้ายโอบกอดร่างเด็กชายซึ่งสั่นสะท้านด้วยความตกใจกลัว

“แม่ ช่วยโจโจ้ด้วย มันโดนกัด”

เจนวิ่งไปเอาถังน้ำมาได้ ก็สาดลงไปบนร่างของหมาคู่ต่อสู้ทั้งสอง แม่หาจังหวะเหมาะได้ ก็ฟาดไปบนร่างของเจ้าดำอย่างสุดแรงเกิด

ป๊าบ !

ได้ผลชะงัด เจ้าดำซึ่งถูกฟาดอย่างจังเข้าที่หัว ปล่อยเขี้ยวจากขาหน้าของโจโจ้ทันที มันล้มลงไปนอนชักกระแด่วๆ แม่ฟาดลงไปที่ร่างของมันอีกอย่างไม่นับ ท่ามกลางเสียงเชียร์น้อยๆ ของเด็กหญิงและเด็กชายเซ็งแซ่

“ฟาดมันแม่ ฟาดมันเลย”

ในที่สุด . . . วิญญาณของเจ้าดำก็ลอยละล่องออกจากร่างของมัน

เด็กชายผวาเข้าไปกอดเจ้าโจโจ้ ที่นอนเลือดไหลโทรม ครางหงิงๆ น้ำตาเด็กชายไหลหลั่งด้วยความเป็นห่วง เด็กหญิงก็ผวาไปกอดน้องชายพลางร้องไห้โฮๆ ออกมาดังลั่น . . .

ประตูรั้วบ้านได้เปิดออก พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่งในชุดบุรุษไปรษณีย์สีกากี ก็ก้าวเข้ามา

“พี่ . . .” เสียงแม่ดังขึ้น

“เกิดอะไรขึ้นนี่ อ๊ะ ! นั่น เจ้าโจโจ้ถูกกัดนี่ แล้วไอ้หมานี่ . . . มันมาจากไหน”

แม่โผเข้าไปกอดพ่อ พร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังสั้นๆ พ่อฉุดลูกสาวลูกชายขึ้นมา พร้อมกับพูดหน้าขรึมว่า

“สงสัยได้ดำนี่ มันเป็นหมาบ้า โจโจ้ถูกมันก็อาจจะติดเชื้อบ้าได้ เพราะเราไม่ได้พามันไปฉีดวัคซีนป้องกัน แล้วลูกล่ะ โดนมันกัดที่ไหนบ้างหรือเปล่า”

ประโยคสุดท้าย หันมาถามลูกชายจอมแก่นด้วยความห่วงใย

“จุลไม่ถูกกัดหรอกฮะ เพียงแต่โดนมันข่วนหน่อย พอเลือดออกเท่านั้น ตอนนี้เลือดก็หยุดแล้วฮะ จุลสงสารแต่โจโจ้ . . . เราพามันไปหาหมอหมากันเถอะนะพ่อนะ”

ผู้เป็นพอมีสีหน้ายุ่งยากใจขึ้นมาทันที

“ไปหาหมอ ค่ารักษาสัตว์มันแพงนะลูก เรามีเงินไม่มากเท่าไร เอาเงินค่ารักษานั่นไปเป็นค่าเสื้อผ้า ค่าอาหารลูกดีกว่า ส่วนโจโจ้มัน . . . คงไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพ่อช่วยทำแผลให้มันเอง”

“ฮือ . . ฮือ . . พ่อไม่รักลูก จุลไม่เอาเสื้อผ้า ไม่เอาขนม จุลอยากให้โจโจ้หาย . . ฮือๆ . .”

ในที่สุดด้วยความรักลูก พ่อจึงอุ้มเจ้าโจโจ้ขึ้นรถตุ๊กๆ พาไปหาหมอ พร้อมกับจุล โดยมีแม่กับเจนอยู่เฝ้าบ้าน

พ่อหายเข้าไปในห้องหมอพร้อมกับเจ้าโจโจ้ ปล่อยให้จุลนั่งรออยู่นอกห้อง สักครู่ พ่อก็ออกมาด้วยใบหน้าคล้ำหม่นหมอง

“หมอบอกว่า ให้โจโจ้อยู่รักษาที่นี่ จนหายดี แล้วจะให้กลับบ้าน”

“จุลอยากเข้าไปเยี่ยมโจโจ้มันหน่อย”

“ไม่ได้หรอกลูก ให้มันหายดี แล้วลูกก็ได้เจอมันอีก”

จุลเชื่อสนิท ปล่อยให้พ่อจูงมือกลับบ้าน

เด็กชายหารู้ไม่ว่า พ่อจำต้องโกหกตน เพราะหมอบอกว่า โจโจ้ติดเชื้อจากเจ้าดำแน่ๆ และ . . ไม่มีทางรักษาหาย . . . จะต้องฆ่าให้ตาย เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อร้ายต่อไป พร้อมทั้งให้พ่อจัดการกับซากของเจ้าดำให้เรียบร้อยด้วย เพราะน้ำลายของมันมีพิษของเชื้อบ้าอยู่

อนิจจา . . . พ่อลืมบอกหมอไปอย่างหนึ่งว่า ลูกชายสุดที่รักของตน โดนข่วนเลือดออกด้วย เพราะแม้จะไม่ถูกกัด เชื้อจากน้ำลายของสุนัขบ้าจะไม่ได้เข้าทางบาดแผลที่ถูกกัดโดยตรง แต่ที่เล็บสกปรกของมัน ก็มีเชื้อซุกซ่อนอยู่ไม่มากก็น้อยเช่นกัน ! !

สัปดาห์หนึ่งผ่านไป จุลรบเร้าให้พ่อพาไปเยี่ยมโจโจ้ เพราะทนคิดถึงไม่ไหว ในที่สุดพ่อก็ต้องตัดสินใจบอกความจริงแก่ลูกชายไปว่า โจโจ้ตายแล้ว เพราะติดเชื้อบ้าจากเจ้าดำ จุลเศร้าลงไปมาก พ่อจึงให้สัญญาว่าจะหาลูกหมาตัวใหม่มาแทน

สองอาทิตย์ผ่านไป จุลกับเจนก็ได้ลูกหมาตัวใหม่ พันทางขนฟูเล็กน้อย แม้จะไม่สวยอย่างโจโจ้ แต่ก็ทำให้จุลกับเจนหายเศร้าไปได้มาก เพราะมัววุ่นวายอยู่กับการสอนมันนั่ง ให้มันไหว้ และกินอย่างมีระเบียบ

เกือบ 2 เดือนผ่านไป วันหนึ่งจุลรู้สึกไม่ค่อยสบาย ครั่นเนื้อครั่นตัว คล้ายเป็นหวัด มีอาการหนาวสะท้านและมีไข้ต่ำ พ่อซื้อยามาให้กินเองก็ไม่ดีขึ้น จึงพาไปหาหมอที่คลีนิค หมอบอกว่า เป็นไข้หวัดใหญ่ และให้ยามากินและฉีดยาให้ แต่จุลก็ไม่ดีขึ้น จุลเริ่มมีอาการกระสับกระส่าย แต่ยังคงพูดจาไม่รู้เรื่อง เริ่มรู้สึกกลืนน้ำลำบาก อยากกินแต่กลืนไม่ได้ เด็กชายเหงื่อโทรม เจนวิ่งไปเอาพัดลมมาพัดให้ พอโดนลมเย็นๆ เข้าเท่านั้น ร่างของจุลก็สั่นสะท้าน เกร็งและผวา

“คัน . . . จุลคันที่ขา . . . ตรงสะเก็ดแผลนั่น . . . คัน โอ๊ย . . .”

จุลกระสับกระส่ายทุรนทุรายมากขึ้น แม่ตกใจจนมือไม้สั่น ทำอะไรไม่ถูก ดวงตาทังสองข้างขุ่นมัวด้วยน้ำตา ริมฝีปากแม่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ‘โอ . . . ถ้าแม่สามารถจะเจ็บแทนลูกได้ แม่ก็ยินดี . . .’

พ่อรีบไปเรียกแท็กซี่ เพื่อพาจุลไปโรงพยาบาล

เจนกลั้นสะอื้นไว้อย่างสุดความสามารถ เพราะไม่ต้องการให้แม่มากังวลใจกับตนอีกคน โอ . . . น้องจุล เมื่ออาทิตย์ก่อน เรายังสนุกกันอยู่เลย พี่เพิ่งจะสอนบวกเลขให้น้องอยู่เลย เรากะจะไปเที่ยวเขาดินด้วยกันตอนปิดเทอมปลายนี่ พ่อจะพาไปดูลิง ดูนก ดูช้าง ดูยีราฟ . . . แต่ตอนนี้ โอ . . . เจนหลับตาลงด้วยใจที่ระทึก . . . พ่อบอกว่า สงสัยจุลจะโดนเชื้อหมาบ้าด้วย เป็นความผิดของพ่อเอง ที่คิดว่าจุลไม่โดนกัดเลยไม่ได้ให้หมอฉีดวัคซีนป้องกัน ขออำนาจคุณพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงดลบันดาลให้น้องชายของเจนปลอดภัยด้วยเถิด . . .

เจนพนมมือ หลับตาสวดมนต์ภาวนา

แม่ – ขณะนี้ก็เช่นกัน นั่งเฝ้าอยู่แนบข้างร่างของจุล ดวงตาที่ชุ่มชื้นด้วยน้ำตา จองเขม็งที่จุล ไม่คลาดแม้วินาทีเดียว

‘ลูกแม่ . . . ยังไม่ทันโตให้แม่ชื่นใจเลย . . . โถ แม่อุตส่าห์เฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กๆ ยังแบเบาะ ไม่น่าเลย . . . แม่คิดไม่ถึงจริงๆ ทำไมเราถึงโชคร้ายเช่นนี้หนอ . . . ขอให้ลูกหายเถิด . . . จะทำอย่างไรก็ได้ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของแม่ . . . ถ้าแม่จะช่วยลูกได้ . . . ขอให้ลูกปลอดภัยเถิด . . .

ที่โรงพยาบาล หมอได้รับตัวเด็กชายจุลไว้รักษาในโรงพยาบาล โดยแยกห้องต่างหาก เนื่องจากกลัวการกระจายของเชื้อ ต้องให้ยากล่อมประสาท ให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดดำ และให้อาหารทางสายยาง เนื่องจากจุลกลืนอะไรไม่ได้เลย กล้าเนื้อที่ลำคอและกล่องเสียงเกร็งไปหมด แต่จุลก็ยังรู้สึกตัวดี พอพูดจาโต้ตอบได้รู้เรื่อง แต่มักจะกระสับกระส่ายดิ้นตลอดเวลา ทุกครั้งที่พ่อและแม่มาเยี่ยมต่างก็พาเอาสีหน้าหมองคล้ำกลับไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง และในวันที่ 10 ที่มาอยู่โรงพยาบาล จุลก็จากโลกนี้ไป !

เจนเหงาลงมาก หลังจากจุลจากไป เธอไม่เคยลืมภาพความเจ็บป่วยของน้องชายได้เลย เจนเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ด้วยท่าทีที่เศร้าสร้อย . . . ใครจะโชคร้ายอย่างน้องบ้างนะ . . . ขอให้เด็กในโลกนี้ . . . อย่าเป็นโรคอย่างน้องจุลเลย มันทรมาน . . . ทรมานเหลือเกิน !

ภาค 2 : วิชาการ

โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)

เป็นปัญหาที่สำคัญอันหนึ่งของประเทศไทย โรคนี้อาจเป็นกับแมว วัว ควาย หรือค้างคาวได้ จากรายงานที่พบเฉลี่ยจะเกิดปีละ 200 – 300 ราย ผู้ชายพบมากกว่าผู้หญิง เด็กอายุ 6- 15 ปี พบมากที่สุด โรคนี้พบได้ตลอดปี

อาการในสุนัข

อาการในสัตว์จะคล้ายกับอาการในคน สัตว์จะคันมากจนกัดเนื้อบริเวณที่คัน สุนัขจะกลืนน้ำลำบากเพราะกล้ามเนื้อของการกลืนจะเกิดเป็นอัมพาต ทำให้ขากรรไกรล่างห้อยลงมา ฉะนั้น ถ้าเห็นสุนัขตัวไหนคางห้อย ให้สงสัยไว้ก่อนว่าจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้า อาการในสุนัขแบ่งเป็น

1. แบบดุร้าย พวกนี้ชอบวิ่งเตลิดเปิดเปิงไม่มีจุดหมาย ถ้าไม่ถูกคนตีตายหรือถูกรถทับตายมันก็จะกลับบ้านมานอนซมอยู่ 2-3 วันก็ตาย ถ้าขังมันไว้ มันจะกัดกรงจนปากและฟันหัก มีอาการหลังแข็ง หางตก น้ำลายไหล ลิ้นห้อย มักชอบงับลม งับแมลงวันที่บินผ่าน

2. แบบซึม มันจะเอี้ยวคอไมได้ หลังแข็ง หางตก ชอบนอนซุกในที่มืด ระยะหลังคางจะห้อย ดูคล้ายกระดูกติดคอ แต่อย่าไปช่วยล้วงคอให้มันเชียวเพราะถ้าโดนงับละก้อจะต้องรีบไปฉีดยาทันที พวกนี้จะตายภายใจ 2-3 วัน

อาการในคน

อาการในคนแบ่งเป็น 3 ระยะ

1. ระยะฟักตัว ไม่มีอาการ อาจกินเวลา 1-3 เดือน หลังถูกกัดถึงค่อยเกิดอาการ บางคนนานถึง 3 ปี แต่ถ้าถูกกัดที่หน้า แขน หรือบาดแผลเหวอะหวะ ระยะฟักตัวอาจสั้นแค่ 10 วัน

2. ระยะที่มีอาการทางระบบประสาท ระยะแรกมีอาการกลืนน้ำไม่ได้ หายใจลำบาก อาการสุดท้ายจะโคม่า แล้วก็ตาย

เชื้อโรคพิษสุนัขนี้เป็นเชื้อไวรัส จะเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล เชื้อส่วนใหญ่จะสะสมอยู่ในต่อมน้ำลายของสุนัขแต่พบได้ที่เล็บของมันด้วย จากนั้นเชื้อไวรัสจะเข้าไปตามเส้นประสาท จนไปถึงสมอง จะมีการแบ่งตัว แล้วย้อนกลับมาตามเส้นประสาท มายังอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะที่ต่อมน้ำลาย

อาการที่สำคัญที่ใช้ในการวินิจฉัย

ก. กลืนลำบาก ผู้ป่วยอยากดื่มน้ำแต่กลืนไม่ได้ จะสำลัก

ข. ผู้ป่วยจะไวต่อการกระตุ้น เมื่อถูกโบกลมพัด ก็จะสะดุ้งผวา เกร็ง

ค. ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกตัว พูดจาโต้ตอบรู้เรื่อง

นอกจากนี้ก็มีอาการกระสับกระส่าย และอาการคันบริเวณที่ถูกกัดหรือบริเวณใกล้เคียง

เมื่อถูกกัดจะทำอย่างไร

ถ้ามีบาดแผล

1. ล้างแผลด้วยน้ำและสบู่หลายๆ ครั้งทันที

2. ใช้ยาฆ่าเชื้อเช็ดแผล เช่น ทิงเจอร์ไอโดดีน หรือ 70 เปอร์เซ็นต์ แอลกอฮอล์

3. แพทย์จะไม่เย็บแผลให้ เพราะจะทำให้เชื้อเข้าร่างกายได้มากขึ้น แต่ถ้าจำเป็นเนื่องจากมีเลือดออกมาก ก็จะเย็บไว้หลวมๆ แล้วใส่ท่อระบายไว้ ถ้าแผลสกปรกมาก ควรได้รับการฉีดยาป้องกันบาดทะยักไว้ด้วย

การป้องกันและการรักษา

ถ้ารู้ว่าเป็นสุนัขบ้าแน่ ควรได้รับการฉีดเซรุ่มฮัยเปอร์อิมมุน (Hyperimmune serum) พร้อมทั้งฉีดวัคซีนไปด้วยกัน

การได้วัคซีน ถ้าได้อย่างเดียว ควรได้ทั้งหมด 17 เข็ม คือ ฉีดทุกวัน 14 เข็ม แล้วฉีดกระตุ้นอีก 1 เข็ม หลังจากฉีดครบเข็มสุดท้ายแล้ว ในเวลา 10, 20 และ 90 วัน

แต่ถ้าได้เซรุ่มด้วย ควรฉีดวัคซีนไป 21 เข็ม ติดต่อกัน เนื่องจากเซรุ่มจะไปขัดขวางการสร้างภูมิคุ้มกัน (antibody) แล้วควรฉีดหลังกระตุ้นอีก 3 เข็ม หลังจากฉีดครบเข็มสุดท้ายที่ 21 แล้ว ในเวลา 10, 20 และ 90 วัน รวมเป็น 24 เข็ม

ถ้าหากว่าแผลใหญ่ หรือเป็นที่หน้า และศีรษะ แต่ไม่มีเซรุ่ม ควรฉีดวัคซีนในขนาดสูงขึ้น เช่น 5 มิลลิลิตร 21 เข็มทุกวัน แล้วฉีดกระตุ้นอีก 3 เข็ม ในวันที่ 10, 20 และ 90

ถ้าผู้ป่วยไม่ได้มาฉีดวัคซีนสม่ำเสมอทุกวัน ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งต้นใหม่ ไม่ว่าจะเว้นไปกี่วันก็ตาม

ขนาดของยาและชนิดของวัคซีน

ในประเทศไทยมีเซรุ่มที่ได้จากม้า ใช้ขนาด 40 หน่วย (unit) ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยแบ่งฉีดรอบแผลครึ่งหนึ่ง และ ฉีดเข้ากล้ามอีกครึ่งหนึ่ง

สำหรับวัคซีนที่มีใช้ในประเทศไทย คือ

1. วัคซีนจากสมองแกะ (Semple Vaccine) ของสภากาชาด และ องค์การเภสัชกรรม

2. วัคซีนจากตัวอ่อนลูกเป็ด (Duck Embryo Vaccine-DEV) ของบริษัทยา

3. วัคซีนจากสมองลูกหนู (Suckling mice brain Vaccine) ทำที่องค์การเภสัชกรรม

4. วัคซีนจากคน (Human diploid cell Vaccine) ราคาแพงมาก แต่ฉีดเพียง 6 เข็ม และให้ผลแทรกซ้อนน้อย

การแพ้วัคซีน

ผู้ที่ฉีดวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนจากสมองแกะจะมีอัตราการแพ้มากกว่าชนิดอื่น อาการจะมีตั้งแต่ปวดหัว มีไข้ คลื่นไส้อาเจียน หรือชา ผู้ป่วยจะต้องบอกหมอทีฉีดยาให้รับทราบไว้ ซึ่งหมอจะได้พิจารณาหยุดฉีดหรือให้ยาอื่น เช่น พวกแอนตี้ฮีสตามีน (anti histamine) ลองดูก่อน ถ้าอาการหายไป ก็แล้วไป แต่ในบางราย ถ้าไม่สังเกตตัวเอง ฉีดไปเรื่อยๆ อาจเกิดอัมพาตได้ ถ้าคิดว่าแพ้วัคซีนนี้ เราก็อาจเปลี่ยนไปใช้วัคซีนจากตัวอ่อนลูกเป็น (DEV) แต่ถ้าไม่มีเงินซื้อเพราะราคาแพงหรืออยู่ต่างจังหวัดไม่มี ก็อาจลองใช้ยาเดิม แต่ลดขนาดลง แทนที่จะฉีด 2 มิลลิลิตร วันเว้นวัน โดยนับจำนวนมิลลิลิตรให้ครบเท่าเดิม

ปฏิกิริยาที่เกิดจากวัคซีน ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าน มี 2 ชนิด

1. ปฏิกิริยาเฉพาะที่ บริเวณที่ฉีดมีอาการเจ็บบวมแดง คัน มักเกิดขึ้นทุกราย ไม่ว่าวัคซีนชนิดไหน พวกนี้ฉีดต่อไปได้ แต่เปลี่ยนที่ฉีด อาจย้ายจากหน้าท้องมาที่สะโพก แขน ขา ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องฉีดรอบสะดือแห่งเดียว

2. ปฏิกิริยาทั่วไป

ก. มีอาการอัมพาตของประสาทหน้า ประสาทตา ลิ้น อาการจะหายไปใน 2 สัปดาห์

ข. มีอัมพาต ของขา แขน อ่อนแรงชั่วคราว มีไข้ อ่อนเพลีย

ค. มีไข้ ปวดต้นคอ ขาเป็นอัมพาต ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะไมได้ อาการลุกลามไปที่แขน หน้า และลิ้น พวกนี้อัตราตาย 30%

ง. อาการรวดเร็ว มีไข้ ปวดหัว ปวดคอ ปวดหลัง คอแข็ง อัตราตายสูงมาก

ของฝากชิ้นสุดท้าย

1. ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้กับสุนัขเลี้ยงของท่านทุกตัว

2. ใช้ประโยชน์จากภาควิชาความรู้ที่ได้อ่าน ในการปฏิบัติตัวให้ถูกต้องทันทีที่ถูกสุนัขกัด และมีความเข้าใจถึงอันตรายของโรค การติดต่อ ความจำเป็นที่ต้องกำจัดสุนัขที่ติดเชื้อเพื่อป้องกันการแพร่ของโรคและเข้าใจถึงอันตรายจากการใช้วัคซีน

ข้อมูลสื่อ

11-004
นิตยสารหมอชาวบ้าน 11
มีนาคม 2523
โรคน่ารู้
พญ.วารุณี สดเจริญ