• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับโฮโมเซ็กช่วล

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับโฮโมเซ็กช่วล

 

 


คนที่เป็นเกย์มิใช่ว่าจะมีอะไรกับผู้หญิงไม่ได้ ถ้าเขาคิดจะมีก็มีได้ แต่ว่าความรู้สึกทางเพศของเขาในการมีอะไรกันนั้นมันไม่สมบูรณ์
คนส่วนใหญ่เมื่อพูดถึงเรื่องเกย์ มักจะสนใจเรื่องที่เกิดขึ้นบนเตียงมากกว่าที่จะพยายามเข้าใจถึงสภาพจิตใจของพวกเขา ซึ่งอันที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่ง่ายที่จะจินตนาการ
บางคนเป็นเกย์ควีน (คือเป็นหญิงให้ชายอื่น) ตลอดกาล
บางคนเป็นเกย์คิง (คือเป็นชายให้ชายอื่นที่ยอมเป็นหญิง) ตลอดกาล
บางคนก็เป็นพวกกระแสสลับเปลี่ยนเป็นชายเป็นหญิงได้แล้วแต่คู่ขา
บางคนก็นอนกับผู้หญิงได้อีกด้วย

การที่เด็กสักคนหนึ่งกลายเป็นเกย์ ยังไม่มีใครยืนยันว่าสาเหตุมาจากอะไร ความผิดปกติของฮอร์โมนนั้นไม่ใช่สาเหตุของสภาพจิตรักร่วมเพศอย่างแน่นอน การที่เรามีฮอร์โมนเพศหญิงหรือเพศชายผิดไปอาจจะมีผลกับร่างกายของเรา แต่ไม่มีผลในการเปลี่ยนแปลงความต้องการทางเพศให้ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่สังคมเรียกว่าปกติ เรื่องของการถ่ายทอดทางโครโมโซมนั้นก็ไม่ใช่เป็นสาเหตุอีกเช่นกัน การที่เด็กจะมีความปรารถนาทางเพศไปในทางใดนั้นจะขึ้นอยู่กับการเรียนรู้มากกว่าการเรียนรู้บทบาทเพศของตัวเอง การเรียนรู้บุคลิกจากคนที่ใกล้ชิดและบูชา ความสับสนในเรื่องบทบาทและบุคลิกจะเกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย มากกว่าการที่เด็กจะอยู่ใกล้ชิดกับเกย์ การที่เด็กอยู่ใกล้ชิดกับเกย์ แต่ถ้าเกย์คนนั้นไม่ใช่บุคคลที่เด็กจะเรียนรู้บทบาททางเพศขากเขา ๆ ก็มีอิทธิพลต่อทิศทางของความปรารถนาทางเพศของเด็กไม่ได้

รายงานจากเกย์ที่มาพบหมอหลายๆคนจะบอกถึงสาเหตุหลายอย่าง เช่น
- แม่ที่แข็งแกร่งเกินเหตุและข่มพ่อ
- พ่อที่ไม่มีเวลาอยู่เป็นรูปแบบที่ดีให้ลูก
- ปู่ย่า ตายาย เป็นผู้ดูแลเด็กให้อยู่ในกรอบประเพณีมากเกินไป
- พ่อที่ดุจนลูกเกลียด ไม่อยากเข้าใกล้และไม่พอใจบุคลิก
- เด็กที่ติดแม่มาก ได้รับการประคบประหงมจากแม่มากเกินไป
- เด็กที่อยู่กับแม่จนเติบโตและไม่แยกห้องนอนจากแม่
- แม่เลี้ยงลูกผู้ชายให้เป็นหญิง เพราะแม่อยากได้ลูกผู้หญิง
- ลูกได้รับความชื่นชมจากพ่อแม่ในการทำตัวติ๋มๆต่างไปจากพี่ๆที่ถูกตีถูกด่า เพราะความซน และเอะอะโวยวาย
- หลานชายคนที่ย่าหรือยายเห่อและเลี้ยงดูอย่างผู้หญิง
- ลูกชายคนเล็กที่แม่ลากไปตามสถานเสริมสวยและที่ชุมนุมผู้หญิงกับแม่เสมอ

นักจิตวิทยาได้เคยศึกษาและสรุปว่า แท้จริงแล้วมนุษย์เรามีแนวโน้มที่พอใจความสุขทางเพศในลักษณะไบเซ็กซ์ช่วล (คือสุขได้กับทั้งสองเพศ) แต่สภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูจะผลักดันเราให้หันเหไปด้านใดด้านหนึ่ง ที่ถูกผลักถูกทิศทางก็โชคดีไป ที่ถูกผลักผิดทิศทางก็ต้องกลายเป็นเกย์
เด็กที่จะเป็นเกย์จะเริ่มตั้งแต่อายุ 5-6 ขวบ เพียงแต่ในตอนต้นๆจะเป็นลักษณะกิริยาท่าทาง ไม่มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องเพศจะเข้ามาเกี่ยวข้องก็เมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่นแล้ว ในตอนเล็กๆพ่อแม่จึงไม่ค่อยมีปัญหากับลูกที่มีบทบาทผิดเพศของตน จนกว่าลูกจะเริ่มมีความสนใจทางเพศ และเมื่อลูกมีความสนใจผิดเพศ ทางพ่อแม่จึงจะมารู้ตัวทีหลังว่า ลูกตัวเองถูกผลักให้มีบทบาททางเพศผิดทิศทางเสียแล้ว

ดังนั้น พ่อแม่ควรจะสังเกตบุคลิกของลูกให้ถูกทิศทางตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ปล่อยให้มีการพัฒนาจนลูกเติบใหญ่สนใจทางเพศแล้ว พ่อแม่จึงจะรู้สึกว่าลูกตัวเองผิดปกติ เพราะเมื่อมาถึงจุดนั้นอะไรๆมันก็สายไปเสียแล้ว แม้ลูกจะไม่มีประสบการณ์ทางเพศที่ผิดปกติ แต่ถ้าจิตใจของลูกรักใคร่ชอบพอและเกิดอารมณ์เพศกับคนเพศเดียวกันเสียแล้วมันแก้ยาก คราวนี้มันเป็นเรื่องว่าโอกาสของประสบการณ์ทางเพศจะเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อใดเท่านั้นเอง

และเมื่อมาถึงจุดๆนี้ การด่าว่าการชี้ว่าสิ่งที่เขาเป็นอยู่นั้นผิด จะสร้างปัญหาสุขภาพจิตและจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้น เมื่อถึงจุดที่ทุกอย่างเลยทางเลี้ยวที่ลูกจะหมุนกลับแล้ว พ่อแม่จะต้องช่วยให้ลูกปรับตัวปรับใจให้ยอมรับตัวเอง ให้เข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง อย่าให้เขาเกลียดตัวเองหรือเกิดความสยองจนไม่สามารถจะเป็นคนที่สร้างประโยชน์ให้สังคมได้ เมื่อเขารับตัวเองได้ ทำใจให้เสรีได้ เขาจะทำอะไรได้หลายๆอย่างตามที่ความสามารถของเขามีอยู่ พวกเขาจะเป็นคนที่นุ่มนวล มีน้ำใจ ช่วยเหลือคน มีจิตใจลึกซึ้งอ่อนไหวต่อความรู้สึกของคน แต่ถ้าเขาถูกประณามและเหยียดหยาม เขาจะกลายเป็นคนกล้าและก้าวร้าว และแกร่งใจหินใจเหล็กยิ่งกว่าผู้ชายที่ดุดันบางคน

เกย์ที่ยอมรับตัวเองได้จะยิ้มรับอุปสรรคต่างๆ ที่สังคมรอบๆตัวเขาสร้างขึ้นขวางทางก้าวหน้าของพวกเขา และสามารถเข้าใจถึงความร้ายกาจต่างๆ ที่เขาเผชิญโดยไม่รู้สึกโกรธคนที่อยู่รอบตัว ซึ่งส่วนนี้พ่อแม่จะมีส่วนช่วยเขาได้มาก พ่อแม่และลูกจะต้องพร้อมกันทั้งสองฝ่ายในการจะช่วยให้ลูกที่เป็นเกย์มีสุขภาพจิตที่ดี พ่อแม่และลูกต้องคุยกันเพื่อความเข้าใจ ลูกๆอยากรู้เสมอว่าพ่อแม่รู้สึกอย่างไรกับการเป็นเกย์ของเขา ตราบที่เขายังไม่รู้แน่ชัดเขาจะมีความสบายใจไม่ได้ และญาติพี่น้องก็ต้องช่วยกันเรียนรู้และเข้าใจด้วยอย่าเป็นกระต่ายตื่นตูมเมื่อรู้ว่าลูกเป็นเกย์ เพราะการที่ลูกเป็นเกย์ไม่ใช่การถูกสาปให้ชีวิตเป็นทุกข์ชั่วชีวิต เว้นเสียแต่ว่าคนรอบข้างของเขาจะทำให้มันเป็นเช่นนั้น

พ่อแม่ต้องทำให้ลูกเห็นว่าแม้จะรู้ว่าลูกเป็นเกย์ พ่อแม่ก็ยังคงรักลูกอยู่และถือว่าลูกก็คือลูกที่พ่อแม่พร้อมที่จะเข้าใจและให้คำปรึกษา เพื่อให้ลูกนั้นสามารถดำเนินชีวิตเป็นคนดีที่มีคุณค่ากับสังคมได้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่มีความต้องการทางเพศไปในทิศทางที่ผิดๆก็ตาม การกอดลูก จูบปลอบขวัญลูก คือ สิ่งที่จะช่วยรักษาสุขภาพจิตของลูกที่สารภาพการเป็นเกย์กับพ่อแม่ได้ดีที่สุดอย่างมองลูกเป็นคนแปลกหน้าทันทีที่รู้ว่าลูกเป็นเกย์ ในเมื่อเขาแก้ไขไม่ได้ เราก็แก้เขาไม่ได้ แต่เราสกัดกั้นความทุกข์ระทมขมขื่นของเขาได้ด้วยการแสดงให้เขาเห็นว่าเรานั้นยังคงเห็นเขาเป็นคนๆเดิม ที่เราเคยรักอยู่ เพียงแต่เรามีข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่งเท่านั้น

ถ้าคำว่า โฮโม หรือคำว่า กะเทย เป็นคำที่ถูกเหยียดหยาม ทำลายความรู้สึกของลูก ก็ควรหัดใช้คำว่า เกย์ ที่ลูกๆพอจะยอมรับได้ดีกว่า อย่าให้ร้ายตัวเองว่าเราทำอะไรผิด ลูกถึงได้กลายเป็นอย่างนี้ เพราะสิ่งนั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว มานั่งถามหาสาเหตุก็ไร้ประโยชน์ แต่การจะมองอนาคตที่ดีของลูกเป็นสิ่งที่เราควรทำถ้าเราคิดว่าเราผิด และลูกของเราเป็นต้นเหตุของความรู้สึกอันนั้น เราก็จะเกลียดลูกเรา เราก็จะทำร้ายจิตใจของลูกเรามากขึ้นไปกว่าความทุกข์ที่เขามีอยู่แล้วจากการที่ต้องเผชิญหน้าใครๆต่อไปที่รู้ว่าเขาแปลกประหลาดวิตถาร ให้นึกถึงวันที่เราเคยเป็นพ่อแม่ที่ดีของเขา แล้วก็จะเป็นพ่อแม่ที่ดีต่อไป การที่ลูกยอมรับกับเรานั้น เขาได้แสดงว่าเขารักเรา ไว้ใจเรา และมีศรัทธาในความเป็นพ่อแม่ของเราแล้วสิ่งที่จะทำให้พ่อแม่เสียใจก็คืออาชีพของลูก พ่อแม่บางคนหวังไว้มากว่าลูกจะเป็นอะไรเมื่อเติบใหญ่ และบางอาชีพนั้นการเป็นเกย์ก็เป็นอุปสรรค พ่อแม่รู้สึกผิดหวังและเกลียดลูกมาก ถ้าคิดว่าการเป็นเกย์ของลูกสร้างความผิดหวังให้แก่ตน สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำใจและช่วยลูกคิดว่าอาชีพที่จะทำให้ลูกก้าวไกลในสภาพการเป็นเกย์นั้น คืออาชีพอะไร ถ้าพ่อแม่ฝังใจอยู่กับความหวังเดิม ทั้งๆที่รู้ว่าลูกเป็นเกย์ ความเจ็บปวดรวดร้าวก็จะมีมากขึ้น

พ่อแม่หลายคนคิดถึงการรักษาทันทีที่รู้ว่าลูกเป็นเกย์ เพราะเราคิดว่าการเป็นเกย์เป็นความเจ็บไข้ แต่ที่จริงการเป็นเกย์เป็นพัฒนาการของบุคลิกภาพระยะยาวที่ไม่ใช่โรคภัยไข้เจ็บที่จะต้องรักษา สิ่งที่เขาควรจะได้รับคือ การปรับสภาพจิตใจให้เขาทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่สังคม และสามารถมีบทบาทในสังคมได้อย่างดี การไปหาจิตแพทย์ของเกย์จึงไม่ควรเป็นการไปรักษา แต่เป็นการไปปรับสภาพจิตใจให้ยอมรับตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทั้งพ่อแม่และลูกต้องปรับไปพร้อมๆกัน

- พ่อแม่ควรจะแชร์ความรู้สึกต่างๆกับลูก เพื่อให้ลูกแชร์ความรู้สึกต่างๆของเขากับเราด้วยความสบายใจ เขาอาจสบายใจเมื่อเขารู้ความรู้สึกของเราที่มีต่อเขา และเราก็เข้าใจเขาดีขึ้นเมื่อเรารู้ความรู้สึกของเขา
- อ่านหนังสือต่างๆเกี่ยวกับเรื่องเกย์ เพื่อขยายโลกทัศน์ของเราและสัมผัสชีวิตเกย์ของชาวบ้านอื่นๆเขาด้วย

-เผชิญกับคนที่เป็นเกย์อื่นๆ เพื่อให้ลูกรู้ว่าเขาเหล่านั้นอยู่ในสังคมของคนเช่นใด มีทิศทางของพฤติกรรมเป็นไปอย่างไร มีโอกาสจะเป็นคนดีมีศีลธรรม (ในขณะที่มีทิศทางของเพศอันผิดๆ) หรือไม่

- หากจะต้องรู้จักกับเพื่อนๆของลูกแล้ว สังเกตพฤติกรรมการสมาคมและความสัมพันธ์ของเขาบ้างก็จะดี พยายามทนกับภาพที่เราอาจจะเห็นว่าน่าเกลียด น่าขยะแขยง เพื่อให้เกิดเป็นความเคยชิน

- ปฏิกิริยาที่แสดงออกกับลูกที่กำลังหันหน้ามาปรึกษาปัญหาชีวิตในการเป็นเกย์ก็คือ ทำให้ลูกรักตนเอง ไม่เกลียดชังตัวเอง ยอมรับความเป็นลูกของเขา อย่าพยายามให้ลูกรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อย น่าละอาย ช่วยให้เขาเติบโตในโลกนี้ให้ง่ายขึ้นกว่าที่เขากำลังรู้สึก

- พยายามใช้คำว่า เกย์ ให้ได้อย่างเฉยๆ ไม่ตะขิดตะขวงใจ เลี่ยงคำว่ากะเทย โฮโม หรือพวกนั้น

- หลีกเลี่ยงการตั้งกฎเกณฑ์ใหม่ ระเบียบใหม่ในบ้าน จนกระทั่งการทำตัวเป็นนักสืบคอยสืบเสาะพฤติกรรมของลูก ทั้งๆที่ไม่เคยทำมาก่อนเพราะจะทำให้ลูกอยากออกจากบ้านนั้น ไปอยู่ไกลหูไกลตาเราเร็วขึ้น การจุกจิกจู้จี้และตั้งมาตรฐานพฤติกรรมใหม่ๆให้กับลูก จะทำให้ลูกเกลียดบ้านและปฏิเสธการอยู่ใกล้พ่อแม่

- ถ้าลูกคบกับเกย์ผู้ใหญ่ อย่าคิดว่าเกย์ผู้ใหญ่หลอกหรือโอ้โลมลูกของเราเสมอไป ควรจะถามว่าเราให้อะไรลูกได้บ้าง ไม่ได้บ้าง สิ่งที่เราให้ลูกอยู่นั้นขาดอะไรบ้าง จึงทำให้ลูกต้องหันไปแสวงหาจากเกย์ผู้ใหญ่คนอื่นๆนอกบ้าน

- ถ้าลูกมีคนรัก ควรจะแสดงการต้อนรับขับสู้คนรักของลูกเหมือนอย่างลูกของเราที่ไม่ผิดเพศ (ชายจริงหญิงแท้) มีคนรัก อย่าแสดงความรังเกียจคู่รักของลูกจนทำให้ลูกคิดจะแยกตัวออกจากบ้านไปให้พ้นหูพ้นตาเรา เพื่อมีความสุขกับคนที่เขารัก เพราะเกย์นั้นกว่าจะหาคู่รักที่รู้ใจกันแท้จริงนั้นหายากมาก

- การแตะต้องสัมผัสตัวลูก การโอบกอดด้วยความเอ็นดูคือสิ่งที่ลูกต้องการมากๆ เมื่อพ่อแม่รู้แล้วว่าเขาเป็นเกย์ เพราะมันเป็นการแสดงว่าพ่อแม่ยังคงรักเขาอย่างเดิม

- อย่าแสดงอาการหงุดหงิดกับการแต่งตัว การไว้ผมของพวกเขา เพราะถ้าเรายอมรับสภาพจิตเขาได้ เราก็จะยอมรับสภาพปรากฏของเขาได้ หากจะช่วยเกลาช่วยแต่งให้เบาลงไม่แรงไป ก็อาจทำได้ด้วยคำแนะนำตักเตือนที่แสดงความรักและห่วงใย มิใช่ด้วยความไม่พอใจหรือการปฏิเสธอย่างจริงจัง

- ถ้าหากจำเป็นก็ค่อยๆหาโอกาสบอกญาติและเพื่อนฝูงที่เริ่มจะเข้าใจและยอมรับได้ แต่อย่าทำในเวลาที่เราเองคิดว่าเจ็บช้ำขมขื่น และไม่สบายใจ จงทำในเวลาที่เราและลูกพร้อม และสามารถพบกับปฏิกิริยาทุกรูปแบบของคนรอบข้างเราได้ แต่การได้บอกได้พูดจะช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้นมากกว่าการเก็บกดเอาไว้ ต้องจำไว้เสมอว่าถ้าลูกยังไม่พร้อมและยังไม่อยากให้เราบอกใคร ก็อย่าทำเพราะจะทำให้ลูกหมดศรัทธาและไม่ไว้ใจเราต่อไป

การที่พ่อแม่จะปรับตัวกับการมีลูกเป็นเกย์นั้นขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้

1. ความรู้สึกของเราที่มีต่อลูก
2. เวลาที่จะเปิดเผยต่อกัน
3. การไม่ทะเลาะกัน แต่แชร์ความรู้สึกต่อกัน
4. ไม่บอกคนอื่นเมื่อลูกยังไม่พร้อม
5. ทั้งฝ่ายพ่อแม่ที่รับรู้และฝ่ายลูกที่บอกจะต้องแสดงความรักที่มั่นคงเหมือนเดิม
6. หากจะมีใครเจ็บช้ำเสียใจกับข่าวนี้บ้าง จงทำใจ อย่าแสดงออกด้วยการโกรธตอบเขา
7. พยายามคิดว่าลูกที่เป็นเกย์คือลูกคนเดิมที่เราเคยรัก
8. พยายามพูดกัน อย่าปล่อยให้มีความเก็บกดอยู่ในครอบครัว
9. หาหนังสือมาอ่านให้โลกทัศน์กว้างไกล
10. ความพยายามที่จะรู้จักชีวิตเกย์ให้มากขึ้นไปกว่าการรู้จักกับลูกของเราเพียงคนเดียว

                                                                                                                              (อ่านต่อฉบับหน้า)

 

ข้อมูลสื่อ

94-014
นิตยสารหมอชาวบ้าน 94
กุมภาพันธ์ 2530
รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา