ใจสั่น
ความรู้เรื่องการกดจุดเป็นของเก่าแก่และมีมานานหลายพันปีซึ่งเป็นที่ยอมรับของชาวจีน ศาสตร์แห่งการกดจุดได้แพร่หลายไปทั่วโลก ทั้งในอเมริกาและยุโรป โดยเฉพาะในยุโรป Dr.Frank Bahr ท่านเป็นแพทย์ชาวเยอรมัน เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการกดจุดโดยเฉพาะ ท่านได้ศึกษาและเขียนตำราการกดจุดไว้ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่ามีประโยชน์ เหมาะสำหรับนำมาเผยแพร่แก่ประชานชนในการดูแลสุขภาพ เพราะการกดจุดก็คือศาสตร์แขนงเดียวกับการฝังเข็มที่เราๆท่านๆรู้จักกันดี แต่กดจุดเป็นการฝังเข็มโดยไร้เข็ม ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดเหมือนฝังเข็ม และไม่มีอันตรายใดๆต่อผู้ทำ ถ้าท่านกดได้ถูกวิธีและมีประสิทธิภาพก็จะได้ผลในการรักษา ทั้งยังช่วยเสริมการรักษาของแพทย์ให้หายเร็วขึ้น แต่ถ้าท่านทำแล้วไม่ได้ผล ก็ไม่มีข้อเสียหายอะไร |
ท่านจะรู้สึกว่ามีอาการใจหวิว ใจสั่น เวลาตื่นเต้นตกใจ กังวลใจ หรือภายหลังออกกำลังกาย ท่านจะรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง ภาวะเช่นนี้ถือว่าเป็นปกติธรรมดา แต่ถ้าอาการใจสั่นเป็นอยู่บ่อยๆ หรือเป็นติดต่อกันนานๆ หรือมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด เหนื่อยง่าย อาจมีความผิดปกติในร่างกายได้
⇒อาการ
จะรู้สึกว่าไม่สบาย หรือวิตกกังวลเกี่ยวกับหัวใจ ความรู้สึกนี้อาจจะเกิดพร้อมกับการที่หัวใจเต้นผิดปกติและรู้สึกเหมือนว่าไม่สบายบริเวณหน้าอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามีเรื่องตื่นเต้นตกใจ หรือกังวลใจ อาการอื่นๆที่พบร่วม เช่น วิงเวียน หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก การทรงตัวไม่ดีและนอนไม่หลับ
⇒สาเหตุ
อาการใจสั่น เป็นผลมาจากอาการทางประสาทร่วมกับภาวะเป็นคนขี้ตื่นเต้นตกใจบ่อยของคนๆนั้น ส่วนสาเหตุอื่น เช่น ภายหลังจากหายป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ หรือเวลาที่กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงอื่นๆ ดังนั้นถ้าเกิดอาการใจสั่น ท่านควรจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ใจเสียก่อนว่า ไม่ได้มาจากสาเหตุของโรคหัวใจ โรคคอพอกเป็นพิษ หรือโรคร้ายแรงอื่นๆ
ข้อแนะนำทั่วไปก่อนกดจุด |
1. นั่งหรือนอนในท่าที่สบายมือที่จะกดจุดไม่ควรเย็น ถ้าเย็นควรทำมือให้อุ่นก่อนโดยแช่ในน้ำอุ่น หรือใช้ผ้าห่อมือไว้
2. ถ้าท่านมีผิวหนังที่แพ้ง่าย อาจจะใช้โลชั่นหรือแป้งฝุ่นทาบริเวณที่จะกดจุดก่อนลงมือกดจุด
3. ระหว่าทำการกดจุด บางรายอาจจะมีเหงื่อออกมาก ควรให้พักระหว่างการกดจุดได้
4. .ในวันที่อากาศหนาวเย็น เมื่อกดจุดเสร็จเรียบร้อย ก่อนออกไปนอกบ้านควรสวมเสื้อให้อบอุ่น
ข้อแนะนำก่อนกดจุด |
1. การกดจุด หมายถึงการนวดจุดๆนั้นโดยใช้ปลายนิ้วมือที่เล็บสั้น
2. อ่านและดูรูปที่แสดงตำแหน่งการกดจุดให้เข้าใจ แล้วลองกดจุดที่อยู่บนร่างกาย สำหรับจุดที่อยู่บนใบหูอาจจะใช้กระจกส่องช่วยหาจุด หรือวานให้ใครคนใดคนหนึ่งดูจุดนั้นในรูปแล้วชี้ตำแหน่งให้
3. เมื่อท่านกดถูกจุดๆนั้นจะให้ความรู้สึกได้ดีกว่าบริเวณรอบๆ และควรกดจุดให้แรงพอ
4. นิ้วมือที่นิยมใช้กดจุด มักใช้นิ้วชี้ โดยให้ปลายนิ้วมือตั้งฉากกับผิวหนัง และนวดไปตามทิศทางที่ลูกศรชี้ในภาพ นวด (ถู) ออกไปเป็นระยะทาง 1 นิ้ว การนวดควรนวดประมาณ 30 ครั้ง ต่อ 10 วินาที หรือ 70-100 ครั้งต่อนาที
5. จุดบนใบหูอาจจะใช้ปลายนิ้วก้อยหรือปลายดินสอ ปากกามนๆ นวดได้ เพราะบริเวณใบหูเล็กและแคบกว่าร่างกาย
6. การกดจุดตามหลักของจีนได้กำหนดเวลาในการกดแต่ละครั้งไว้ดังนี้
เด็กอายุ 0-3 เดือน ใช้เวลากดทั้งหมด ½-3 นาที
เด็กอายุ 3-6 เดือน ใช้เวลากดทั้งหมด 1-4 นาที
เด็กอายุ 6-12 เดือน ใช้เวลากดทั้งหมด 1-5 นาที
เด็กอายุ 1-3 ปี ใช้เวลากดทั้งหมด 3-7 นาที
เด็กโต ตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ใช้เวลากดทั้งหมด 5-10 นาที
ผู้ใหญ่ ใช้เวลากดทั้งหมด 5-10-15 นาที
7. จุดที่กดอยู่บนร่างกาย ควรกดหรือนวดทั้ง 2 ข้างของลำตัว (ร่างกายจะแบ่งเป็น 2 ข้าง คือ ข้างขวาและซ้าย)
8. ระยะต่างๆ ที่ใช้ในการวัด จะวัดจากความกว้างของนิ้วมือของผู้กดจุดเอง
⇒ ตำแหน่งที่กดจุด
จุดที่กดบนร่างกาย
1. จุด “ทงลี่”
วิธีหาจุด : อยู่ที่ปลายสุดของท้องแขน ด้านนิ้วก้อย ต่ำกว่าฝ่ามือประมาณ 2 นิ้วมือ
วิธีนวด : นวดเข้าหาปลายนิ้ว(ดังรูป)
2. จุด “จิวเหว่ย”
วิธีหาจุด : อยู่กึ่งกลางหน้าอกระดับเดียวกับหัวนม
วิธีนวด : นวดขึ้นบน (ดังรูป)
3. จุด “ซานจง”
วิธีหาจุด : อยู่ต่ำกว่าจุดที่ 2 ประมาณ 2 นิ้วมือ (อยู่กลางหน้าอกกึ่งกลางระหว่างหัวนม)
วิธีนวด : นวดขึ้นบน (ดังรูป)
4. จุด “จู๋ซานหลี่”
วิธีหาจุด : วางฝ่ามือของผู้ถูกกดจุดเองลงบนหัวเข่า กางนิ้วออกเล็กน้อย จุดจะอยู่ที่ปลายสุดของนิ้วนาง
วิธีนวด : นวดลงล่าง(ดังรูป)
จุดที่ใบหู
หัวใจอยู่ด้านซ้ายของลำตัว ฉะนั้นนวดเฉพาะหูซ้ายเท่านั้น
จุดที่ 1. อยู่ที่ด้านข้างศูนย์กลางแอ่งหูใหญ่ ติดกับขอบของสันหู
วิธีนวด : นวดขึ้นบน (ดังรูป)
จุดที่ 2. อยู่ตรงกลางใบหู ค่อนไปด้านบนเล็กน้อย
วิธีนวด : นวดลงล่างเอียงไปด้านหลังเล็กน้อย
จุดที่ 3. อยู่หลังหู บริเวณกึ่งกลางของใบหูส่วนที่นูนออกเล็กน้อย
วิธีนวด : นวดขึ้นบน (ดังรูป)
การรักษา
กดจุดที่ใบหูและร่างกายสลับวันกัน นวดวันละ 1-2 ครั้ง ๆ ละ 5-10 นาที เมื่ออาการดีขึ้น ก่อนลดยาต้องปรึกษากับแพทย์ก่อน
- อ่าน 35,049 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้