• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ของฝากจากพะเยา

"...ช่างมันเถิด อะไรมันเกิด ก็ปล่อยมันไป..."Ž
เนื้อเพลงที่โดนใจให้คิดถึง "การรู้จักปล่อยวาง" ท่อนนี้ แว่วมาจากวงเต้นแอโรบิกของสาวๆกลุ่มหนึ่งที่ริมกว้านพะเยา ในเช้าวันหนึ่งของช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาที่ผมมีโอกาสเดินทางไปบรรยายความรู้เรื่องสุขภาพที่เมืองนั้น

เยื้องไปอีกฟากถนนหนึ่งในบริเวณอนุสาวรีย์พ่อขุนงำเมือง ก็มีกลุ่มชายหญิงวัยสูงอายุกำลังร่ายรำเพื่อสุขภาพ

เมื่อมีโอกาสค้างแรมที่ต่างจังหวัด ผมนิยมตื่นเช้า ออกไปเดินออกกำลังที่สวนสาธารณะ มักพบผู้คนพากันออกมาออกกำลังกายด้วยรูปแบบต่างๆ

ที่ริมกว้านพะเยามีทางเดินเลียบกว้านยาวประมาณ 1 กิโลเมตร มีผู้คนออกมาเต้นแอโรบิก ร่ายรำตามจังหวะเพลง เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน บ้างก็ตกปลา บ้างก็จับกลุ่มคุยกัน โดยมีผืนน้ำ ลมเย็น ก้อนเมฆ และทิวเขาเป็นเครื่องบันเทิงตาและบันเทิงใจ

ผมเดินเลียบริมกว้านไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดเมื่อเหลือบเห็น "แม่อุ๊ย" นั่งอยู่ที่ม้าหินทอดสายตาไปยังผืนน้ำ ผมจึงถือโอกาสเข้าไปทักทาย ดูจากหน้าตาคาดว่าท่านคงมีอายุ 70 ปีเศษ นึกประหลาดใจเมื่อพบว่ามีอายุ 88 ปี แม่อุ๊ยรูปร่างเปรียว ท่าทางกระฉับกระเฉง บอกว่าเช้าๆ หลังตักบาตรจะเดินมาจากบ้านตามลำพัง ซึ่งอยู่ห่างออกไป 200-300 เมตร มานั่งชมวิวและสูดอากาศอยู่ที่ริมกว้านแห่งนี้เป็นประจำทุกวัน สมัยก่อนชอบขี่จักรยานมาออกกำลังกายที่นี่ เมื่ออายุมาก ลูกๆกลัวแม่หกล้มกระดูกหักจึงห้ามไม่ให้ขี่จักรยาน จึงได้ออกมาเดินแทน

แม่อุ๊ยเล่าว่ามีลูก 10 คน ตัวเองเรียนจบชั้นประถม 4 อาศัยการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ส่งเสียลูกเรียนจบปริญญาตรีทุกคน

เมื่อถามถึงเคล็ดลับในการดูแลตนเอง ก็จับความได้ว่าท่านได้ปฏิบัติหลัก 3 อ. ได้แก่
1. ออกกำลังกาย ดังกล่าวข้างต้น
2. อาหาร ชอบกินผัก ผลไม้ กล้วยน้ำว้าที่ปลูกเองในบ้าน กับข้าวก็กินปลาเป็นหลัก กินเนื้อหมูและเนื้อวัวน้อยมาก
3. อารมณ์ ปกติเป็นคนอารมณ์ดี ไม่ค่อยถือโทษโกรธใคร เข้าวัดปฏิบัติธรรมตั้งแต่อายุ 50 ปี ทุกวันนี้อยู่บ้านสวดมนต์ไหว้พระทั้งช่วงหัวค่ำ และตอนเช้ามืดชอบอ่านหนังสือธรรมะเป็นประจำ แม่อุ๊ยยังได้ท่องบทสวดมนต์ให้ฟังอย่างคล่องแคล่ว และได้กล่าวถึงบทกลอนที่หลวงพ่อประจำวัดที่แม่อุ๊ยทำบุญอยู่ประจำสอนไว้ ซึ่งได้ดัดแปลงให้สมบูรณ์ จึงขอนำมาฝากไว้ ณ ที่นี้*

ก็รู้สึกขอบคุณแม่อุ๊ยที่ได้ให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตให้มีสุขภาพและมีความสุข
คราวนี้ผมยังมีโอกาสขึ้นไปชมวัดอนาลโยบนดอย บุษราคัมในเย็นวันหนึ่ง (คำขวัญประจำจังหวัดพะเยาคือ "กว้านพะเยาแหล่งชีวิต ศักดิ์สิทธิ์พระเจ้าตนหลวง บวงสรวงพ่อขุนงำเมือง งามลือเลื่องดอยบุษราคัม")

ดอยนี้อยู่อีกฟากหนึ่งของกว้านพะเยาอันกว้างไพศาล เห็นชัดเมื่อมองจากฝั่งฟากที่เป็นตัวเมือง
บนดอยมีต้นไม้ใหญ่มากมาย ให้ความเขียวครึ้ม อากาศเย็นสดชื่น และความชุ่มชื้น ชาวบ้านเรียกว่า "ม่อนแจ๊ะ" (ดอยที่มีความชื้นแฉะ)

วัดอนาลโยตั้งอยู่บนดอยบุษราคัมแห่งนี้ มีการก่อสร้างองค์พระพุทธรูป ศาลา โบสถ์ รวมทั้งสังเวชนียสถานจำลอง กระจายเป็นพื้นที่กว้าง

ผู้นำทางพาเดินชมสถานที่ต่างๆ ในบริเวณวัดแห่งนี้ ท่ามกลางแมกไม้และบรรยากาศเย็นสบายเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ

ผมชอบการเดิน ถือเป็นการออกกำลังกายและผ่อนคลายอารมณ์อย่างดีวิธีหนึ่ง เวลาเดินมักจะเดินเร็ว และเดินต่อเนื่องนานๆ

คราวนี้ลืมไปว่ามีผู้นำทางไปด้วย และมีอยู่หลายช่วงตอนที่ต้องเดินขึ้นบันไดไต่ระดับอยู่หลายชั้น เหลือบเห็นผู้นำทางที่มีอายุน้อยกว่า 10-20 ปี ออกท่าทางหอบเหนื่อย จึงได้ตระหนักว่าเป็นการเดินที่หนักเกินไปสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลัง จึงได้ชะลอฝีเท้าลง

นึกขำตัวเองว่าเราก็เคยเป็นแบบนี้ ในสมัยที่อายุไม่มาก แต่ไม่เคยใส่ใจออกกำลังกาย เดินขึ้นตึก 3 ชั้นก็มีอาการหอบแฮกๆ

ในช่วงหลัง แม้ว่าจะแก่ตัวขึ้น แต่อาศัยได้บริหารกายอย่างต่อเนื่องมากว่า 20 ปี กลับรู้สึกเดินได้ทนมากกว่าในช่วงวัยหนุ่มมาก

เมื่อปีกลายชวนเพื่อนร่วมงานไปเที่ยวต่างจังหวัด พากันเดินขึ้นยอดเขาแห่งนี้ ตัวเองกลับสามารถนำหน้าคนหนุ่มสาวไปถึงยอดเขาก่อน

การขึ้นดอยบุษราคัมคราวนี้ทำให้เห็นถึงอานิสงส์ของการบริหารกายอยู่เป็นนิตย์ และตระหนักชัดต่อไปว่า ในทำนองเดียวกันการหมั่นบริหารจิต (ฝึกเจริญสติ สมาธิ) เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ก็ย่อมจะทำให้เราไม่รู้สึก "เหนื่อยใจ" เมื่อต้องเผชิญกับความเครียดหรือความกดดันทางอารมณ์

คนเราจึงต้องเตรียมพร้อมด้วยการบริหารกายและบริหารจิตอยู่เป็นนิตย์


*ประพฤติธรรม        สำคัญ             อยู่ที่จิต
ถ้าคิดผิด                  ก็มัวหมอง      ไม่ผ่องใส
ถ้าคิดถูก                  ก็ผุดผ่อง        ไม่หมองใจ
ตั้งสติไว้                   คอยคุมใจ       ไม่ทุกข์เอย

ข้อมูลสื่อ

356-002
นิตยสารหมอชาวบ้าน 356
ธันวาคม 2551
รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ