• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ผิวสวยได้อย่างไร

ช่วงนี้ร้อน ๆ หนาว ๆ นอกจากจะเสี่ยงกับการเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงแล้ว สภาพผิวของหลาย ๆ คนก็คงจะดูย่ำแย่ อาจจะแตกระแหงจนตกสะเก็ด หรือขึ้นเป็นขุยเล็กขุยน้อยเต็มไปหมด ทั้งที่ใบหน้า และแขนขา ดูแล้วไม่ค่อยเจริญตาเจริญใจกันนักใช่ไหมคะ ทั้ง ๆ ที่แต่ละคนก็พยายามดุแลผิวพรรณกันอย่างดีแล้ว แต่ก็ยังอดที่จะมีปัญหามากมายตามมาไม่ได้ ดูง่าย ๆ จากตามโรงพยาบาลหรือคลินิกรักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ มักจะมีผู้คนไปขอรับการรักษากันมากมาย “เรื่องน่ารู้” ฉบับนี้มีอาจารย์แพทย์หลายท่านมาช่วยกันให้ความรู้ และแสดงทรรศนะเกี่ยวกับการดูแลรักษาผิวพรรณให้ถูกวิธีกันถึง 4 ท่าน แพทย์หญิงปรียา กุลละวณิชย์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ได้เสนอวิธีป้องกันและดูแลรักษาผิวว่า ‘การใช้เครื่องสำอางน้อยที่สุดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผิวพรรณ’ ลองมาติดตามอ่านกันดูนะคะ

จะว่าไปผิวพรรณถือว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อจิตใจของทั้งเจ้าของผิวเอง และคนที่พบเห็น โดยเฉพาะที่ใบหน้า คนผิวสวยจึงดูเป็นที่ชื่นชอบของบุคคลรอบข้าง ดังนั้น การดูแลรักษาผิวจึงนับว่าเป็นเรื่องสำคัญ อันจะนำไปถึงสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีแต่ในปัจจุบัน ประชาชนยังไม่รู้จักวิธีดูแลผิวหนังที่ถูกต้อง ปล่อยให้อิทธิพลจากสื่อโฆษณามากำหนด

⇒ ควรดูแลผิวให้ถูกกับวัย

ผิวหนังของคนในแต่ละวัยก็จะมีความชุ่มชื้น นุ่มนวล หรือเปล่งปลั่งแตกต่างกันไปตามอายุ เด็ก ๆ จะมีผิวขาวใสสวยจนน่าอิจฉา ก็เนื่องจากเซลล์อ่อนวัยสามารถอุ้มน้ำได้มากมีไขมันใต้ผิวมาก อีกประการหนึ่งคือเขาผ่านวันเวลามาน้อย ยังไม่เจอกับสารพิษที่จะทำลายผิว ไม่ว่าจะสภาพแวดล้อมหรือเครื่องปรุงแต่ต่าง ๆ พอเริ่มโตขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงช่วงอายุ 30 กว่า ซึ่งเซลล์ผิวหนังเริ่มเสื่อม ความงดงามก็เริ่มลดน้อยลง อย่างที่บอกแล้วว่า ผิวของคนในแต่ละวัยจะต่างกัน การดูแลรักษาจึงต้องต่างกันไปด้วย การดูแลรักษาผิวตามวัยคือ วัยทารก วัยเด็ก วัยรุ่น วัยกลางคน และวัยชรา

⇒ ผิวสวยในวัยทารก

วัยนี้ผิวอ่อนบาง ต้องระวังเรื่องการระคายเคือง ที่น่าเป็นห่วงคือพ่อแม่มักจะชอบใช้ของที่แรงเกินไปสำหรับผิวเด็ก เช่น กลัวว่าจะไม่สะอาด จึงใช้วิธีฟอกสบู่ยาบ้าง เช็ดด้วยแอลกอฮอล์บ้าง ทุกครั้งที่ลูกทำเลอะเทอะจะต้องฟอกสบู่ ล้างแล้วล้างอีกจนเกินความจำเป็นและก่อให้เกิดการระคายผิว
ในปัจจุบันมีเครื่องสำอางสำหรับเด็กโดยเฉพาะออกมามาก ได้แก่ จำพวกสบู่เด็ก ซึ่งจะมีสารที่ระคายผิวเด็กน้อยมาก จึงแนะนำให้ใช้ เพราะสบู่ชนิดก้อนมีไขมันผสมอยู่ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแห้งเกินไป แต่ในระยะหลังนี้มีสบู่เหลวออกมาเต็มตลาด ซึ่งไม่แนะนำให้ทารกใช้ เนื่องจากมีส่วนผสมของดีเทอร์เจนด์ซึ่งไม่มีไขมัน และสามารถล้างน้ำมันออกได้มาก เมื่อใช้ไปนานๆ เด็กจะผิวแห้งเป็นขุย เป็นจุดด่างๆ ดวงๆ เกิดอาการคัน จึงไม่ควรใช้เพราะมีฤทธิ์ระคาย
เสื้อผ้าเด็กควรใช้ผ้าที่อ่อนนุ่มบางและเบา ไม่ใช่อยากให้ลูกสวยจนไม่คำนึงถึงความสบาย ห่อหุ้มซะเต็มที่ ทั้ง ๆ ที่บ้านเราอากาศร้อนแทบตาย พวกผ้าอ้อมสำเร็จรูปก็เข้ามามีบทบาทมาก การใช้ต้องระวัง ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะจะอบ เกิดการระคายผิวและเกิดเชื้อราหรือแบคทีเรียได้ง่าย ดังนั้นจึงควรจะใช้เท่าที่จำเป็น เช่น เวลาออกนอกบ้าน ยาทาประเภทน้ำมันหม่อง น้ำมันนวดกล้ามเนื้อไม่ควรใช้กับทารก จะทำให้เกิดผิวไหม้ได้ จะเห็นว่าพ่อแม่รู้จักระวังดังกล่าวคงไม่เกิดเรื่องถึงกับต้องมาหาหมอ

เมื่อจำเป็นต้องใช้ครีม ควรจะใช้ครีมอ่อน ๆ อย่าใช้ร่วมกับของผู้ใหญ่เพราะสภาพผิวจะแตกต่างกันอาจทำให้เกิดผลแทรกซ้อนได้ ส่วนพวกเบบี้ออยล์และเบบี้ครีม ควรใช้เฉพาะเมื่ออากาศหนาวเย็น แต่ถ้าช่วงอากาศร้อน การใช้ครีมหรือออยล์จะไปอุดรูขุมขนและต่อมเหงื่อจนผิวหนังอยู่ในสภาพหายใจไม่ออก เป็นเหตุให้เกิดผดเกิดผื่นคันขึ้นได้ เบบี้โลชั่นบางชนิดมีวัตถุประสงค์พิเศษซึ่งไม่แนะนำให้ใช้เป็นประจำ เพราะผสมพวกยาฆ่าเชื้อ (antiseptic) ในต่างประเทศผลิตขึ้นมาเพื่อใช้เช็ดก้นเด็กเพื่อฆ่าเชื้อเนื่องจากอากาศหนาวไม่สะดวกในการใช้น้ำล้าง แต่อย่างเมืองไทยใช้น้ำสะอาดล้างก็พอแล้ว และน่าแปลกที่บ้านเรานิยมนำมาใช้กับใบหน้าด้วย

⇒การดูแลผิวในวัยเด็ก

วัยนี้จะเป็นวัยที่มีปัญหาน้อย ปัญหาส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากการดูแลรักษาความสะอาดที่ไม่ดีพอเนื่องจากพอเด็กเริ่มวิ่ง ซน หกล้มเกิดบาดแผล มือไม่สะอาดเล็บไม่ได้ตัดเกิดการติดเชื้อ มีโรคต่างๆ ตามมาอีกมากมาย วิธีระวังง่ายๆ ก็คือ รักษาความสะอาดให้ดี กลับบ้านก็ให้ล้างมือฟอกสบู่ ล้างเท้า ตัดเล็บให้สั้นและดูแลรักษาให้สะอาด (ปฏิบัติตามหลักสุขศึกษาที่เรียนรู้กันมาตั้งแต่เด็กๆ) เมื่อถูกยุงหรือมดกัดก็ล้างน้ำฟอกสบู่ บางคนแพ้ยุงอย่างที่ชาวบ้านเรียกว่าน้ำเหลืองเสีย ก็ป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัดด้วยการอยู่ในมุ้งลวด นุ่งกางเกงขายาวอยู่เสมอ เป็นต้น

⇒ ผิวสวยแบบวัยรุ่น

วัยนี้ (ตั้งแต่อายุ 14-25 ปี) เป็นวัยที่มีปัญหามาก เนื่องจากร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง มีฮอร์โมนทางเพศมาเกี่ยวข้อง เริ่มมีต่อมไขมันซึ่งไม่มีในวัยทารกและวัยเด็ก ผิวก็เริ่มรู้ว่าใครมีผิวแบบไหน ผิวมัน ผิวแห้ง หรือผิวธรรมดา เริ่มมีสิว และก็เริ่มรักสวยรักงาม ขวนขวายหาเครื่องสำอางมาใช้ หรือใช้ตามเพื่อน มีทั้งสบู่ชนิดพิเศษต่างๆ โฟมล้างหน้า ครีมล้างหน้า ครีมบำรุงผิว เริ่มแต่งหน้าแต่ตา ทำกันจนเป็นแฟชั่น จนเป็นรูปแบบของสังคมว่าถึงเวลาจะต้องเริ่มใช้เครื่องสำอางกันแล้ว ทั้งๆ ที่ตามความเป็นจริงแล้วไม่จำเป็นเลย
 

  

ที่ว่าไม่จำเป็นก็เพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่ผิวสวยที่สุด สวยโดยธรรมชาติ ดูนวลเนียนและสดใส ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องสำอางหรือใช้น้อยที่สุดก็จะดีที่สุด เพราะคนที่มีปัญหาเรื่องผิวในวัยนี้ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง อย่างที่บอกแล้วว่าวัยนี้เริ่มรักสวยรักงาม เห็นเพื่อนใช้อะไรก็ใช้ตาม ใครบอกอะไรก็ลองใช้ เข้าร้านโน้นออกร้านนี้ หรือดูโฆษณาจากโทรทัศน์ ฟังจากวิทยุโฆษณา ครีม สบู่บอกจะทำให้ผิวสวย รักษา และป้องกันสิว ก็ลองใช้ พอแพ้ขึ้นมาก็ต้องมาหาหมอ หรือซื้อครีมที่อ้างว่าบำรุงผิวมาทา ใช้ไปสักพัก เกิดผื่นคัน เกิดสิว บางคนแพ้แล้ว ยังไม่รู้ตัวทู่ซี้ใช้อยู่จนมีอาการมากเกิดสิวขึ้นมาเต็มไปหมด สิวพวกนี้ จะหายยาก ถึงแม้จะหยุดใช้แล้วก็ยังไม่หาย ต้องใช้เวลานาน ดังนั้น ถ้าใช้แล้วมีปัญหา เกิดความผิดปกติ เช่น คันหน้า หน้าตึงลอก สิวขึ้น หรือหน้าแดงก็ต้องรีบหยุดใช้

บางคนไม่รู้ว่าตัวเองหน้ามันไปใช้ครีมล้างหน้าตามแฟชั่น ทำให้หน้ามันขึ้นไปอีก เกิดการอุดตันท่อน้ำมัน ผลที่ตามมาก็คือสิวขึ้น คนที่หน้ามันมากๆ มักจะมีปัญหาเรื่องสิว การล้างหน้าบ่อยไม่ได้ช่วยให้หน้าหายมัน ยิ่งล้างมากก็ยิ่งไปกระตุ้นต่อมให้ผลิตน้ำมันมากขึ้นอีกขอแนะนำให้ใช้แค่กระดาษซับมันซับเบา ๆ ก็พอ พวกครีมหรือออยล์นั้นเหมาะที่จะใช้กับคนหน้าแห้ง ถ้าหน้ามันมาก ควรใช้โลชั่นผสมน้ำยาประเภทแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดก่อนจะล้างด้วยสบู่ธรรมดา

คนหน้าแห้งไม่ควรล้างหน้าบ่อย หรือฟอกหน้าแล้วฟอกอีก ด้วยโฟมบ้าง สบู่เหลวบ้าง ก็ยิ่งทำให้หน้าแห้งเข้าไปอีก เพราะจะล้างพวกไขมันธรรมชาติที่เคลือบผิวอยู่ ควรใช้สบู่ที่เป็นก้อนที่มีขายทั่วไปราคาถูกๆ ล้างวันละไม่เกิน 2 ครั้ง หรืออาจใช้ครีมอ่อนๆ ล้างแล้วใช้ทิสชูเช็ดออก และล้างด้วยน้ำแค่นี้ก็พอแล้ว

ส่วนคนผิวธรรมดาปัญหายิ่งน้อย แค่ใช้สบู่ธรรมดาล้างด้วยน้ำสะอาดก็เพียงพอ ส่วนการแต่งหน้าเขียนคิ้ว ทาปากไม่ค่อยปัญหาทำได้ตามความพอใจ
ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงอยู่ที่ความไม่พอดี ความไม่เข้าใจในการดูแลรักษาผิวของตนเอง แถมยังมีการโฆษณาชวนเชื่อโน้มน้าวจิตใจกันเต็มที่ คนที่อยากจะสวยก็หลงเชื่อทั้ง ๆ ที่ไม่มีความจำเป็นเลย ตัวอย่างเช่นคนไปนวดหน้าซึ่งยิ่งไม่มีความจำเป็นสำหรับวัยรุ่นและไม่ได้ช่วยอะไรหรือมีประโยชน์เท่าไร อาจจะแค่ดูสดใส ซึ่งก็เป็นเพียงชั่วคราวเพราะการนวดจะช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น แต่หลังจากนั้นก็เหมือนเดิม แถมมีปัญหาตามมาอีกทั้งสิวหนอง สิวหัวดำ ตามมาเป็นทิวแถว
วัยนี้จึงควรเป็นวัยที่ปล่อยให้ผิวพรรณสวยสดชื่นตามธรรมชาติให้มากที่สุด อย่ารีบไปหาสารเคมีมาทำลายผิวอันสวยงามก่อนความจำเป็นจะดีกว่า   

⇒วัยกลางคนผิวสวยอย่างไร
วัยนี้จะอยู่ในระหว่างช่วงอายุ 25 ปี จนถึง 50 ปี จึงเป็นช่วงที่มีจำนวนคนมากที่สุด เป็นช่วงที่อยู่ในวัยทำงานต้องออกสังคมบ่อย เริ่มแต่งหน้ามากขึ้น เริ่มแก่ ปัญหาในวัยนี้เกิดขึ้นจากความกลัวแก่ จึงพยายามทุกวิถีทางที่จะชะลอความแก่ การโฆษณาด้านนี้จึงเข้ามามีบทบาทมาก ใครบอกว่าครีมยี่ห้อนั้นใช้ได้ผล ทำให้หน้าไม่แก่ ไม่ย่นก็รีบไปหามาใช้ แพงเท่าไรก็ไม่ว่าจึงพบว่าเป็นวัยที่มีปัญหาผิวหน้ามากที่สุด คนไม่เคยมีฝ้าก็เริ่มมีฝ้าซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ ตามกรรมพันธุ์ จากอายุที่มากขึ้น จากแสดงแดดเนื่องจากถูกแสงแดดมานาน แสงแดดนับเป็นสาเหตุหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการทำให้ผิวเสียและแก่เร็ว เครื่องสำอางก็มีส่วนทำให้ผิวเปลี่ยนแปลงไป เริ่มมีฝ้า มีจุดด่างดำตามหน้าตามตัว
ในวัยกลางคนนี้บางครั้งจำเป็นต้องแต่งหน้า แต่ก็ควรจะระลึกไว้เสมอว่า ผิวของใครก็ของคนนั้น ผิวดำจะเปลี่ยนเป็นขาวไม่ได้ ผิวมันก็จะเปลี่ยนเป็นแห้งไม่ได้ การใช้เครื่องสำอางอาจช่วยให้ดูดีได้แค่ชั่วคราว การที่คนหนึ่งใช้เครื่องสำอางยี่ห้อนี้แล้วผิวดีก็ไม่ใช่ว่าอีกคนใช้แล้วผิวจะสวย มันเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ที่จะกำหนดว่าผิวใครจะเป็นอย่างไร สวยมากสวยน้อยแค่ไหน เครื่องสำอางที่ว่าวิเศษอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพผิวอย่างถาวรได้

  
,
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนผิวพรรณแตกต่างกันมีอยู่ 5 ประการ คือ กรรมพันธุ์ อาหาร งานอาชีพ สุขภาพอนามัย และสุขภาพจิต มีอยู่ 5 ประการเท่านั้น จะเห็นได้ว่า ไม่มีเครื่องสำอางรวมอยู่ด้วยเลย
อย่างที่กล่าวแล้วว่ากรรมพันธุ์เป็นกำหนดสภาพผิวหนังของแต่ละคนว่าจะเป็นอย่างไร ยิ่งถ้างานอาชีพที่ทำไม่ต้องถูกแสงแดดมากกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ออกกำลังกายสม่ำเสมอสุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีความวิตกกังวลหรือเคร่งเครียดมากนัก ก็เชื่อแน่ว่าผิวพรรณคงจะสวยงาม และช่วยชะลอการแก่ (โดนเฉพาะที่ใบหน้า) ลงไปได้

⇒การดูแลผิวในวัยชรา
วัยนี้เป็นวัยเสื่อมของสังขาร ซึ่งร่วงโรยไปตามวันเวลา เซลล์ผิวหนังแห้งเหี่ยวและไม่มีการสร้างขึ้นมาใหม่ คุณสมบัติของผิวในการอุ้มน้ำจะลดลง เนื่องจากฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคมลดลง ผิวจะบางลง ผมบางลง ต่อมเหงื่อ ต่อมน้ำมันและรูขุมขนก็จะฝ่อลง คอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวหนังก็ลดน้อยลง มีจุดตกกระเกิดขึ้น ดำบ้าง ขาวบ้าง เส้นเลือดเปราะแตกง่าย ทั้งนี้เป็นความเสื่อมตามะธรรมชาติ ใครก็หนีไม่พ้น ยาทา (ไม่ใช่เครื่องสำอาง) อาจจะช่วยได้บ้าง โดยทาให้หลุดลอกออกไป หรือดูดีขึ้น

การปฏิบัติตัวในวัยนี้กลับไปเหมือนทารกใหม่ เพราะมีผิวที่เปราะบาง ไม่ควรอาบน้ำบ่อยจนเกินไป วันละ 2 ครั้งก็พอ น้ำอาบไม้ควรร้อนจัด ควรจะเป็นน้ำอุ่น หรือน้ำที่มีอุณหภูมิปกติ น้ำร้อนจะยิ่งทำให้ผิวแห้ง แต่ก็ไม่ควรอาบน้ำเย็นเพราะอาจจะทำให้ไม่สบาย สบู่ที่ใช้ต้องไม่ใช่สบู่ยาหรือสบู่เหลว หลังอาบน้ำอาจใช้ครีมบำรุงผิวจะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น ไม่ควรถูกแสงแดดนาน ๆ จะเกิดผิวไหม้แดดง่าย ควรระวังไม่ให้มีการหกล้มกระทบกระแทก เพราะเกิดเป็นแผลง่าย การออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอกินอาหารให้ถูกสุขลักษณะและเหมาะสมกับความต้องการ

ก็ขอย้ำอีกครั้งว่า วิธีดูแลรักษาผิวควรจะดูแลรักษาให้เหมาะกับวัยและสภาพผิว การใช้เครื่องสำอางที่น้อยที่สุดย่อมดีที่สุด เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมากมายมักจะเกิดกับผู้ที่ใช้เครื่องสำอางและอย่าพยายามทดลองยาโน่นเครื่องสำอางนี้ โดยเฉพาะที่ใบหน้า เพราะหน้าของเราไม่ใช่ที่จะทดลองคุณภาพของสารเคมีต่าง ๆ และอีกประการหนึ่งที่ควรระลึกไว้เสมอก็คือ ไม่มียาที่จะสามารถทำให้คนเราสวยได้ตลอด ไม่มีใครสามารถยับยั้งสังขารไม่ให้เสื่อมได้...

นานาทรรศนะ

ยิ่งเข้าวัยสูงอายุผิวหนังจะเริ่มเหี่ยวย่นไปตามวัยแก้ไม่ได้
แม้จะใช้ครีมชนิดใดทาก็แก้ไม่ได้


รองศาสตราจารย์นายแพทย์ อภิชาติ ศิวยาธร
สาขาวิชาตจวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

 

“ตอนนี้เข้าหน้าหนาวแล้ว หลายคนมีปัญหาเรื่องผิวแห้งแตกกันมากบางรายถึงกับเป็นโรคผิวหนังจากอาการผิวแห้งแตกเลยทีเดียว อาการผิวแห้งนั้นก็เกิดจากสภาวะที่ต่อมไขมันผลิตไขมันน้อย เช่น ในช่วงอากาศหนาว การที่ต้องอยู่ห้องแอร์นาน ๆ ทำให้ความชื้นในอากาศมีน้อย หรือในผู้สูงอายุที่ต่อมไขมันทำงานน้อยลง แต่ถ้าเป็นวัยเด็ก วัยรุ่น หรือวัยกลางคนแลัวแทบจะไม่มีความจำเป็นต้องใช้พวกครีมหรือโลชั่นบำรุงผิวเลย เพราะผิวชุ่มชื้นอยู่แล้ว ยกเว้นบางคนโดยธรรมชาติจะมีผิวแห้ง พอพ้นวัยกลางคนต่อมไขมันจะทำงานน้อยลง เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะเหล่านี้อาจเกิดอาการผิวแห้ง แตก และคัน ถ้าเกาจะทำให้เกิดโรคผิวหนัง ในภาวะเช่นนี้จึงค่อยใช้ครีมช่วย จะสามารถป้องกันไม่ให้ผิวแตกได้ ตาการใช้อย่างพร่ำเพรื่อโดยไม่มีหลักการอะไรแน่นอนก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

โดยปกติของทุกอย่างจะมีข้อบ่งชี้ว่าเราจะใช้เมื่อใด เช่น หน้าร้อนหรือหน้าฝน อากาศมีความชื้นมากก็ไม่ทำให้ผิวแห้งแตกอยู่แล้ว การซื้อใช้ตลอดทั้งปีทำให้สิ้นเปลืองเปล่า ๆ ถ้าจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ก็ขอให้ใช้ชนิดพื้น ๆ เพราะครีมบำรุงผิวประเภทนี้เป็นสารประกอบประเภทไขมัน ไม่ค่อยกระตุ้นให้เกิดการแพ้ ส่วนมากจะแพ้สารประกอบที่เพิ่มเติมเข้าไป เช่น วิตามิน อี ไม่ควรใช้สินค้าที่มีการอวดอ้างว่ามีสารที่ช่วยบำรุงผิวทั้งหลาย เพราะตามหลักวิชาการแล้วไม่ประโยชน์ เพราะว่าการให้ไขมันกับผิวหนังเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนังเท่านั้น สารอาหารต่างๆ ที่ผสมในครีม เช่น วิตามิน อี ไม่สามารถซึมเข้าไปใต้ผิวหนังได้ เราต้องมองในแง่เศรษฐกิจว่าเป็นการเสียเงินโดยใช่เหตุ และบางคนอาจแพ้วิตามิน อี ด้วย

ยิ่งเข้าวัยสูงอายุเท่าไร ผิวหนังจะเริ่มเหี่ยวย่นไปตามวัย สิ่งเหล่านี้แก้ไม่ได้ แม้จะใช้ครีมชนิดใดทาก็ช่วยไม่ได้ ซึ่งต่างจากความแห้ง เพราะความแห้งเกิดบริเวณผิวชั้นนอกส่วนความเหี่ยวย่นเกิดภายใน เช่น รอยตีนกาแก้ไขโดยการทายาหรือครีมบำรุงผิวไม่ได้แน่ครับ”

 

  โฟมล้างหน้ามีสารประเภทเดียวกับที่ผสมในผงซักฟอก 
 ถ้าใช้ไปนานๆจะทำให้ผิวหนังแห้งและเกิดระคายเคืองได้

 

รองศาสตราจารย์แพทย์หญิง วรรณศรี สินธุภัค
สาขาวิชาจิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


“ปัจจุบันคนให้ความสนใจเกี่ยวกับความงามของผิวพรรณกันมากขึ้น เห็นได้จากมีการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมความงามตลอดจนสถานเสริมความงามแก่ผิวพรรณกันอย่างแพร่หลายทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุหนังสือพิมพ์ และนิตยสารต่าง ๆ ตามหลักวิชาการ พบว่า ธรรมชาติได้ให้ความสวยงามและความสมบูรณ์แก่ผิวหนังของทุกคนมาแต่กำเนิดแล้ว โดยสารจากต่อมไขมันใต้ผิวหนัง จะทำให้ผิวชุ่มชื้น อ่อนนุ่ม และยังปกป้องผิวหนังจากการติดเชื้อโรคหลายชนิดด้วย ฉะนั้นถ้าใครสามารถรักษาความงามนี้ไว้ได้ก็จะเป็นผู้ที่ไม่มีปัญหาทางด้านผิวพรรณ

เนื่องจากผิวหนังเป็นส่วนที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่ภายนอก ผิวหนังจึงเป็นส่วนที่ได้รับฝุ่นละออง หรือความสกปรกได้โดยง่าย การบำรุงรักษาที่สำคัญที่สุด คือการรักษาความสะอาด ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่การชำระล้างคราบไขมัน เหงื่อไคล และฝุ่นละอองบนผิวหนังออก ผลิตภัณฑ์ที่ควรใช้ ได้แก่ สบู่ เพราะสามารถชำระล้างคราบเหงื่อไคลได้ดี ทำให้ผู้ใช้รู้สึกผิวหนังแห้งและดึงหลังใช้ แต่ในฤดูหนาวอากาศแห้งความชื้นที่ผิวหนังถูกดูดออกไปมากกว่าปกติอีกทั้งต่อมเหงื่อก็ผลิตเหงื่อออกมาน้อยลง ทำให้ผิวของบางคนอาจแห้งก็ควรลดการใช้สบู่ให้น้อยลง จะช่วยแก้ปัญหาได้มาก

แต่ในบางคนซึ่งมีผิวแห้งกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือเป็นโรคผิวหนังบางอย่าง อาจต้องใช้ครีมบางชนิดช่วย ซึ่งที่ประหยัดและค่อนข้างปลอดภัยได้แก่ น้ำมันวาสลิน และน้ำมันมะกอก ควรทาบาง ๆ หลังจากอาบน้ำและเช็ดตัวแห้ง เพื่อให้น้ำมันซึมเข้าในผิวหนังได้ดี และไม่ทำให้รู้สึกเหนอะหนะน่ารำคาญ แต่ถ้ายังไม่ได้ผลก็ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง สำหรับใบหน้าซึ่งเป็นส่วนที่ค่อนข้างจะสำคัญ และมักได้รับการดูและรักษากันเป็นพิเศษนั้น ก็มีวิธีการรักษาความงามไม่ต่างไปจากผิวหน้าทั่ว ๆ ไปเท่าใดนัก กล่าวคือ ควรล้างหน้าด้วยสบู่ ซึ่งมีกลิ่นอ่อน ๆ สบู่ที่มีกลิ่นแรง ถ้าใช้ไปนาน ๆ อาจทำให้หน้าดำคล้ำเหมือนฝ้าได้ ควรล้างหน้าด้วยสบู่ประมาณวันละ 2-3 ครั้ง การล้างหน้ามากเกินไปอาจทำให้หน้ามันขึ้นมากกว่าปกติ เพราะต่อมไขมันใต้ผิวหนังต้องทำงานมากขึ้นเพื่อชดเชยไขมันบนผิวหนังที่ถูกล้างออกไปบ่อย ๆ สบู่เหลวซึ่งมักมีสารพวกดีเทอร์เจนต์ผสมอยู่ด้วย ถ้าใช้ไปนาน ๆ ก็จะทำให้หน้าแห้งกว่าปกติ ทำนองเดียวกับพวกโฟมล้างหน้า ซึ่งมีสารประเภทเดียวกับที่ผสมในผงซักฟอก พอใช้ไปนานๆ จะทำให้ผิวหน้าแห้ง และเกิดการระคายเคืองได้ หลังจากล้างหน้าแล้วควรใช้ผ้าขนหนูหรือผ้าเช็ดหน้าซับน้ำให้แห้งอย่าถูแรง ๆ และไม่ควรใช้พวกกระดาษทิสชูเช็ดหน้า เพราะมีหยาบ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้

ในเด็กวัยรุ่นหรือเด็กสาว ธรรมชาติได้ให้ความงามเปล่งปลั่งและความสดชื่นแก่ผิวพรรณอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงผิว ส่วนวัยกลางคนหรือวัยสูงอายุ ซึ่งผิวหนัง มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง บางคนอาจอยากใช้ครีมหรือโลชั่นทา ก็ไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด สำหรับการนวดหน้าหรือลอกหน้า จะโดยใช้ครีมธรรมดาหรือครีมสมุนไพรที่ทำกันตามร้านเสริมสวยและสถาบันเสริมความงามต่าง ๆ และโฆษณากันว่าช่วยให้ผิวหน้านุ่มเนียน อ่อนกว่าวัยและลดสิวและฝ้าได้ด้วย ปรากฏว่าผู้ที่ไปรับบริการส่วนใหญ่จะกลับมีปัญหาเกี่ยวกับใบหน้าขึ้นมาทีหลังได้ ที่พบได้มากได้แก่ เป็นสิวมากขึ้น หรือฝ้าเกิดขึ้น และบางครั้งก็อาจแพ้ครีมเกิดผื่นอักเสบที่ใบหน้าได้

สำหรับครีมกันแดด (sunscreen) นั้น แตกต่างจากครีมเร่งสีของผิวหนัง (tanning) เพราะครีมกันแดดใช้กับผู้ที่มีผิวไวต่อแสงแดดคือ เกิดมีการอักเสบของผิวหนังเมื่อถูกแสงแดด ส่วนครีมเร่งสีของผิวหนังนั้น มีผลเพียงทำให้สีของผิวหนังเป็นสีน้ำตาลเข้มขึ้น โดยไม่มีผลในการป้องกันแสงแดดแต่อย่างใด มีเครื่องสำอางเป็นจำนวนมากที่นำตัวยาทั้ง 2 ชนิดรวมไว้ด้วยกันโดยไม่จำเป็นทำให้มีราคาเพิ่มขึ้น ฉะนั้นเวลาจะใช้ก็ควรที่จะดูส่วนผสมที่ติดอยู่ตามข้างขวดหรือกล่องด้วย เพื่อเลือกใช้ให้ถูกต้องตามจุดประสงค์ อย่าเชื่อตามคำโฆษณาจากสื่อต่าง ๆ หรือจากคำบอกเล่าของเพื่อนฝูงทันที ถ้ามีปัญหาก็น่าที่จะปรึกษาแพทย์ผิวหนังได้อย่างหลงเชื่อคำโฆษณา เพราะผิวหน้า (ผิวหนัง) ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน”

 

 คำว่า เด็ก เป็นการหลอกขายสบู่หรือโลชั่นไม่มีความ
 หมายอะไรเป็นกลยุทธในการขาย


 รองศาสตราจารย์นายแพทย์ นิวัติ พลนิกร
 สาขาวิชาจิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์
 คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

 


ครีมโลชั่นแบบไหนดีกว่ากัน ?

การใช้ต้องดูจากความเหมาะสมของผิว แต่พวกครีมหรือพวกที่มีความเข้มข้นมาก มีลักษณะเหนียวเหนอะหนะนั้นจะเคลือบผิวอยู่ได้นานกว่าพวกที่เป็นน้ำเหลว ๆ เลยกลายเป็นว่า สิ่งที่ได้รับประโยชน์รูปแบบไม่น่าใช้ คนนิยมใช้สิ่งที่รูปแบบดีแต่ไม่ค่อยมีประโยชน์ เพราะการตัดสินใจเลือกซื้อใช้มักมาจากสื่อโฆษณาต่างๆ

การใช้ครีมหรือโลชั่นทุกวันมีผลอย่างไรบ้าง ?

ผลคงมีไม่มาก แต่อาจจะมีอันตรายบ้าง เช่น อาจแพ้ และเกิดสิว ตามหลักวิชาการแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกวัน ที่โฆษณาว่าจะช่วยให้มือนิ่มขึ้น หรือจุดที่ด้านนั้นนุ่มขึ้นจริงหรือไม่

ในแง่ของการช่วยให้ผิวหนังนุ่มเป็นไปไม่ได้ เพราะไขมันที่ผสมอยู่นั้นอยู่ได้ไม่นาน อย่างมากแค่ครึ่งชั่วโมงแล้วก็หายไป ในแง่ของการขายก็ต้องหาวิธีจูงใจ ไม่งั้นจะขายได้เฉพาะหน้าหนาว มือจะนุ่มหรือ ไม่ขึ้นอยู่กับงานอาชีพ ถ้าใช่มือมาก ๆ ทำไงก็ไม่นิ่ม

สบู่เด็กกับสบู่ผู้ใหญ่ต่างกันอย่างไร ?

เปอร์เซ็นต์ไขมันจะต่างกันแต่สบู่เด็กก็ไม่ต่างจากสบู่ผู้ใหญ่มากนัก คำว่า “เด็ก” เป็นการหลอกขายสบู่หรือโลชั่น ไม่มีความหมายอะไร เป็นกลยุทธในการขาย คนที่คิดว่าของเด็กจะดีกว่าของผู้ใหญ่ สบู่เด็กก็ทำที่เดียวกับสบู่ผู้ใหญ่ และอาจมีปัญหาได้เหมือนกัน

สบู่รักษาหรือป้องกันสิวได้หรือไม่ ?

สิวใช้สบู่รักษาไม่ได้ มันขึ้นกับกรรมพันธุ์ ช่วงวัยของชีวิต การใช้เครื่องสำอาง การใช้ยา งานอาชีพ ฮอร์โมนผิดปกติ เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย คนหน้าสะอาดหรือสกปรกไม่ใช่ปัญหาสำคัญ ไม่ควรให้ความรู้ที่ผิดว่า “คุณหน้าสกปรก ต้องใช้สบู่ยาของผม”

เครื่องสำอางที่ผสมสมุนไพรเป็นอย่างไร ?

เป็นประสบการณ์ประหลาดที่ผู้บริโภคชอบซื้อครีมที่ผสมสูตรต่างๆ ที่เป็นภาษาต่างประเทศโดยที่บางครั้งไม่รู้ว่าคืออะไร มีประโยชน์หรือไม่ หรืออย่างเช่นผสมอโลเวลลา ผสมคอลลาเจน ซึ่งจะมีราคาแพงมาก อย่างคอลลาเจน เป็นสารที่มีโมเลกุลใหญ่ นำมาทาจะทำให้ผิวอุ้มน้ำได้นานแต่ว่าไม่ซึมเข้าไปในผิวหนัง เหมือนกับเรามีรูกุญแจเล็ก ๆ แต่พยายามจะเอาลูกบาสใส่เขาไปซึ่งเข้าไม่ได้ แถมราคาแพงขึ้นอีกหลายเท่า การบอกผู้บริโภคว่าช่วยชะลอความแก่เป็นการเอาความรู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ มาบอก
พวกอโลเวลลาก็เหมือนกัน มีสรรพคุณในการรักษาแผลเรื้อรัง แต่เปอร์เซ็นต์การใส่ต้องสูงมาก ๆ แทบจะต้องใช้สด ๆ ที่ผสมอยู่ในแชมพูมีแค่ร้อยละ 1-2 ไม่มีผลอะไร เป็นการหลอกขายชื่อ ไม่มีใครนำมาผสมในปริมาณมาก ๆ เพราะมีราคาแพงมาก

ควรใช้เครื่องสำอางอย่างไรจึงจะเหมาะกับวัตถุประสงค์

สิ่งที่มีประโยชน์จริง ๆ คือสบู่ ครีมล้างหน้าไว้ล้างเครื่องสำอาง โลชั่นบำรุงผิวมีประโยชน์กับคนผิวแห้ง ครีมกันแดดมีประโยชน์ในคนผิวค่อนข้างขาว และต้องถูกแดดเป็นเวลานาน ยารักษาสิวมีประโยชน์ในคนที่เป็นสิว ยาปรับสีผิวมีประโยชน์ในคนเป็นฝ้า แต่ไม่ได้มีประโยชน์สำหรับทุกคนเป็นสูตร ถ้าไปรักษาที่ไหนและมีคนพยายามจ่ายอะไรเป็นสูตรขอให้ระวัง เพราะกำลังใช้สิ่งที่ไม่จำเป็นบางอย่าง สิ่งไม่จำเป็นนี้จะทำให้เราเกิดปัญหา โดยเฉพาะครีมปรับสภาพสีผิว จะทำให้เปลี่ยนฐานะจากคนดีเป็นคนป่วยระยะยาว


 

ข้อมูลสื่อ

117-004
นิตยสารหมอชาวบ้าน 117
มกราคม 2540
เรื่องน่ารู้
พญ.ปรียา กุลละวณิชย์