ไข้ในเด็ก เป็นเรื่องที่หลายต่อหลายครั้ง เป็นที่ร้อนอกร้อนใจของพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดเสียยิ่งกว่าตัวหนูน้อยเองเสียอีก ยิ่งเด็กอายุน้อย พ่อแม่ยิ่งร้อนใจมาก เพราะเกรงจะเป็นโรคร้ายแรง เอาล่ะครับ ลองมาทำความเข้าใจกันอีกสักครั้งว่า ไข้นั้นเป็นอย่างไรเมื่อไร ที่นับว่าสำคัญ และจะบรรเทาไข้ได้อย่างไร
1. ความหมายและกลไกการเกิดไข้
ไข้ = ตัวร้อน = การที่อุณหภูมิร่างกายสูงผิดปกติ ที่ว่าสูงผิดปกตินี้ ให้ดูว่าวัดทางปากหรือทางก้น
ถ้าวัดทางปากแล้ว ได้อุณหภูมิเกิน 37.5 องศาเซลเซียส ให้ถือว่ามีไข้
ถ้าวัดทางทวารหนักแล้วได้อุณหภูมิเกิน 38 องศาเซลเซียส ก็ให้ถือว่ามีไข้
เพราะฉะนั้นต้องระวังให้ดีว่า วัดทางไหน ก่อนจะทึกทักว่าเด็กมีไข้หรือไม่ และที่สำคัญต้องวัดอย่างถูกวิธีด้วยนะครับ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ การใช้มือสัมผัสที่หน้าผาก หรือลำคอก็พอจะบอกได้คร่าว ๆ ว่า เด็กน่าจะมีไข้หรือไม่
กลไกของการเกิดไข้มีอย่างไร
ก. ถ้าไข้เกิดจากผลของการที่สมองส่วนที่เรียกว่า “ไฮโปทาลามัสส่วนหน้า” ปรับระดับการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้สูงขึ้น กล่าวคือ แทนที่สมองส่วนนี้จะสั่งการให้กลไกการลดอุณหภูมิของร่างกายทำงานเมื่ออุณหภูมิของร่างกายสูงถึง 37.5 องศาเซลเซียส อย่างในภาวะปกติ มันกลับปล่อยให้อุณหภูมิร่างกายสูงกินขีดนี้ แล้วค่อยสั่งการ
ภาวะนี้มีสาเหตุเนื่องจาก
1. มีการติดเชื้อจากเชื่อไวรัส, แบคทีเรีย
2. มีปฏิกิริยาเกี่ยวกับภูมิต้านทานของร่างกายต่อสารแปลกปลอมที่ไม่ใช่เชื้อโรค
ไข้แบบนี้ให้ยาลดไข้แล้ว มักจะได้ผล
ข. ไข้เกิดจากสาเหตุอื่น เช่น
- อัตราการเผาผลาญสารพลังงานของร่างกาเพิ่มขึ้น ตัวอย่าง เช่น คนที่โรคคอพอกเป็นพิษ
- อยู่ในที่ร้อนอบอ้าว
- ต่อมเหงื่อทำงานผิดปกติ ซึ่งพบได้ในโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง (เรียกว่า Ectodermal dysplasia)
ไข้แบบนี้ จะไม่ลดเมื่อให้ยาลดไข้ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะใช้ยาลดไข้ในกรณีนี้
2. ความสำคัญของการมีไข้
คำว่า ไข้ ในข้อนี้ หมายถึง ไข้ที่เกิดจากกลไกแบบ
ก. ไข้ที่มีผลกระทบต่อร่างกาย โดยรวม 2 แง่
2.1 แง่ดี
- การมีไข้ทำให้กลไกต่อต้านเชื้อโรคทำงานดีขึ้น มีการค้นพบว่า เมื่ออุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น คืออยู่ระหว่าง 38-40 องศาเซลเซียส เม็ดเลือดขาวจะเคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้น, จับกินเชื้อโรคดีขึ้น และมีการสร้างสารอินเตอฟีรอน (INTERFERON) ซึ่งมีฤทธิ์ทำลายเชื้อโรค
- ลักษณะของไข้ ช่วยบ่งชี้ถึงต้นเหตุของไข้ เช่น ไข้หนาวสั่น ช่วยบ่งชี้ว่า อาจเป็นไข้มาลาเรีย หรือกรวยไตอักเสบ เป็นต้น
2.2 แง่ร้าย
- ไข้ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำไปมาก จึงมักมีภาวะขาดน้ำเกิดขึ้นบ่อย ดังที่มักพบเห็นเสมอว่า คนมีไข้มักมีริมฝีปากแห้ง และกระหายน้ำบ่อย
- ที่น่าตกใจมากคือ ไข้ทำให้ชัก โดยเฉพาะในเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี เด็กมักจะชักเมื่อมีไข้สูงอย่างรวดเร็ว เด็กบางคนอาจชักที่อุณหภูมิต่ำกว่า แต่ก็ยังไม่มีวิธีการใด ที่สามารถบอกได้ล่วงหน้าว่าเด็กแต่ละคนจะเริ่มชักที่อุณหภูมิเท่าใด เท่าที่เชื่อกันคือ ยิ่งไข้สูง โอกาสชักยิ่งมาก
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันว่า การมีไข้ทำให้สมองเสื่อมคลาย ดังที่หลายคนพูดกัน
- นอกจากนี้ การมีไข้ทำให้มีอาการสั่น, ปวดข้อ, ปวดเมื่อยร่างกาย, เบื่ออาหาร โดยเฉพาะเมื่อไข้สูงขึ้นอย่างรวดเร็วหรือสูงเกิน 39.5 องศาเซลเซียส
3. วิธีลดไข้
วิธีที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นวิธีลดอาการไข้ชั่วคราว ไม่ใช่การรักษาต้นเหตุของการเป็นไข้ และขอย้ำว่า การค้นหาสาเหตุ และแก้ไขให้ตรงกับสาเหตุมีความสำคัญมาก
1. สำหรับไข้ที่มีกลไกแบบ ก. (ดูข้อ 1) การให้ยาลดไข้ร่วมกับการเช็ดตัว มักจะได้ผล (แต่อยู่เพียงชั่วคราว)
ยาลดไข้ มีให้เลือก 2 กลุ่ม คือ
1.อะซีตามิโนเฟน หรือพาราเซตามอล ให้ครั้งละ 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง ไข้จะเริ่มลดภายใน 30 นาที หลังกินยา และสามารถลดไข้ได้เต็มที่ประมาณ 1.5 องศาเซลเซียส (2.7 องศาฟาเรนไฮด์)
ดังนั้น ถ้าก่อนกินยา ไข้สูง 39 องศาเซลเซียส หลังกินยาไข้ ควรจะลดลงเหลือประมาณ 37.5 องศาเซลเซียส ขนาดที่แนะนำนี้ไม่ก่อให้เกิดพิษต่อตับ แต่ถ้ากินยาถี่เกินไป หรือครั้งละมากเกินไปก็อาจจะเกิดพิษต่อตับได้ โดยทั่วไปอาการพิษต่อตับมักเกิดขึ้นเมื่อได้ยาตั้งแต่ 140 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมขึ้นไป ในเด็กที่กำลังป่วย ยาสะสมในร่างกายได้ง่ายขึ้น โอกาสเป็นพิษย่อมมากขึ้น จึงควรระมัดระวังเช่นเดียวกับเมื่อสงสัยว่า เด็กอาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือมีโรคตับอยู่แล้ว
2. แอสไพริน เป็นยาที่ใช้กันมานานมาก ในบ้านเรามีขายในท้องตลาดภายใต้สูตรผสมแอสไพรินกับคาเฟอีน ซึ่งได้รับความนิยมมากในชนบท และก่อปัญหาการเสพติดยา (ในผู้ใหญ่) และเป็นยาพิษในเด็กเล็ก เนื่องจากได้รับยาเกินขนาด
สรรพคุณของแอสไพริน ได้แก่ ฤทธิ์ลดไข้, แก้ปวด และต้านการอักเสบ ขนาดที่ใช้เหมือนกับพาราเซตามอล แต่เนื่องจากมีผลข้างเคียงมากกว่าจึงไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน
ผลข้างเคียง ได้แก่
- ระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารจนอาจทำให้เลือดออกในกระเพาะอาหารหรือทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้อย่างไรก็ดี อาจหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงนี้ได้โดยการกินยาร่วมกับอาหาร หรือดื่มน้ำมาก ๆ ทันทีหลังกินยา
- ขัดขวางการทำงานของเกร็ดเลือดซึ่งเกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด หรือการห้ามเลือดให้หยุดเมื่อมีเลือดออก ในคนที่เป็นโรคไข้เลือดออก ซึ่งมีความผิดปกติในการทำงานของเกล็ดเลือด ถ้าคนไข้กินยานี้ อาการจะทรุดลง แพทย์จึงห้ามใช้ยานี้ ดังนั้น ถ้าเด็กมีไข้และสงสัยว่าอาจเป็นไข้เลือดออก ก็ไม่ควรใช้แอสไพริน
- อาการเป็นพิษเนื่องจากได้รับยาเกินขนาด เกิดได้ 2 ลักษณะคือ กินยาบ่อยเกินไป หรือกินยาครั้งละมากเกินไป
ลักษณะสำคัญอันหนึ่งของอาการพิษที่กล่าวนี้คือ “ไข้” เพราะฉะนั้นเด็กที่มีไข้แล้วเกิดอาการพิษเช่นนี้ ไข้จะยิ่งสูงขึ้น แม่หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเด็กกินยาน้อยเกินไป เลยโหมให้ยากันยกใหญ่ จึงเท่ากับซ้ำเติมให้พิษมีมากขึ้น
มีอยู่สมัยหนึ่งที่คนเชื่อว่า การให้กินแอสไพรินสลับกับพาราเซตามอล ทุก 2 ชั่วโมง จะช่วยลดไข้ได้ดีกว่าการใช้ชนิดใดชนิดหนึ่งโดด ๆ ความจริงก็เป็นเช่นนั้น แต่การใช้ยาแบบนี้จะทำให้โอกาสเกิดพิษของพาราเซตามอลเพิ่มมากขึ้น เมื่อเกิดพิษของพาราเซตามอลแล้ว โอกาสที่เด็กจะเสียชีวิตมีสูงมาก จึงไม่ควรเสี่ยงอย่างยิ่ง
3. นอกจากแอสไพรินและพาราเซตามอล ก็มียาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ที่มีในท้องตลาด ขณะนี้คือ บรูเฟน ไซรัป (BRUFEN SYRUP) มีฤทธิ์ลดไข้, แก้ปวด และลดการอักเสบ ได้ผลพอ ๆ กับแอสไพริน แต่ราคาแพงกว่าแอสไพริน และพาราเซตามอลประมาณ 4-5 เท่า ผลข้างเคียงจะมากกว่าพาราเซตามอล แต่น้อยกว่าแอสไพริน
4. การเช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำอุ่น
วิธีวิธีนี้เป็นที่นิยมปฏิบัติกันมานานก่อนที่จะมียาเก่าแก่อย่างแอสไพรินใช้ด้วยซ้ำ ปัจจุบันยังเป็นวิธีที่แพทย์และพยาบาลใช้อยู่ในโรงพยาบาล โดยเสริมกับการให้ยาลดไข้ ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัย, ราคาถูก และมีผลดีทางจิตใจต่อผู้ป่วย ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่
ที่ว่ามีผลดีทางจิตใจเพราะการเช็ดตัวเป็นการแสดงออกถึงความห่วงใยของพ่อแม่หรือผู้ปฏิบัติ ด้วยกาย, วาจา และใจต่อผู้ป่วย ระหว่างที่เช็ดตัวผู้ป่วยจะได้รับการสัมผัสทางกาย ได้ฟังคำประโลม และรับรู้ความห่วงใย ผ่านการสัมผัสทางสายตา การเช็ดตัวลดไข้จะให้ได้ผลเต็มที่จะต้องมีทั้งความรู้และศิลปะอันละเอียดอ่อน และที่สำคัญ คือ ความเสียสละของผู้ให้ต่อคนไข้
ความร้อนที่เกิดจากน้ำอุ่น จะไปช่วยขยายหลอดเลือดฝอยที่ผิวหนัง ทำให้เกิดการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกายได้ดีขึ้น เพราะคนที่มีไข้ หลอดเลือดของแขนขาจะหดตัว ดังจะสังเกตพบเสมอว่าเวลามีไข้ปลายมือปลายเท้ามักเย็น แต่จะร้อนที่หน้าผาก, คอและลำตัว
หลักการ
- ใช้น้ำอุ่นจัดเท่าที่ผู้ป่วยพอทนได้
- ใช้ผ้าเนื้อนุ่ม เพราะจะอุ้มน้ำได้ดี
- ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นจัดประคบตามตำแหน่งต่าง ๆ ทั่วร่างกาย แห่งละ 5-10 วินาทีสำหรับที่ที่มีอุณหภูมิสูง และ 10-20 วินาทีตรงที่ที่เย็น เช่น ปลายมือ ปลายเท้า
- การย้ายตำแหน่งผ้า ให้ทำเหมือนวิธีเช็ดด้วยน้ำเย็น
- หมั่นชุบน้ำที่อุ่นจัดอยู่บ่อย ๆ เพื่อให้ผ้าอุ่นอยู่เสมอ
5. อาหาร การกิน ระหว่างมีไข้
อาการเบื่ออาหาร เป็นอาการที่พบบ่อยในคนที่มีไข้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก ในระหว่างมีไข้จึงควรให้อาหารทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง และเลือกอาหารที่ย่อยง่าย แต่ให้กำลังงานมาก
เนื่องจากมีแนวโน้มว่าคนไข้ อาจขาดน้ำ จึงควรให้ดื่มน้ำบ่อย ๆ
6. หลักสังเกตระดับความรุนแรงของการเป็นไข้ในเด็ก
คุณหมอแม็กคาร์ทีและคณะ ได้ลองศึกษาและตั้งหลักเกณฑ์ในการประเมินระดับความรุนแรงของการเป็นไข้ไว้ดังนี้ (ดูตาราง)
ระดับความรุนแรง
* ให้ 1 คะแนนสำหรับในช่องนี้
** ให้ 3 คะแนนสำหรับในช่องนี้
*** ให้ 5 คะแนนสำหรับในช่องนี้
ถ้าได้คะแนน 16 แต้มขึ้นไป โอกาสที่เด็กน่าจะมีโรครุนแรงมีถึงร้อยละ 92.3 ถ้าได้คะแนนระหว่าง 11-15 แต้มโอกาสที่เด็กน่าจะมีโรครุนแรงมีร้อยละ 26.2 ถ้าได้ไม่เกิน 10 คะแนนมีโอกาสเพียงร้อยละ 2.7
ดังนั้น ถ้าลองสังเกตเด็กของคุณแล้วรวมคะแนนดูตามเกณฑ์ของหมอแม็กคาทีแล้วได้ 11 คะแนนขึ้นไป ก็ขอให้พาไปพบแพทย์ ยิ่งถ้าได้ 16 คะแนนขึ้นไป ต้องรีบพาไปโรงพยาบาลทันที ถ้าได้ไม่เกิน 10 คะแนนก็ให้การรักษาตามอาการไปก่อนได้ หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 3 วันค่อยพาไปหาหมอ
ข้อแนะนำเพิ่มเติมถ้าพบว่าเด็กอายุไม่เกิน๓เดือนมีไข้ควรรีบพาไปปรึกษาแพทย์เสมอเพราะโอกาสที่เด็กจะป่วยด้วยโรครุนแรงเช่นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ, ปอดอักเสบมีมากกว่าเด็กวัยอื่น
- อ่าน 158,429 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้