• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ไวรัสตับอักเสบบี ใครจะได้รับอันตราย ?

ทางหมอชาวบ้านได้รับคำถามจากผู้อ่านจำนวนมากที่ถามถึงอันตรายของโรคไวรัสตับอักเสบ บี และความจำเป็นในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ ซึ่งกำลังเป็นเรื่องฮิตเรื่องหนึ่งของคนไทยในขณะนี้
ทางกองบรรณาธิการจึงได้รวบรวมข้อเท็จจริงและทรรศนะต่าง ๆ จากบทความและการให้สัมภาษณ์ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคนี้หลายท่านด้วยกันอันได้แก่ รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์นายแพทย์ดิเรก พงศ์พิพัฒน์ และรองศาสตรจารย์ แพทย์หญิงจันทพงษ์ วะสี แห่งคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล, ศาสตราจารย์นายแพทย์สมศักดิ์ โล่ห์เลขา แห่งคณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และนายแพทย์ศุภมิตร ชุณห์สุทธิวัฒน์ แห่งกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข บทความนี้มุ่งเสนอแง่มุมต่าง ๆ เกี่ยวกับโรคนี้ที่คิดว่าจะให้ความกระจ่างแก่ผู้อ่านให้มากที่สุด ถ้าหากอ่านแล้วยังมีข้อเคลือบแคลงประการใด ขอเชิญเขียนมาถามเพิ่มเติมได้เลยครับ
หมอชาวบ้านขอขอบคุณแพทย์ที่เอ่ยนามดังกล่าวข้างต้นที่ได้อุทิศเวลาและความรู้เป็นวิทยาทานในครั้งนี้มา ณ โอกาสนี้

1. โรคเก่ายี่ห้อใหม่

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เรามักจะคุ้นหูกับชื่อ “โรคตับอักเสบ” “โรคดีซ่าน” “ไวรัสลงตับ” “ไวรัสตับอักเสบ บี” และ “ไวรัส บี” กันมาก เพราะได้มีการแพร่กระจายข่าวทางสื่อมวลชนถึงเรื่องราวของโรคนี้อย่างมากมายจนทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่ามีการระบาดของโรคใหม่อีกชนิดหนึ่งที่น่ากลัวแบบโรคเอดส์เกิดขึ้นกันอีกแล้ว ที่จริงแล้วโรคนี้ (ซึ่งมีชื่อเรียกต่าง ๆ ดังกล่าว) เป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณดังที่คนไทยเรา เรียกว่า “โรคดีซ่าน” นั่นเอง ความจริง “ดีซ่าน” หมายถึงอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งมีสาเหตุได้หลายอย่าง แต่ส่วนมากเกิดจากโรคตับอักเสบ เมื่อพูดถึง “โรคดีซ่าน” จึงมักจะหมายถึง โรคตับอักเสบโดยปริยาย

แพทย์รู้มานานแล้วว่า โรคตับอักเสบนี้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อโรคในตระกูลไวรัส จึงเรียกชื่อว่า “โรคตับอักเสบจากไวรัส” มาในระยะ 20 กว่าปีมานี้แพทย์สามารถแยกเชื้อไวรัสที่เป็นตัวก่อโรคนี้ได้ และพบว่ามีอยู่หลายตัว จึงได้ตั้งชื่อว่า “ไวรัส เอ” บ้าง “ไวรัส บี” บ้าง และอื่น ๆ อีกหลายชื่อ
เชื้อไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิด ถึงแม้จะทำให้เกิดอาการตับอักเสบคล้าย ๆ กัน แต่ก็มีลักษณะการติดต่อของโรค และความรุนแรงหรืออันตรายมากน้อยแตกต่างกันไป
ตัวที่มีอันตรายมากที่สุดที่จะกล่าวในบทความนี้ ก็คือ เจ้าไวรัส ที่ถูกขนานนามว่า “ไวรัส บี” (เรียกชื่อเต็มว่า “ไวรัสตับอักเสบบี”) ที่กำลังเป็นพระเอกโด่งดังอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากอาจทำให้เป็นโรคเรื้อรัง และซ่อนตัวอยู่ในคนได้นาน ตลอดจนอาจมีผลทำให้เป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับตายได้

และที่สำคัญกว่านั้น คือ ในปัจจุบันโรคนี้ยังไม่มียารักษา ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ส่วนมากจะหายได้เอง ส่วนน้อยจะเกิดอันตราย จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาประคับประคองให้ผ่านระยะรุนแรงของโรค เวลาเมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการผลิตวัคซีนใช้ฉีดป้องกันโรคตับอักเสบจากไวรัสตัวนี้อย่างได้ผล จึงกลายเป็นความหวังใหม่ในการควบคุมโรคนี้ และได้มีการกล่าวขวัญถึงเรื่องนี้กันอย่างคึกโครมโดยนักวิชาการที่ต้องการให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายของโรคนี้ รวมทั้งโดยอิทธิพลของผู้ผลิตและจำหน่ายวัคซีนที่หวังผลทางการค้า

 

2. โรคนี้มีการระบาดจริงหรือ
จะว่าไปแล้วโรคตับอักเสบจากไวรัส บี (โรคไวรัสตับอักเสบ บี ก็เรียกกัน) นี้เป็นโรคที่พบกันมากในบ้านเรามานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมีการระบาด
ในคนไทย พบว่า ในคนทั่วไปทุก ๆ 100 คน จะมีคนที่เป็นพาหนะนำโรคนี้อยู่ประมาณ 10 คน หรือพูดง่าย ๆ ก็คือในคนไทยทุก ๆ 10 คนจะมีคนที่เป็นพาหนะโรคนี้ 1 คน ที่ว่าเป็นพาหนะนำโรคก็หมายถึงว่า เป็นคนที่มีไวรัสตับอักเสบ บี อยู่ในร่างกายโดยไม่ได้เป็นโรคแต่อย่างใด แต่จะแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ คะเนกันว่า ในขณะนี้มีคนไทยที่เป็นพาหนะนำโรคนี้อยู่ประมาณ 5 ล้านคน ส่วนทั่วโลกจะมีคนที่เป็นพาหนะของไวรัสตับอักเสบ บี ประมาณว่า 200 ล้านคน ซึ่งจะพบมากในบริเวณตอนกลางของทวีปแอฟริกา ตอนใต้ของประเทศจีน ประเทศในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศที่ด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาทั้งสิ้น เฉลี่ยแล้วคนในแถบนี้ในทุก ๆ 100 คนจะมีคนที่เป็นพาหนะของโรคนี้อยู่ 5-15 คน และในผู้ใหญ่ทุก ๆ 100 คน จะมีคนที่เคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี นี้มาแล้ว 50 คน คือครึ่งต่อครึ่งนั่นเอง

 

3. เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ติดต่อกันทางไหนได้บ้าง
เชื้อนี้พบมีอยู่ในเลือดมากที่สุด รองลงมาก็อยู่ในน้ำลาย, น้ำตา, น้ำอสุจิ, น้ำเมือกในช่องคลอด, น้ำดี และน้ำนมเช่นเดียวกับเชื้อเอดส์ แทบจะกล่าวได้ว่ามีการติดต่อแบบเดียวกับโรคเอดส์ทุกประการ ได้แก่

1. ติดต่อโดยทางเลือดและน้ำเหลือง ซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับเชื้อจากการถ่ายเลือด ดังนั้นจึงมีข้องห้ามสำหรับผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ไม่ให้บริจาคเลือด และเลือดที่จะถ่ายให้คนไข้ทุกขวดจะต้องผ่านการตรวจเชื้อให้แน่ใจว่าไม่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เสียก่อน

2. โดยเข็มฉีดยา ซึ่งเปรอะเปื้อนเลือดของคนที่มีเชื้อแล้วนำไปฉีดให้คนอื่น ทำให้มีการแพร่กระจายเชื้อออกไป ดังนั้นทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการฉีดยาโดยไม่จำเป็น และถ้าจะฉีดยาควรเลือกใช้เข็มและกระบอกฉีดยาที่ปราศจากเชื้อ เช่น เข็มที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งหรือเข็มที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อมาแล้ว

3. โดยการใช้ของใช้ร่วมกันกับผู้ป่วยในลักษณะที่มีการสัมผัสถูกเลือด น้ำเหลือง หรือน้ำลาย เช่น มีดโกน, หวี, แปรงสีฟัน เป็นต้น รวมทั้งการเจาะหู, การสัก และการฝังเข็มที่นิยมใช้อุปกรณ์ร่วมกันหลาย ๆ คน จึงเป็นหนทางของการแพร่เชื้อได้มากเช่นกัน

4. โดยการร่วมเพศ (จึงนับเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคหนึ่ง) และการสัมผัสอย่างใกล้ชิดกันจริง ๆ โดยเฉพาะกับคนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน ใช้เครื่องใช้ส่วนตัวร่วมกัน

5. โดยการแพร่เชื้อจากแม่ไปยังลูกขณะคลอด ซึ่งเป็นทางติดต่ออันสำคัญและเป็นอันตรายต่อทารกนั้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ดังจะได้กล่าวถึงรายละเอียดต่อไป

ส่วนทางอาหารและน้ำดื่มนั้นมีการติดต่อได้น้อยมาก จึงไม่ต้องตื่นตกใจกลัวว่าจะติดโรคไวรัสตับอักเสบ บี จากอาหารการกิน แต่อย่างไรก็ตาม ในการกินอาหารร่วมกับคนที่เป็นพาหะ (หรือคนทั่วไปที่เราไม่แน่ใจว่าจะเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ บี หรือไม่) การใช้ช้อนกลางก็ช่วยให้เกิดความสบายใจมากขึ้น เพราะนอกจากจะลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากน้ำลายของผู้เป็นพาหะแล้ว ยังสามารถป้องกันโรคอื่น ๆ ได้อีกด้วย การใช้ช้อนกลาง จึงนับว่าเป็นสุขนิสัยทีพึงปฏิบัติเป็นประจำบนโต๊ะอาหาร
เพื่อนร่วมงาน ครู แม่ครัว ผู้บริการในร้านอาหาร หรือคนรู้จักทั่วไป แทบจะไม่มีโอกาสแพร่เชื้อนี้ได้เลย

 

4. เมื่อได้รับเชื้อแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
ดังได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นว่า โดยเฉลี่ย ในผู้ใหญ่ทุก ๆ 2 คนจะมี 1 คนที่เคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี มาแล้ว ผู้อ่านอาจรู้สึกตกใจว่า ถ้าอย่างนั้นในบ้านของตัวเองก็อาจจะมีคนที่รับเชื้อมาแล้วซิ
ก็คงต้องขออธิบายเพิ่มเติมให้กระจ่างว่า เมื่อคนเรารับเชื้อนี้มาแล้ว ก็หาได้หมายความว่าจะกลายเป็นโรคนี้หรือเกิดอันตรายไปเสียทุกคนไม่
ตรงกันข้าม คนส่วนมากเมื่อรับเชื้อมาแล้วร่างกายจะสามารถสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาฆ่าเชื้อนี้ได้ จึงไม่กลายเป็นโรคตับอักเสบ และจะมีภูมิต้านทานต่อโรคนี้ได้ตลอดไป ซึ่งเราสามารถตรวจเลือดดูได้ว่ามีภูมิต้านทานต่อโรคนี้หรือไม่

ประมาณ 1 คนใน 8 คนที่รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี จะกลายเป็นโรคตับอักเสบเฉียบพลัน อันเนื่องจากร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถต้านทานเชื้อที่เข้าสู่ร่างกายได้ คนไข้จะมีอาการอ่อนเพลียและดีซ่าน (ตาเหลือง, ตังเหลือง) บางคนอาจมีอาการเป็นไข้คล้ายไข้หวัดนำมาก่อน เมื่อไข้ลดจึงเริ่มมีอาการตาเหลือง, ตัวเหลือง, ปัสสาวะสีเข้มเหมือนสีขมิ้น ซึ่งจะเป็นอยู่ 2-3 สัปดาห์หรือเป็นเดือน แล้วคนไข้ส่วนมากก็จะค่อย ๆ หายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาอะไร (เพราะยังไม่มียาที่ใช้รักษาโดยตรง) มีเพียงส่วนน้อย (ราวหนึ่งในพันหรือหนึ่งในหมื่น) ที่อาจเป็นรุนแรงถึงทำให้ตับเสีย (เซลล์ตับตายหรือตับวาย) มีอาการเพ้อคลั่ง, ซึม, ไม่ค่อยรู้สึกตัว, มีเลือดออกง่าย, มีน้ำในท้อง (ท้องมาน) ถ้าถึงขั้นนี้ ก็มักจะตายในที่สุด คือมีโอกาสตายประมาณ 7 คนใน 10 คน (ร้อยละ 70) ของผู้ติดเชื้อที่โชคร้ายมีอาการรุนแรง

คนไข้ที่เป็นตับอักเสบเฉียบพลันบางคนอาจกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังเป็นแรมปี ซึ่งถ้าร่างกายแข็งแรงดี ก็สามารถหายขาดได้ในที่สุด แต่ถ้าร่างกายอ่อนแอโรคก็อาจลุกลามจนกลายเป็นโรคตับแข็ง (มีอาการอ่อนเพลีย, ดีซ่าน และท้องมาน) หรือมะเร็งตับ (มีอาการอ่อนเพลีย, แน่นท้อง, น้ำหนักลดฮวบฮาบ และมีก้อนแข็งผิวขรุขระตรงใต้ชายโครงด้านขวา) ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้

คนที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี บางคนมีลักษณะก้ำกึ่งคือ ร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อให้หายขาด แต่ถ้ายังสามารถต้านไม่ให้กลายเป็นโรคตับอักเสบดังที่เรียกว่าเป็นพาหนะนั่นเอง ผู้ที่ตรวจพบว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี อยู่ในร่างกาย นานเกิน 6 เดือนขึ้นไป เรียกว่า เป็นพาหนะของไวรัสตับอักเสบ บี โดยสามารถตรวจเลือดพิสูจน์ได้

 

5 .เมื่อเป็นพาหนะแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป
คนที่เป็นพาหนะโดยทั่วไปจะมีสุขภาพแข็งแรงเป็นปกติ ไม่มีอาการเจ็บป่วยของโรคตับอย่างใด และสามารถดำรงชีวิตเช่นคนธรรมดาทั่วไป เช่น สามารถออกกำลังกาย และกินอาหารได้ตามปกติทุกอย่าง จะรู้ตัวว่าเป็นพาหนะของโรคนี้ หรือไม่มีอยู่อย่างเดียวคือ ต้องเจาะเลือดตรวจ ซึ่งสามารถตรวจได้ตามโรงพยาบาลใหญ่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ๆ

ทีนี้ปัญหามีว่า คนเหล่านี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
คำตอบก็คือ คนส่วนหนึ่งร่างกายสามารถกำจัดเชื้อให้หมดไปได้ แต่คนอีกส่วนหนึ่ง อาจกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจกลายเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ คนส่วนหลังที่เคราะห์ร้ายนี้จะต้องกลายเป็นกลุ่มที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี อยู่ในร่างกายเป็นเวลานานคือต้องใช้เวลาถึง 30 ปีจึงจะกลายเป็นโรคร้ายแรงดังกล่าว ก็หมายความว่าต้องรับเชื้อมาตั้งแต่เด็กนั่นเอง

จากการติดตามศึกษาดูคนที่เป็นพาหนะไวรัสตับอักเสบ บี ในคนไต้หวันเฉพาะผู้เชี่ยวชาญที่มีอายุระหว่าง 40-59 ปี จำนวน 3,454 คน โดยติดตามดูเป็นระยะเวลา 6 ปี 2 เดือนเศษ พบว่ามีผู้ที่เสียชีวิตจากมะเร็งตับ 113 คน หรือกล่าวโดยเฉลี่ยในทุก ๆ ปีในกลุ่มคนที่เป็นพาหะไวรัส 1,000 คน จะมีโอกาสเกิดมะเร็งตับประมาณ 5 คน (หรือร้อยละ 0.5) ข้อมูลดังกล่าวนี้ใช้ได้เฉพาะกับคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปี และเป็นชายจีนเท่านั้น คนที่มีอายุน้อย (เช่น เด็ก) หรือผู้หญิงโอกาสที่จะเกิดโรคร้ายดังกล่าวจะลดน้อยลงมาก

กล่าวโดยสรุปก็คือ สำหรับผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ บี แม้ว่าอาจจะกลายเป็นโรคร้ายแรงในภายหลังได้ แต่โอกาสเสี่ยงนั้นก็มีไม่มากนัก และจะต้องเป็นพาหะนานเป็น 20-30 ปีขึ้นไป
ดังนั้น ผู้ที่เป็นพาหะจึงไม่ควรที่จะวิตกกังวลจนเกินเหตุ

 

6. เป็นพาหะแล้วจะทำอย่างไรดี
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า เมื่อตรวจพบผู้เป็นพาหนะแล้วผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่เฉพาะแก่ตัวผู้ที่เป็นพาหนะเท่านั้น ยังมีผลถึงบุคคลข้างเคียงด้วย
ผู้ที่เป็นพาหนะมักจะเกิดความกลัวว่าจะเกิดโรคร้ายและกลัวว่าจะแพร่กระจายไปสู่คนที่ตนรัก รวมทั้งผลกระทบในสังคมอีกด้วย

เคยมีพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง มาปรึกษาถึงผลกระทบทางจิตใจว่า มีเพื่อนฝูงไปกินอาหารด้วยกัน พอทราบว่าเป็นพาหนะไวรัสตับอักเสบ บี ทุกคนไม่ยอมไปกินอาหารด้วย ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ที่จริงน่าจะกลายเป็นการดีเสียอีกที่ทราบว่าตัวเองเป็นพาหนะจะได้ปฏิบัติตัวหาทางป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่กระจายโรคไม่ให้ไปสู่บุคคลข้างเคียงโดยเฉพาะในครอบครัว


แนวทางในการปฏิบัติสำหรับผู้ที่เป็นพาหนะมีดังนี้คือ

1. บำรุงรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ผู้ที่เป็นพาหนะไม่มีความจำเป็นต้องงดการออกกำลังกาย และพึงทำกิจการต่าง ๆ ได้เช่นบุคคลธรรมดา กินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่มีความจำเป็นต้องแยกกินอาหารและสามารถกินอาหารร่วมกับผู้อื่นได้ โดยใช้ช้อนกลาง

2. หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตับ เช่น เหล้า เบียร์ ยาบางชนิดที่เป็นอันตรายต่อตับ สารพิษจากอาหารและเชื้อรา เป็นต้น

3. เมื่อมีอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ เช่น เท้าบวม, ท้องบวม, อุจาระเป็นสีดำ, ปวดท้อง, ตัวเหลืองตาเหลือง เป็นต้น

4. เฝ้าระวังการเกิดโรคร้าย โดยทั่วไปในเด็กที่อายุน้อยไม่มีความจำเป็น ในผู้ใหญ่สามารถทำได้โดยการเจาะเลือดตรวจการทำงานของตับ และสารแอลฟ่าโตโปรตีน (alpha fetoprotein) ในเลือดซึ่งจะช่วยบ่งบอกว่าเกิดมะเร็งตับหรือไม่ โดยตรวจปีละครั้งและถี่ขึ้นในผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 40 ปี

5. ป้องกันการแพร่กระจายไปสู่บุคคลอื่นด้วยการงดบริจาคเลือด หรือแยกใช้เครื่องใช้ (เช่น มีดโกนหนวด, หวี และแปรงสีฟัน) เป็นการส่วนตัว ตลอดจนให้ภูมิต้านทานโรค ด้วยวัคซีนแก่บุคคลใกล้ชิดในบ้านที่ยังไม่มีภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบ บี

6. สำหรับแม่บ้านที่เป็นพาหะ เด็กที่เกิดมาทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่แรกเกิด ส่วนนมแม่ยังสามารถให้ทารกกินได้ตามปกติ เพราะไม่ว่าจะให้กินนมหรือนมผสมก็มีโอกาสติดโรคพอ ๆ กัน ข้อสำคัญอยู่ที่การป้องกันโรคด้วยวัคซีน

7. สำหรับการฉีดวัคซีนแก่ผู้ที่เป็นพาหะนับว่าไม่ได้ประโยชน์ เพราะไม่สามารถกำจัดเชื้อที่มีอยู่ในร่างกายให้หมดไปได้

 

7. ป้องกันอย่างไรให้ได้ผล
การป้องกันให้ได้ผลสำหรับคนทั่วไปที่ยังไม่เคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ก็คือ
หลีกเลี่ยงจากการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับคนไข้หรือคนที่เป็นพาหะ
หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือด, น้ำเหลือง, น้ำลายของคนที่เป็นพาหะ หรือคนไข้
ถ้าจะฉีดยา, เจาะเลือด, เจาะหู, สัก หรือฝังเข็ม ต้องแน่ใจว่าอุปกรณ์ เครื่องใช้ได้ผ่านการทำลายเชื้อมาก่อนแล้วอย่างดี

เชื้อตัวนี้จะทำลายโดยการต้มในน้ำเดือดตั้งแต่ 5 นาทีขึ้นไป หรืออาจใช้โซเดียมไฮโปรคลอไรด์ (ที่รู้จักกันในนามของน้ำยาแช่ผ้าขาว) ซึ่งมีความเข้มข้นประมาณ 0.5-2 เปอร์เซ็นต์ฆ่าเชื้อก็ได้
การกินอาหารร่วมกับผู้อื่นโดยใช้ช้อนกลาง ก็เป็นวิธีป้องกันที่ได้ผลอย่างหนึ่ง นอกจากวิธีดังกล่าวแล้ว ก็มีการฉีดวัคซีนเพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบ บี ที่จะได้ผลมาก

 

8. อันตรายร้ายแรงของโรคนี้อยู่ที่กลุ่มเด็กที่คลอดจากแม่ที่เป็นพาหะ

หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ บี หรือป่วยเป็นโรคตับอักเสบจากไวรัส บี ในช่วงที่คลอดบุตร ทารกจะได้รับเชื้อโดยการสัมผัสกับเลือดแม่ ทารกที่รับเชื้อ ส่วนใหญ่จะไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ได้ ทำให้กลายเป็นพาหะเรื้อรังของโรคนี้ พบว่าทารกแรกเกิดทุก ๆ 100 คน ก็รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี จากแม่ที่เป็นพาหะจะกลายเป็นพาหะถึง 50 คน (ร้อยละ 90)ในบ้านเรา โดยเฉลี่ยพบว่า ทารกเกิดใหม่โดยทั่วไปทุก ๆ 100 คนจะมีโอกาสเป็นพาหะประมาณ 3 คนทารกแรกเกิดที่รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี จากแม่ตอนคลอดส่วนมากจะไม่มีอาการของโรคตับอักเสบ แต่จะกลายเป็นพาหะเรื้อรังนานหลายสิบปีหรือตลอดชีวิต
ตรงกันข้าม ผู้ใหญ่เมื่อรับเชื้อแล้วมีโอกาสจะเกิดอาการตับอักเสบได้มากกว่า คือประมาณ 1 ใน 8 ดังได้กล่าวมาแล้ว โอกาสที่จะกลายเป็นพาหะก็น้อยกว่าของทารกมาก และระยะเวลาของการเป็นพาหะก็มักจะสั้นกว่าของทารก เพราะส่วนใหญ่จะสามารถกำจัดเชื้อออกไปได้ ดังนั้นทารกที่เป็นพาหะเมื่อย่างเข้าวัยกลางคนจึงมีโอกาสกลายเป็นโรคตับเรื้อรัง, ตับแข็ง และมะเร็งตับ ดังตัวอย่างการศึกษาในไต้หวันดังกล่าว ที่น่าสนใจก็คือ โอกาสเสี่ยงต่ออันตรายระหว่าผู้ชายกับผู้หญิง ก็ยังแตกต่างกัน

ในทางการเพศชายเมื่อโตขึ้นจะมีโอกาสเป็นโรคตับเรื้อรังรวมทั้งโรคมะเร็งตับได้มากกว่าเพศหญิง
ส่วนทารกเพศหญิงแม้ว่าโตขึ้น จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับเรื้องรังน้อยกว่าเพศชายก็ตาม แต่ก็มักจะกลายเป็นคุณแม่ที่เป็นพาหะและถ่ายทอดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ให้แก่รุ่นต่อไปเป็นวงจรที่ไม่รู้จักจบสิ้น ดังนั้น มาตรการที่สำคัญในการกำจัดโรคนี้จึงอยู่ที่การป้องกันโรค โดยการตัดวงจรที่ทารกแรกเกิด ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคแก่เด็กที่คลอดจากแม่ที่เป็นพาหะ และถ้าเป็นไปได้ควรฉีดวัคซีนนี้แก่ทารกทุกคนที่เกิดมา ซึ่งย่อมเป็นหนทางที่ดีที่สุด

คำถามน่ารู้ ถามตอบเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี

1. ใครบ้างที่ควรจะฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี
เนื่องจากบ้านเราเป็นแหล่งที่มีโรคตับอักเสบจากไวรัส บี ชุกชุม ถ้าเป็นไปได้ควรฉีดวัคซีนแก่คนทุกคนที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันโรคนี้
แต่เนื่องจากวัคซีนในปัจจุบันยังมีราคาแพงมาก (ราคาขายส่งเข็มละ 300 บาทซื้อ 500 เข็มลด 10%) ดังนั้นจึงควรเลือกฉีดในรายที่จำเป็น ได้แก่
1. เด็กแรกเกิดที่มีแม่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ บี เพราะเด็กมีโอกาสจะติดเชื้อได้มาก และมักจะกลายเป็นพาหะเรื้อรังที่มีอันตรายได้

2. เด็กที่มีคนในบ้านเป็นพาหะ หรือโรคตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบ บี

3. ผู้ใหญ่ที่ตรวจเลือดแล้วพบว่า ไม่ได้เป็นพาหะ ไม่เคยได้รับเชื้อมาก่อน และไม่มีภูมิคุ้มกันโรค ควรจะฉีดวัคซีน ในกรณีต่อไปนี้
- ถูกเข็มที่เปื้อนเลือดของคนที่เป็นพาหะต่ำ
- จะแต่งงานกับคนที่เป็นพาหะ
- จะต้องได้รับเลือดหรือสารจากเลือดบ่อย ๆ
พวกที่มีความสำคัญรองลงมา ได้แก่ ผู้ที่อยู่ในบ้านที่มีคนเป็นพาหะ และผู้ที่ด้องทำงานเกี่ยวข้องกับเลือด (เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล)

2. ต้องมีการตรวจเลือดก่อนฉีดวัคซีนหรือไม่
หลายคนคงสงสัยว่าทำไมต้องมีการเจาะเลือดตรวจก่อนให้วัคซีน
ทำไมไม่ฉีดวัคซีนไปเลยจะได้ไม่เสียเวลา
จริง ๆ แล้วถึงแม้ไม่ได้ตรวจเลือดก่อน ฉีดไปก็ไม่มีอันตราย แต่เหตุผลที่มักจะตรวจเลือดก่อนให้วัคซีนก็เพราะว่า วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี นั้น ในปัจจุบันยังมีราคาแพงมาก (ราคาชุดละประมาณ 1,000 บาท ในขณะที่ค่าตรวจเลือดเพียง 150-200 บาท) ถ้าจะให้ได้ผลคุ้มค่าก็ควรเจาะเลือดดูว่า มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับวัคซีนหรือไม่ ถ้าเป็นพาหะคือตรวจเลือดพบว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี อยู่แล้ว ฉีดไปก็จะไม่ได้ผลคือไม่สามารถกำจัดเชื้อให้หมดไปได้ แต่ถ้ามีภูมิคุ้มกันโรคแล้ว ฉีดไปก็สิ้นเปลือง โดยเปล่าประโยชน์

ในทารกแรกเกิดถึง 6 ปีนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตรวจเลือดใด ๆ ทั้งสิ้น สามารถให้วัคซีนได้เลย และจะได้ผลคุ้มค่าเนื่องจากเด็กนั้นมีอัตราเสี่ยงของการรับเชื้อมากกว่าผู้ใหญ่ และช่วงเวลาที่จะได้รับเชื้อก็ยังมีอีกนาน

เด็กที่มีอายุ 6-15 ปี ควรจะพิจารณาเป็นราย ๆ ไป ถ้าตรวจเลือดได้ควรตรวจก่อน ถ้ามีปัญหาในการตรวจเลือด เช่น เด็กไม่ยอมให้เจาะเลือด อาจอนุโลมให้วัคซีนได้ แต่ต้องอธิบายให้ผู้ปกครองเข้าใจเสียก่อนว่า ถ้าต่อไปตรวจพบไวรัสตับอักเสบ บี ในเลือด ก็ไม่ได้หมายความว่า วัคซีนขาดประสิทธิภาพ แต่อาจเป็นเพราะมีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี อยู่ก่อนที่จะฉีดวัคซีนแล้วก็ได้

สำหรับผู้ใหญ่ ควรได้รับการตรวจเลือดก่อนทุกรายไป ทั้งนี้เพราะมีประมาณครึ่งหนึ่งที่เคยได้รับเชื้อและมีภูมิต้านทานโรคโดยธรรมชาติอยู่แล้ว และบางคนก็อาจจะเป็นพาหะอยู่ก่อนแล้ว
หญิงมีครรภ์ก็ควรได้รับการตรวจ เพื่อดูว่าเป็นพาหะหรือไม่ และจะได้ให้การดูแลลูกที่จะเกิดได้ถูกต้อง ทั้งยังช่วยป้องกันการแพร่กระจายสู่บุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย

3. ควรใช้วัคซีนแบบไหนดี
วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้น ใช้กันแพร่หลายมาเกือบ 10 ปีแล้ว และมีอยู่ 2 ชนิด คือ
วัคซีนที่ทำจากพลาสมา และวัคซีนจากยีสต์
วัคซีนที่ทำจากพลาสมา ได้มาจากเลือดของผู้ที่เป็นพาหะเรื้อรัง แล้วแยกส่วนเปลือกของผิวไวรัสตับอักเสบ บี นำมาทำให้บริสุทธิ์ เป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัยมากและมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้อย่างดี ปลอดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น รวมทั้งเชื้อไวรัสเอดส์ ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าฉีดแล้วจะเสี่ยงต่อการติดโรคเอดส์

ส่วนวัคซีนจากยีสต์นั้นทำมาจากการสอดใส่ยีนไวรัสตับอักเสบ บี เข้าไปในยีสต์เพื่อให้สร้างเชื้อไวรัสเข้ามา (เรียกว่า การตัดต่อยีน หรือพันธุวิศวกรรม) มีประสิทธิภาพดี มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากกรรมวิธีนี้สามารถผลิตได้ทีละมาก ๆ ในอนาคตวัคซีนชนิดนี้ มีโอกาสที่ราคาจะถูกลง
วัคซีนทั้ง 2 ชนิดนี้ มีผลใกล้เคียงกัน จะฉีดชนิดไหนก็ได้ และสามารถใช้ต่อหรือแทนกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นฉีดใหม่เมื่อเปลี่ยนชนิดของวัคซีน เพราะทั้ง 2 ชนิดเป็นวัคซีนส่วนโปรตีนเปลือกผิวไวรัสคล้ายกัน

4. ควรฉีดกี่เข็ม
วัคซีนทั้งที่ทำจากพลาสมาและยีสต์นั้น เป็นวัคซีนที่เชื้อตายแล้ว ดังนั้น จึงด้องมีการให้หลายครั้ง เพื่อกระตุ้นให้มีความต้านทานอยู่นานเช่นเดียวกับวัคซีนคอตีบ ไอกรน และบาดทะยัก
โดยทั่วไปจะให้วัคซีนเบื้องต้น 2-3 เข็ม แล้วฉีดกระตุ้นอีก 1 เข็ม
การให้วัคซีนเบื้องต้น 2 เข็มแรกนั้นจะเริ่มด้วย ฉีดเข็มแรกแล้วอีก 1 เดือนออกมาฉีดเข็มที่ 2 และจะฉีดกระตุ้นอีก 1 เข็ม เมื่อเข้าเดือนที่ 6 วิธีนี้ใช้ฉีดป้องกันตั้งแต่ก่อนจะได้รับเชื้อ
แต่ถ้าเป็นฉีดวัคซีนเบื้องค้น 3 เข็ม ก็จะฉีดห่างกันเข็มละ 1 เดือนและฉีดกระตุ้นเมื่อครบปี วิธีนี้ใช้ฉีดภายหลังที่ได้รับเชื้อ เช่น ถูกเข็มที่มีเชื้อต่ำ, ทารกที่ติดจากแม่ตอนคลอด
สำหรับภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นนี้ ในต่างประเทศแนะนำให้กระตุ้นทุก 5 ปี แต่สำหรับประเทศที่เป็นแดนระบาด คนทั่วไปมีโอกาสได้รับเชื้อในธรรมชาติ จำเป็นต้องมีการศึกษา ติดตามผู้ที่ฉีดวัคซีนเวลานี้ดูก่อนว่า จะคุ้มค่าหรือไม่ ถ้าฉีดกระตุ้น

5. ขนาดที่ฉีด ในเด็กกับผู้ใหญ่ใช้ขนาดเท่ากันหรือไม่
เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี อาจใช้ขนาดครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่ได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าวัคซีนไปได้ครึ่งหนึ่ง

6. ควรฉีดตรงตำแหน่งไหนดี
ควรฉีดเข้ากล้ามตรงต้นแขน จะได้ผลดีกว่าการฉีดเข้าสะโพก ทั้งนี้เพราะบริเวณสะโพกมีชั้นไขมันหนา อาจเข้าม่ถึงชั้นกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังมีเลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อที่ต้นแขนมากกว่าที่สะโพก ทำให้การดูดซึมของวึซีนในบริเวณต้นแขนดีกว่าที่สะโพก
ส่วนในเด็กเล็กควรฉีดเข้ากล้ามบริเวณ.หน้าขา

7. อายุเท่าใดจึงจะฉีดวัคซีนได้
ฉีดได้ทุกอายุตั้งแต่แรกเกิด ถึงอายุน้อยยิ่งดี เพราะถ้ารอไปอาจติดโรคเสียก่อน

8. เมื่อฉีดครบแล้วจะต้องตรวจเลือดช้ำหรือไม่
ถ้าร่างกายปกติไม่มีโรคอื่นที่กดภูมิคุ้มกันอยู่ก่อน ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเจาะเลือดซ้ำ แต่ถ้ามีอาชีพที่จะเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อบ่อย ๆ หรือเป็นโรคที่มีภูมิต้านทานต่ำควรตรวจเลือดดูเพื่อให้แน่ใจว่าวัคซีนได้ผล ทั้งนี้ เพราะจากการศึกษาที่ผ่านมามีมากพอแล้ว ที่จะยืนยันว่าวัคซีนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี

9. ถ้าสามีหรือภรรยาเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบ บี ควรฉีดวัคซีนให้กับคนในครอบครัวหรือไม่

ในครอบครัวที่สามีหรือภรรยา เป็นพาหะเรื้อรังโดยไม่มีอาการนั้นมีโอกาสตรวจพบว่า คู่สมรสมีการติดเชื้อถึงร้อยละ 25-45 เพราะฉะนั้นถ้าตรวจเลือดคนในคอบครัวแล้ว ไม่พบว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี หรือไม่มีภูมิคุ้มกันโรคก็ควรจะฉีดป้องกันให้ รวมทั้งบุตรเล็ก ๆ ที่ยังไม่ได้รับเชื้อ

10. ทราบว่ากระทรวงสาธารณสุขมีโครงการฉีดวัคซีนนี้แก่เด็กทุกคนที่เกิดมา จริงหรือไม่?
ทางกระทรวงสาธารณสุขมีความคิดที่จะนำนโยบายเรื่องนี้บรรจุในแผนพัฒนาสาธารณสุข ฉบับที่ 7 คือ ในปี 2535 ถ้าหากราคาวัคซีนถูกลงมา และมีงบประมาณพอเพียงก็จะฉีดวัคซีนฟรีแก่เด็กที่เกิดใหม่ทุกคนเช่นเดียวกับวัคซีนวัณโรค, ไอกรน, คอตีบ, บาดทะยัก, โปลิโอ และหัดที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
นโยบายนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ก็ขึ้นกับงบประมาณและราคาวัคซีนดังว่า
ในขณะนี้กำลังเริ่มโครงการทดลองใน 2 จังหวัด คือ ชลบุรี และเชียงใหม่ เพื่อดูผลที่เกิดขึ้นก่อน ถ้าดีจะได้ขยายไปยังอีก 2 จังหวัด ทางภาคอีสานและภาคใต้ต่อไป
โครงการทดลองที่เริ่มทำคันตอนนี้ถือเป็นการทดลองนำร่องเพื่อนำไปสู่แผนปฏิบัติที่ดำริจะทำกันทั้งประเทศ ในปี 2535

                        ภูมิคุ้มกันของร่างกาย กับการเกิดโรคตับอักเสบ บี

 

 

 

 T-T cell                         =  เซลล์ที

M-Macrophage              =  เซลล์นักกินขนาดใหญ่

NK-Natural killer cell     =  เซลล์นักฆ่าธรรมชาติ

Tc-T cytoxic cell            =  เซลล์ทีผู้ฆ่า

Th-T helper                   =   เซลล์คอยช่วยกระตุ้นทำให้เซลล์อื่นทำงาน

Ts-T suppressor            =   เซลล์คอยกดการทำงานของเซลล์อื่นๆ

B-B cell                         =   เซลล์บีสร้างสารแอนติบอดี้

Ab-Antibody                =   สารที่สร้างขึ้นมาเพื่อจับไวรัส ทำให้ไวรัสหมดประสิทธิภาพในการทำ         
                                           ให้เกิดโรค

HBV                            =     เชื้อไวรัสตับอักเสบบี

HBcAG                        =    โปรตีนส่วนแกนกลางของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

HBsAg                         =     โปรตันส่วนนอกสุดของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

 ในทารกแรกเกิดและเด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 5 ปี)

เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันยังอ่อนแอ เมื่อเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เข้าไปในเซลล์ก็จะมีการเพิ่มจำนวนโดยที่เซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน ไม่สามารถทำอะไรได้ หรือเข้าไปต่อสู้ได้

ทารกหรือเด็กเหล่านี้ ยังคงมีร่างกายแข็งแรงเป็นปกติไม่มีอาการของโรค แต่จะตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ที่ออกจากตับอยู่ในเลือด และแพร่เชื้อไปให้กับคนใกล้ชิดได้
 

 การติดเชื้อในคนทั่วไป และมีผลตามมา
เมื่อเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เข้าสู่ร่างกาย เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันก็พยายามกำจัดเชื้อไวรัสออก โดยการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อ
เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี จะประกอบด้วยโครงสร้างที่สำคัญ คือ โปรตีนส่วนแกนกลางที่เรียกว่า HBc Ag ที่ห่อหุ้มยีนที่อยู่ตรงกลาง ถัดออกมาก็เป็น โปรตีนอยู่นอกสุดที่เรียกว่า HBs Ag

เมื่อเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เข้าสู่เซลล์ตับจะใช้ส่วนของ HBs Ag
เกาะติดกับผนังเซลล์ตับก่อนแล้วเชื้อไวรัสจึงเข้าสู่เซลล์ได้ และเข้าไปเพิ่มจำนวนอยู่ในเซลล์ โดยไม่ได้ทำอันตรายกับเซลล์ของตับโดยตรง

เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันเช่น Tc M NK จะพยายามทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส ในขณะเดียวกันจะมีการสร้างแอนติบอดี โดยเซลล์ B เพื่อให้การทำลายเชื้อไวรัสเป็นไปได้ดีขึ้นถ้าร่างกายสามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้หมด ก็มีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้น เซลล์ตับถูกทำลายไปเพียงเล็กน้อยก็จะกลับไปสู่สภาพปกติได้ แต่ถ้าระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่แข็งแรงพอ การต่อสู้ยืดเยื้อ เชื้อไวรัสสามารถเพิ่มจำนวนของเซลล์ตับต่อไปได้ ก็จะมีการต่อสู้ เกิดมีการทำลายของเซลล์ตับตลอดเวลาเกิดอาการโรคตับอักเสบเรื้อรัง

ถ้าเซลล์ตับถูกทำลายมาก ๆ ก็เกิดลักษณะเป็นเยื่อพังผืดคล้ายแผลเป็นขึ้น กลายเป็นโรคตับแข็งตามมา ซ้ำในบางคนถ้าได้รับการก่อมะเร็งอื่นร่วมไปด้วยก็จะเป็นมะเร็งตับได้ง่ายเข้า

 

 

ข้อมูลสื่อ

113-013
นิตยสารหมอชาวบ้าน 113
กันยายน 2531
บทความพิเศษ
กองบรรณาธิการ