• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ตรวจสุขภาพ ข้อเท็จ-จริงๆ

 
แพทย์หญิงกัลยาเหลือบตาขึ้นมองดูนาฬิกาที่แขวนไว้ข้างฝา “เกือบ 2 ทุ่มแล้วนะ เราจะได้ปิดร้าน แล้วกลับบ้านเสียที” เธอรำพึงอยู่ในใจ

ทันใดนั้น บังตาหน้าร้านนั้นก็ถูกผลักเปิดออก สตรีวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างอ้วน แต่งตัวทันสมัยเดินเข้ามาในร้าน แล้วร้องทักว่า “สวัสดี กัลยา จะปิดร้านแล้วหรือ เราอยากมาให้เธอตรวจสักหน่อย”

อ้อ ดารา เธอเองจริงๆ น่ะแหละ แต่งเนื้อแต่งตัวเสียจนจำไม่ได้ เป็นอะไรไปละถึงอยากจะมาตรวจ”


ดารา :   เฮ้อ ไม่รู้นะว่าเป็นอะไร หมู่นี้คนชอบทักว่า ฉันอ้วน เดี๋ยวไขมันจะอุดเส้นเลือดตาย ก็จะไม่อ้วนอย่างไรไหว พอพ้นหน้าข้าวเหนียวมะม่วง ก็เจอทุเรียนของชอบอีก”

กัลยา : เออ เธอนี่ก็ประสาทไปกับเขาด้วย ความอ้วนกับระดับไขมันในเลือดนี่ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกันนัก แล้วระดับไขมันในเลือดกับการอุดตันของเส้นเลือดยิ่งไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกันเลย โดยเฉพาะในคนไทย แต่อย่ากินเข้าไปมากจนอ้วนจะดีกว่า เสียเศรษฐกิจและสุขภาพของตัวเอง และยังเป็นการเบียดเบียนคนที่ไม่ค่อยมีกินอีกด้วย”


ดารา : “ นั่นแน่ ยังไม่ทันไร ให้ฟังกัณฑ์เทศน์ไป 1 กัณฑ์แล้วนะ ฉันนะห่วงเรื่องอ้วนและไขมันอุดตัน เพราะคนเขาพูดกันมาก ไม่ รู้ว่ามันเป็นเรื่องโคมลอย แต่ฉันก็เคยอ่านข่าวแพทย์ของฝรั่งเขาว่า คนฝรั่งที่ไปกินยาลดไขมันเพื่อกันไขมันอุดตันเส้นเลือด ต้องตายและพิการไปเป็นแถว แล้วก็ไม่เห็นป้องกันการอุดตันของเส้นเลือดได้เลย”

กัลยา  : “เออ ใช่แล้ว ข่าวนี้พวกบริษัทยาพากันปิดข่าวแทบตาย แต่ก็ยังไม่วายเล็ดลอดออกมาถึงประชาชนจนได้ ยาลดไขมันคงจะขายได้น้อยลง อีกหน่อยอาจจะถูกห้ามไม่ให้ขายก็ได้ ในประเทศฝรั่งบางประเทศ เขาก็ให้ใช้เป็นยาสำหรับการทดลอง เท่านั้น”


ดารา  : เออ นอกจากเรื่องอ้วนแล้วฉันก็อยากมาให้เธอตรวจสุขภาพ เช็คอั๊พซักหน่อยไม่ค่อยได้เป็นอะไรหรอก แต่ฉันไม่ได้ตรวจ สุขภาพมาปีหนึ่งแล้ว เห็นหมอเขาบอกว่าต้องตรวจสุขภาพทุกปี”
กัลยา
   : “บ้า เธอนี่ก็ชอบเชื่อคำบอกเล่าของคนอื่นอยู่เรื่อย เธอตรวจสุขภาพมาทุกปี แล้วมีอะไรดีขึ้นบ้างล่ะ”


ดารา  : “เออ คิดไปจริงๆ แล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย มีแต่เสียเงินไปเป็นจำนวนมากแล้วก็สบายใจไปไม่กี่วันว่าฉันคงจะมีสุขภาพดี แต่ยังไม่ถึงครึ่งปี ก็เกิดประสาทขึ้นมาอีกแล้วว่าเราอาจจะเป็นโรคนั้นโรคนี้ ที่จริงอยากตรวจสุขภาพมันเสียทุกเดือนเหมือนกัน จะได้หายประสาทลงหน่อย”

กัลยา  :  “แต่ฉันว่า มันจะทำให้เธอประสาทมากขึ้น ต่อไปเธอก็จะต้องตรวจสุขภาพทุกอาทิตย์แล้วเธอก็ยังไม่สบายใจกลัวไปเรื่อยว่าจะเป็นโรคนั่นโรคนี่ในที่สุด ก็คงต้องไปตรวจกันทุกวันไม่เป็นอันกินอันนอนละทีนี้”


ดารา  :  “เอ้า ก็หมอเองนั่นแหละ เป็นคนแนะนำให้ไปตรวจสุขภาพทุกปี เธอจำไม่ได้หรือ แม้แต่ในหนังสือที่เราเรียนกัน เมื่อเด็กๆยังเขียนไว้อย่างนั้นเลย”
กัลยา :  “โธ่ เธอก็รู้อยู่แล้วว่า คนบ้านเรามันชอบตามก้นฝรั่ง ฝรั่งจะอึออกมาเหม็นอย่างไร มันก็ให้คิดว่าหอมทุกที จนวัฒนธรรมดีๆ ของเรากำลังจะกลายเป็นดิสโก้ โชว์ส่วนสัด นุ่งรัด ห่มรัด ให้สันส่วนมันยั่วยวนตาพาให้เกิดอาชญากรรม และคดีทางเพศอยู่เรื่อย”


ดารา  : “ว้า เธอนี่วกมาแซวฉันอีกแล้วนะ ถ้าฉันไม่แต่งตัวอย่างนี้เดี๋ยวพ่อเจ้าประคุณสามีของฉันจะได้ไปมีอีตัวใหม่ๆ เป็นไร แล้วก็ไม่เห็นจะน่ามาค่อนแคะเลย รึเธอชอบดูคนแต่งตัวมอซอ เช้ยเชย โบราณโบราณ อย่างนั้นหรือ”

กัลยา  :  “ก็ไม่รู้ซิ เดิมทีเมื่อเราเป็นเด็ก ถ้าเราเห็นคนแต่งตัวเช้งๆ แม่มักจะบอกว่า ลูกอย่าไปแต่งตัวแบบนั้นนะ แต่งตัวแบบนั้นแสดงว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี หรือสมัยใหม่ จะเรียกว่า อีตัว หรือนางในตู้กระจก หรืออะไรก็ได้ มันก็ดูไม่ดีอยู่นั่นเอง”


ดารา  :  ต๊ายตาย เธอนี่ปากตะไกรจริงๆ นะ ตั้งแต่เรียนหมอมานี่ ไม่เอาละ เราเลิกพูดเรื่องเครื่องแต่งตัวดีกว่า ฉันมาเธอเพื่อตรวจสุขภาพนะยะ ไม่ใช่จะมาหาเธอเรื่องเสื้อผ้า”

กัลยา   : “ขอโทษที บางทีมันก็เผลอตัวไปเหมือนกัน เพราะผู้หญิงไทยเรานี่ ไม่รู้ว่าปีๆ ผลาญเงินของชาติไปกับค่าเครื่องแต่งตัวกี่หมื่นกี่แสนล้านบาท ดูแล้วก็สงสารพวกคนยากคนจน คุณท่านพรมน้ำหอมหยดเดียวก็ราคามากกว่าค่ากับข้าวของชาวทั้งครอบครัวเสียอีก เอ้า เธออยากจะให้ฉันตรวจอะไรล่ะ”


ดารา “ก็ฉันมาตรวจสุขภาพ เธออยากจะตรวจอะไร ก็ตรวจซิ”
กัลยา  : “อย่าเพิ่งยัวะซี ก็ฉันขอโทษเธอแล้วนี่นะ นานๆ จะเจอเธอสักที กระเซ้านิดกระเซ้าหน่อยก็ไม่ได้”


ดารา  : “นี่คุณหมอกัลยา ดิฉันมาตรวจสุขภาพค่ะ ไม่ใช่จะมาฟังเทศน์”
กัลยา  :  “ค่ะ รู้แล้วล่ะค่ะ คุณดารา แต่ว่าถ้าคุณไม่มีอาการอะไร การตรวจสุขภาพนี้จะเปะปะไปหมด จะตรวจน้อยก็ได้ หรือไม่ตรวจร่างกายเลย ตรวจแต่เลือด ปัสสาวะ เอ๊กซ์เรย์ หรืออื่นๆ ก็ได้ เธออยากจะให้ฉันตรวจอะไร แค่ไหนล่ะยะ แม่คุณ”


ดารา  :  “เอ ฉันก็งงเหมือนกัน ทุกปีที่ฉันไปตรวจสุขภาพ หมอก็มาจับชีพจร วัดความดันเลือด แหวกหูแหวกตาแหวกปากดู แล้วก็เอาเครื่องฟังมาจิ้มตรงนี้ทีตรงนั้นทีไม่ถึง 5 นาที เขาก็ตรวจร่างกายเสร็จ แล้วก็ออกใบสั่งให้ฉันไปเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจเอ๊กซ์เรย์ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะมีอะไรอีกฉันก็จำไม่ได้ เสร็จสรรพแล้ว ฉันก็เสียเงินเกือบพัน หรือพันกว่า บาททุกที มีครั้งหนึ่งหมอให้เข้านอนตรวจสุขภาพในโรงพยาบาล 2 วันเสียเงินไปหลายพันบาท แถมยังโดนตรวจเสียแทบบักโกรกไปเลย โดนอดอาหาร สวนอุจจาระ เจาะเลือด เอาเสียงอมพระรามฉันเลยเข็ด ไม่กล้าเข้านอนโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพอีก”
กัลยา  :  “ที่จริงเธอก็มีประสบการณ์เกี่ยวกับการตรวจสุขภาพมาเยอะ เธอน่าจะบอกฉันได้ว่าเธออยากจะตรวจอะไร ฉันจะได้ตรวจให้เธอหายประสาทเสียทีในสิ่งที่เธอสงสัย”


ดารา  : “เอ๊ะ เธอนี่อย่างไรนะ ฉันจะมาตรวจสุขภาพ แต่เธอก็หาว่าฉันประสาทอยู่เรื่อย”
กัลยา  : “อ้าว โดยปกติ คนที่ไปขอตรวจสุขภาพ มักจะเป็นคนที่กลัวว่าจะเป็นโรคนั่นโรคนี่ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่า “ประสาท” ได้อย่างไร นี่เพราะว่าเธอเป็นเพื่อนฉันหรอกนะ ฉันถึงได้อธิบายให้เธอฟังอย่างนี้ ไม่อย่างนั้น ฉันก็ตรวจเสียให้มันหมดเรื่องกันไป จะได้คิดเงิน แล้วให้เธอกลับบ้านเสียที ฉันจะได้ปิดร้าน แล้วกลับบ้านด้วย”


ดารา  : “นี่ เธอไล่ฉันหรือ”
กัลยา  : “โธ่เอ๊ย เธอนี้เป็นเอามาก ก็เธอมาให้ฉันตรวจ แล้วฉันก็ยังไม่ได้ตรวจให้เธอ จะไปไล่เธอได้อย่างไร”


ดารา  : “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เธอตรวจร่างกายให้ฉันหน่อย เพราะฉันไม่มีประวัติการเจ็บป่วยอะไรเลยที่จะให้เธอซัก แถมยังสมบูรณ์ขึ้นด้วย ฉันกลัวว่าจะเป็นโรคหัวใจหรือมะเร็งมากกว่าอย่างอื่น”
กัลยา  : “เอา ถ้าอย่างนั้น เธอขึ้นไปนอนบนเตียง ฉันจะตรวจร่างกายให้”


หลังจากตรวจร่างกายโดยทั่วไปเป็นเวลาประมาณ 10 นาที
กัลยา  : “ร่างกายเธอก็ปกติดี มีฟันผุอยู่ 1 ซี่ เธอไปอุดเสีย ส่วนหัวใจของเธอเท่าที่ตรวจโดยการดูคลำเคาะฟังนี่ก็ปกติ ส่วนเรื่องโรคมะเร็งนั้น ตรวจไม่พบ อ้อ ต้องขอบอกเสียก่อนว่า การตรวจร่างกายแล้วไม่พบสิ่งผิดปกตินั้น ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่มีสิ่งผิดปกติแน่ๆ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าสิ่งผิดปกติยังไม่แสดงอาการ หรือทำให้เกิดการผิดปกติในรูปร่างหรือการทำงานของอวัยวะแล้ว เราก็ไม่สามารถจะตรวจร่างกายจนรู้ได้”


ดารา  : “อ้าว แล้วอย่างนั้น จะตรวจร่างกายไปทำไม”
กัลยา  : การซักประวัติ และการตรวจร่างกายจะช่วยให้เรารู้ถึงสิ่งผิดปกติได้ถึงร้อยละ 80.90 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 10.20 นั้นเราจะต้องใช้การตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจเอ๊กซเรย์ และตรวจแล็บ (ตรวจทางห้องปฏิบัติการ) อื่นๆ มาช่วย ถ้าเราไม่ซักประวัติและการตรวจร่างกาย ใช้แต่แล็บอย่างเดียวจะวินิจฉัยโรคทั่วไปได้ไม่ถึงร้อยละ 10 และจะทำให้ผิดพลาดได้มากๆ อีกด้วย”


ดารา  : “จริงรึ การตรวจแล็บทำให้ผิดพลาดได้มากๆ จริงๆ รึ”
กัลยา  : การแปลผลแล็บโดยไม่ได้ซักประวัติและตรวจร่างกายคนไข้จะทำให้แปรผลผิด นอกจากนั้นวิธีทำแล็บก็อาจจะผิดพลาดได้โดยตัวของมันเอง เพราะเครื่องมือ เพราะวิธีทำ และอื่นๆ มีผู้ศึกษาไว้ว่า

ถ้าเราเจาะเลือดเพื่อตรวจโน่นตรวจนี่สัก 15 อย่าง ในคนปกติ 100 คน เช่น ตรวจเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว น้ำตาล ไขมัน ตับ ไต หรืออื่นๆ เราจะพบค่าผิดปกติจอมปลอม (คือค่าผิดปกติที่ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติในร่างกายของคนที่ถูกตรวจ)อย่างน้อย 1 อย่างใน 15 อย่างที่ส่งตรวจในคนปกติ 54 คน นั่นคือ คนปกติ 54 คน ใน 100 คนที่ส่งตรวจจะเกิดมีค่าผิดปกติจอมปลอมขึ้น ค่าปกติจอมปลอมเหล่านี้มักจะทำให้ต้องตรวจสอบเพิ่มเติม เป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายและทำลายสุขภาพทั้งกายและใจของคนปกติเหล่านั้นให้ทวีคูณมากขึ้น”


ดารา  : “จริงซิ ฉันก็เคยโดนมาแล้วเมื่อคราวที่เข้านอนตรวจในโรงพยาบาล 2 วัน นั่นแหละ เพราะว่าบังเอิญไปตรวจเช็คเลือดประจำปี แล้วผลเลือด 2 อย่างผิดปกติไป ทำให้หมอสงสัยว่า ฉันจะเป็นมะเร็งในท้อง เลยโดนสั่งให้เข้านอนโรงพยาบาล ตรวจเสียจนฉันแทบหมดแรงเดินออกจากโรงพยาบาล แล้วไม่พบอะไร เสียเงินไปเกือบหมื่น ยังแถมชอกช้ำไปทั้งตัว แล้วยังกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวัน เพราะตกใจที่หมอเขาว่า ผลเลือดทำให้สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งในท้อง

ฉันชักจะเห็นด้วยกับเธอแล้วละว่า การตรวจสุขภาพนี่ทำให้คนเป็นโรคประสาทจริงๆ เพราะเพื่อนเราหลายคนก็โดนเหมือนกับฉันนี่แหละเจอหน้ากันทีไร ยังบ่นว่า โดนแล็บหลอกเสียชอกช้ำไปหมด”

กัลยา  : “นั่นซิ เธอจึงต้องระวังให้มาก เพราะมีคนศึกษาไว้ว่าถ้าในชุมชนๆ หนึ่ง มีคนเป็นโรคๆ หนึ่งอยู่ร้อยละ 2 คน (คือ 100 คน เป็นโรคอยู่ 2 คน) แล้วเราใช้การตรวจแล็บชนิด หนึ่ง ซึ่งมีความไวสูง และมีความจำเพาะสำหรับโรคถึงร้อยละ 95 (ซึ่งนับว่าเยี่ยมมากแล้ว เพราะยังไม่มีการตรวจแล็บชนิดใด ที่จะให้ความไวและความจำเพาะสำหรับโรคถึงร้อยละ 100) ถ้าเราใช้การตรวจแล็บชนิดนั้นไปตรวจในชุมชนนั้นโอกาสที่คิดค่าผิดปกติจากการตรวจแล็บครั้งเดียวจะเป็นค่าผิดปกติจริง มีเพียงร้อยละ 28 ถ้าชุมชนนั้นมีคนเป็นโรคเพียงร้อยละหนึ่ง โอกาสที่ค่าผิดปกติที่ได้จากการตรวจครั้งเดียวจะเป็นค่าผิดปกติจริง จะลดลงเหลือเพียงร้อยละ 18
นี่ก็คงพอจะทำให้เธอเข้าใจว่า ทำไมเธอและเพื่อนเราหลายคนจึงโดนแล็บหลอกเข้าได้”


ดารา  : “แล้วทำไมจึงยังมีการทำแล็บอย่างแพร่หลายล่ะ”
กัลยา  : “เพราะแพทย์รุ่นใหม่ ได้ค่านิยมนี้มาจากอเมริกาว่า ถ้าจะให้คนไข้รู้สึกว่าหมอตรวจละเอียดถี่ถ้วนดีก็ต้องมีตัวเลข (แล็บ)มากๆ มาประกอบ ทำให้ดูขลัง ว่างั้นถอะ
อีกอย่างหนึ่ง การตรวจแล็บมากๆ นี่ ทำให้โรงพยาบาลและร้านแล็บได้กำไรเพิ่มขึ้นแยะ มิหนำซ้ำหมอที่ส่งแล็บยังได้ เปอร์เซ็นต์อีกด้วย”



ดารา  : “ไหน เธอว่าอะไรนะ หมอได้เปอร์เซ็นต์จากากรส่งแล็บด้วยหรือ”
กัลยา  : “ได้ซี และไม่ต้องออกกำลังเสียด้วย สมมติว่า เธอมาหาฉันด้วยเรื่องปวดหัว ฉันตรวจร่างกายเธอแล้วไม่พบอะไรผิดปกติถ้าฉันให้ยากล่อมประสาทและยาแอสไพรินไป แก้อาการปวดหัวของเธอ ฉันก็ได้เงินไม่กี่บาท

แต่ถ้าฉันบอกเธอว่า อาการปวดหัวของเธอนี่อาจจะเกิดจากเนื้องอก หรือมะเร็งในสมองก็ได้ ซึ่งในระยะแรกไม่มีทางที่จะตรวจรู้ได้โดยการตรวจร่างกาย หรือการตรวจเอ๊กซเรย์ตามปกติ ต้องตรวจเอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์ถึงจะรู้ คนอย่างเธอซึ่งมีสตางค์บ้าง คงจะรีบแจ้นไปตรวจเอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์ คนทีไม่ค่อยมีสตางค์ก็อาจจะกระเสือกกระสนไปกู้ยืมเขา มาตรวจบ้างก็ได้ฉันส่งเธอไปตรวจเอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์ศีรษะ 1 ครั้งราคา 4,000 บาท ฉันก็ได้ 10 เปอร์เซ็นต์หรือ 400 บาทเหนาะๆถ้าฉันให้ยากล่อมประสาทและยาแก้ปวดเธอไปกิน ฉันจะได้เงินเพียงไม่กี่บาทเท่านั้น”


ดารา  : “ต๊ายตาย อกอีแป้นจะแตก มิน่าเล่า เมื่อคราวฉันถูกนำตัวเข้าโรงพยาบาล หมอเขาจะส่งตัวฉันไปตรวจเอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์หน้าอก และท้อง เห็นว่าจะต้องเสียเงินค่าตรวจคอมพิวเตอร์นี่อีกหมื่นกว่าบาท ฉันเลยบอกว่า สู้ไม่ไหวแล้วค่ะ ขอลาจากโรงพยาบาลดีกว่า
นี่ถ้าฉันยอมเขา หมอคนที่สั่งให้ฉันไปตรวจคอมพิวเตอร์ คงได้เงินค่าโง่ของฉันไปอีกพันกว่าบาทโดยไม่ต้องออกกำลังอะไรเลย เพียงแต่เซ็นชื่อในใบส่งฉันไปตรวจ เท่านั้น เฮ้อ…คุณพระช่วยฟังๆ ดูแล้วขนหัวลุก เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วทำไม่จึงยังมีการชักชวนให้ไปตรวจสุขภาพกันอยู่เรื่อยๆ ล่ะ”

กัลยา  : “สาเหตุหนึ่ง คงจะเป็นเพราะความคิดหรือความเชื่อที่ได้ถ่ายทอดกันมาเรื่อยๆ ว่า การตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะทำให้รู้ว่าเป็นโรคอะไรได้แต่เนิ่นๆ จะได้รีบรักษา
แต่อันที่จริงแล้ว ถ้าฉันตรวจเธอวันนี้ แล้วบอกเธอว่า หัวใจของเธอปกติดี ฉันหมายถึงสภาพหัวใจของเธอในขณะนี้เท่านั้น ในชั่วโมงหน้าหรือในวันพรุ่งนี้ หัวใจเธออาจจะเต้นจะสั่นผิดปกติ หรืออาจจะเกิดหัวใจวายฉับพลันขึ้นมาก็ได้ เพราะไม่มีอะไรแน่หรอกนาย อย่างที่พระท่านว่า อนิจจัง ไงล่ะ

เช่นเดียวกัน ถ้าฉันตรวจไม่พบมะเร็งในตัวเธอในขณะนี้ นั่นไม่ได้หมายความว่า เธอจะไม่มีจุดมะเร็งอยู่ในร่างกายเพราะมะเร็งในระยะแรก ไม่สามรถตรวจให้พบได้ นอกจากที่ปากมดลูก และถึงเธอจะไม่มีจุดมะเร็งอยู่ในวันนี้ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เธอจะไม่เป็นมะเร็งในวันพรุ่งนี้หรือในเดือนหน้า ถ้าเธอจะรอไปตรวจสุขภาพอีก 1 ปีข้างหน้า มะเร็งนั้นก็ลุกลามไปมากแล้ว

ดังนั้น เธอควรจะไปตรวจสุขภาพ เมื่อเธอรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติ เช่นผอมลง ไม่สบายหรืออื่นๆ ซึ่งเมื่อได้พยายามกินเพิ่มขึ้น พยายามออกกำลังเพิ่มขึ้น พยายามพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ลดความเครียดทั้งทางกายและใจลงแล้ว อาการต่างๆ ก็ยังไม่ดีขึ้น จึงควรไปตรวจสุขภาพ”


ดารา  : “เธอไม่เคยตรวจสุขภาพบ้างรึ คุณหมอ”
กัลยา  : “ฉันจบแพทย์มา 20 ปีแล้ว ยังไม่เคยตรวจสุขภาพอย่างที่เธอตรวจเลย”


ดารา  : “ก็เธอเป็นหมอนี่นะ ไม่ต้องตรวจก็ได้ เพราะเป็นอะไรก็พอรู้อยู่แล้ว”
กัลยา  : “ก็จริงอยู่หรอก แต่ไม่ใช่เป็นหมอแล้วจะต้องรู้อะไรหมดทุกอย่างหรอกนะ เพราะของบางอย่างฉันก็ตรวจตัวเองไม่ได้ ดูง่ายๆ เช่น ตรวจหูตัวเองฉันก็ตรวจไม่ได้ แล้วฉันก็ไม่ได้ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจอะไรต่ออะไรดะไปหมด อันที่จริงฉันก็ไม่รู้ว่าเลือดและปัสสาวะของฉันมีอะไรผิดปกติไหม แต่ตราบใดที่ฉันรู้สึกปกติดี หรือบางทีมีอาการผิดปกติบ้างฉันก็ปฏิบัติรักษาตัวดูสักพัก มันก็หายเป็นปกติ เพราะฉะนั้นฉันคงไม่มีอะไรผิดปกติแน่ ขืนแส่ไปตรวจ อาจเจอค่าผิดปกติจอมปลอมเข้า ต้องชอกช้ำบักโกรกเหมือนเธอคราวนั้นก็ได้”


ดารา  : “จริงอย่างเธอว่า คราวนั้นฉันเกือบจะเป็นบ้าไปเลย อ้ายการตรวจพวกนี้ ทำให้คนเป็นโรคประสาท ฉันไม่ได้เป็นมะเร็งสักนิด แต่กลับเป็น “โรคมะเร็งขึ้นสมอง” กลัวจนขี้ขึ้นสมองไปตั้งเกือบเดือนฉันมันบ้าไปเอง ฉันควรจะนึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงว่าไว้ในกาลามสูตรว่า

อย่าได้เชื่อถือ โดยการบอกเล่า (การฟัง) ต่อๆ กันมา
อย่าได้เชื่อถือ โดยการยึดถือปฏิบัติตามๆ กันมา
อย่าได้เชื่อถือ โดยการเล่าลือ
อย่าได้เชื่อถือ โดยการอ้างคัมภีร์หรือตำรา
อย่าได้เชื่อถือ โดยการคิดเอาเอง
…………………………………………………..”
ฉันไปเชื่อบ้าๆ บอๆ ทั้งที่โดนตรวจสุขภาพมาตั้งหลายครั้ง น่าจะได้บทเรียนจากผลร้ายของการตรวจสุขภาพ แต่ฉันก็มัว แต่เชื่อตำราและคำโฆษณาชวนเชื่อของพวกแพทย์ที่ต้องการแต่จะกอบโกยเงินจากฉันขอบใจเธอมากนะ เธอทำให้ฉันตาสว่างขึ้น มองเห็นธรรมบ้างแล้วละ”


กัลยา  : “เออ ไม่เป็นไรหรอก เธอเป็นเพื่อนฉัน ฉันก็พยายามช่วยให้เธอได้เข้าใจให้ถูกต้องในสิ่งที่เธอเข้าใจผิด นี่ถ้าเธอไม่เคยผ่านประสบการณ์เช่นนั้นมาก่อน เธออาจจะไม่เชื่อฉันก็ได ในตอนแรก ๆ เธอยังโกรธฉันเลยใช่ไหมล่ะ”

ดารา  :  “โธ่ ฉันขอโทษทีเถิด ฉันมันถูกล้างสมองให้เชื่อถือการตรวจสุขภาพมานาน พอมีใครมาพูดค้านฉันก็เลยโกรธ แต่เธอคงไม่ถือโทษฉันนะ เอาละ ฉันกวนเธอมามากแล้ว เธอจะไม่ปิดร้านแล้วออกไปกินข้าวกับฉันสักมื้อหรือ นี่มันก็ดึกมากแล้ว ฉันกวนเธอจนเธอหายหิวแล้วละซี”

 

ข้อมูลสื่อ

29-002
นิตยสารหมอชาวบ้าน 29
กันยายน 2524
อื่น ๆ
ศ.นพ.สันต์ หัตถีรัตน์