• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

มาทำความเข้าใจกับเรื่องท้องผูก

 

 
 

ในกระบวนโรคหรือความไม่สบายทางกายต่างๆ ที่เกิดแก่คนเรานี้ โรคหรืออาการท้องผูกมาเป็นที่หนึ่ง ประเทศไทยสั่งยามาจากต่างประเทศปีละ 120 ตัน นับว่ามากกว่าการใช้ยาหลายชนิดทีเดียว คนโดยมากได้รับการบอกเล่ามาหรือเชื่อกันมาอย่างผิดๆ เกี่ยวกับเรื่องท้องผูก ตอนนี้ได้เวลาที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้กระจ่างเสียที


ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจกันเสียก่อนว่า ลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นที่พักของกากอาหาร อันเป็นส่วนเหลือมาจากย่อยนั้น จะให้มันสะอาดสดใสอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเป็นเช่นนั้นด้วย การที่ลำไส้ใหญ่สามารถขับอุจจาระออกมาได้เป็นบางครั้งบางคราวก็นับว่าเพียงพอแล้ว การสวนล้างหรือการยาขับถ่ายเป็นเรื่องเกินความจำเป็น เป็นบ่อเกิดของโรคท้องผูกและโรคลำไส้อักเสบอื่นๆ

เรื่องที่สองก็คือ การมีสุขภาพดีไม่ได้หมายความว่าต้องถ่ายอุจจาระทุกวัน คนที่มีสุขภาพปกติมากมายที่ถ่ายสองวันหรือสามวันครั้ง ความปกติของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนถ่ายวันละสองครั้งก็เป็นปกติได้ ดังนั้นเราจึงต้องดูเอาเองว่าตัวเรานั้นปกติเป้นอย่างไร แม้ในคนเดียวกัน ต่างเวลา ต่างสถานที่ก็ทำให้การถ่ายอุจจาระผิดไปได้ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่ามีสุขภาพผิดปกติ


คนโดยทั่วไปคิดว่าตัวเองท้องผูกทั้งที่ไม่ได้เป็น การดูว่าใครท้องผูกหรือไม่ ไม่ได้ดูตามจำนวนครั้งที่ถ่ายอุจจาระ แต่ดูว่าเมื่อเขาถ่าย ถ่ายได้สบาย ถ่ายแล้วก็รู้สึกโล่งสบาย ถ้าถ่ายลำบากต้องนั่งนานๆ ปวดตุ่ยๆ อยู่ตลอดเวลา ถ่ายออกเพียงเล็กน้อย เป็นก้อนแข็งหรือต้องเบ่งจนหน้าดำหน้าแดงละก็ถือว่าท้องผูกได้


โรคท้องผูกมีจริง โดยเฉพาะโรคท้องผูกจากนิสัย หรือว่าเป็นอาการจากสาเหตุหรือโรคอื่น เช่น เป็นแผล หรือมีรอยฉีกที่ทวารหนัก, เป็นริดสีดวง, เป็นลำไส้ใหญ่โป่ง (ซึ่งไม่พบในคนไทย) หรืออาจเป็นเนื้องอก, มะเร็งก็ได้


คนที่มีอาการไม่ถ่ายอุจจาระหรือท้องผูกเป็นบางครั้งบางคราว เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นแก่ทุกคนหรือเกือบทุกคน บางคนคงเคยประสบกับตัวเอง เช่น เวลาเดินทางไปต่างถิ่น จะเป็นทัศนาจรหรือธุรกิจก็ตาม ทำให้ท้องผูกไปหลายวัน เมื่ออยู่ไปนานๆ หรือกลับที่เดิม ท้องผูกนั้นก็หายไป แต่คนมักจะกังวลเกินไปหรือไปใช้ยาถ่าย ความไม่สมดุลย์ก็เกิดขึ้น และอาจติดต่อกันไปไม่รู้จบ เรื่องจริงที่ผมขอยกตัวอย่างมาให้ฟังเกิดกับตัวผมเอง


เมื่อ พ.ศ. 2503 ผมไปเรียนที่ต่างประเทศ ทั้งอาหาร, ดินฟ้าอากาศและสถานที่เปลี่ยนไปหมด ผมท้องผูกเสมอ ที่จริงก็ไม่เดือดร้อนอะไร คงมีอาการอึดอัดบ้าง แต่ความที่ไม่รู้จึงกินยาถ่าย ซึ่งที่ดีที่สุดและหาง่ายที่สุดสำหรับผมคือดีเกลือ ครั้งแรกกินช้อนโต๊ะเดียวก็ถ่าย นานๆ เข้าต้องกินครึ่งแก้ว (แก้วโอเลี้ยงนี่แหละ) เนื่องจากดีเกลือทั้งขมทั้งขื่น ผมต้องใส่สายยางสวนท้องและกรอกดีเกลือลงไป ผมทำเช่นนี้ติดต่อกันเป็นปีๆ เกือบทุก 2-3 วัน เพราะถ้าไม่ใช้ดีเกลือก็ไม่ถ่าย


พ.ศ. 2506 ผมกลับมาเมืองไทยแล้วโรคท้องผูกก็ยังอยู่ ผมก็ใช้ดีเกลือบ้าง สวนบ้าง สลับกันมาเสมอ วันหนึ่งพี่ผมเห็นเข้า พี่ผมเขาเป็นหมอเหมือนกัน ถามว่าผมทำอะไร เพราะผมกำลังเอาสายยางสวนกระเพาะใส่ให้กับตัวเองสำหรับกินยาถ่าย ซึ่งผมมาคิดดูเดี๋ยวนี้แล้ว คงเป็นภาพตลกสิ้นดี เพราะการใส่ยางสวนกระเพาะไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ แต่ผมทำจนชิน ผมก็ตอบพี่ผมไปว่าจะกินดีเกลือ แต่มันขมจึงต้องกรอกทางสายยาง และบอกต่อไปว่า อย่าได้ห่วงเลย ผมทำมานานแล้วและก็สบายดี


พี่ผมตกใจ บอกว่าตายละ ถ้าทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนตลอดชีวิตกว่าจะตายคงต้องกินดีเกลือเป็นเกวียน”

ผมมาคิดได้ เห็นจะจริงของแกคงต้องกินเป็นเกวียน หรือหลายเกวียน, เลยเลิก ตอนแรกไม่ถ่ายอยู่ตั้งอาทิตย์อึดอัดเป็นบ้าเลย แต่คิดว่าเมื่อก้นเราไม่ตันมันต้องถ่ายออกมาเองได้แน่ๆ และมันก็ถ่ายออกมาเองจริงๆ ออกมามากเสียด้วย ตั้งแต่บัดนั้นมาจนบัดนี้เป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้ว ผมไม่เคยกินยาถ่ายไม่ว่าชนิดใดๆ เลยสักครั้งเดียว ถามว่าท้องปกติดีหรือ ตอบว่าปกติ ถ้าถามว่างั้นคงถ่ายทุกวันซิ ตอบว่าไม่แน่ ที่ 2-3 วันก็มี แต่ไม่บ่อยวันละ 2-3 ครั้งก็มี แต่ก็ไม่บ่อยอีกนั่นแหละ และผมมารู้ว่าการกินอาหารที่สมดุลย์ การออกกำลังกาย และการทำให้ใจสบายมีส่วนช่วยให้ท้องทำงานเป็นปกติได้มาก

 

  


ทำไมคนจึงกินยาถ่ายกันมากเกินความจำเป็น คำตอบก็คือ มีความเชื่ออยู่ว่าถ้าอุจจาระหมักหมมอยู่ในลำไส้นานจะเกิดเป็นพิษ และซึมเข้าไปในร่างกายทำให้ไม่สบายไปต่างๆ หลายคนเชื่อลมๆ แล้งๆ ว่า อาจทำให้เป็นลมบ้าหมู, ปวดตามข้อ และเสียสติ


คนเชื่อเช่นนี้เพราะรู้มาว่าอุจจาระเป็นกากเป็นสิ่งปฏิกูล, เป็นของเหม็น, มีเชื้อแบคทีเรียมากมาย ดังนั้นถ้าขังสิ่งดังกล่าวไว้ในตัวก็จะเกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นท้องผูกเรื้อรังหรือชั่วคราวอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ใช่พิษจากอุจจาระแน่ ที่จริงไม่เคยมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าความเชื่อดังกล่าวเป็นความจริง


แม้ว่าลำไส้ใหญ่จะมีแบคทีเรียมากมาย แต่จุลชีพเหล่านั้นไม่ให้โทษอะไร ตรงข้ามกลับให้คุณเสียอีก
เช่น ช่วยทำลายเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ช่วยย่อยกากอาหารให้ถ่ายสะดวกมากขึ้น เป็นต้น อีกประการหนึ่งอุจจาระที่ค้างในลำไส้ใหญ่นานๆ จะแห้ง แบคทีเรียมักเจริญได้น้อย การกินยาถ่ายหรือการสวนล้างเสียอีกทีทำให้แบคทีเรียเจริญได้มากขึ้น มีนายแพทย์ผู้ชำนาญโรคทางเดินอาหารผู้หนึ่งชื่อ วอลเตอร์ ซี อาลวาเรซ กล่าวไว้ พอสรุปได้ว่า “ผู้ป่วยปลอดภัยเมื่อท้องผูกมากกว่าท้องเดิน”


ศาสตราจารย์สมาน มันตาภรณ์ เคยเขียนเล่าไว้ในบทความเรื่อง “โรคของลำไส้ใหญ่”ว่า มีพระราชินีพระองค์หนึ่งของอังกฤษ ทรงมีอาการท้องผูกไม่ลงพระบังคนหนักครั้งหนึ่งเป็นเดือนวันไหนลงพระคนหนักก็จะมีการเลี้ยงฉลองกันอย่างเอิกเกริก พระองค์ประชวรด้วยโรคลำไส้ชนิดหนึ่งซึ่งทำให้มีอาการท้องผูก แต่พระองค์ทรงเกษมสำราญดี แม้ว่าไม่ถ่ายเลยติดต่อกันเป็นเดือน เรื่องนี้น่าจะช่วยให้ความเชื่อเรื่องพิษของอุจจาระที่ค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่หมดไป


แต่ทำไมปวดหัว, อึดอัด ซึ่งมักจะเป็นอาการที่กล่าวถึงเสมอในบรรดาคนท้องผูกทั้งหลาย สาเหตุของการปวดหัวมีหลายประการ เคยมีผู้พิสูจน์ว่า การที่ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายถูกดันให้โป่งก็ปวดหัวได้ ไม่ว่าของที่ค้างอยู่ในลำไส้ส่วนนั้นจะเป็นอุจจาระหรือแม้แต่สำลีก็ทำให้ปวดหัวได้ แต่เป็นส่วนน้อย, ส่วนใหญ่เกิดจากจิตใจ เพราะถูกสั่งสอนหรือพูดกรอกหูมาตั้งแต่เล็ก เรื่องท้องผูกไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ จนกระทั่งความรู้สึกทั้งหลายฝังหัวและเมื่อท้องผูกก็มีอาการไปต่างๆ นานา


ที่สำคัญ คือ ควรต้องเข้าใจกันเสียตั้งแต่บัดนี้เลยว่า ลำพังแต่ท้องผูกนั้น ไม่ทำให้เกิดโรคอะไรเลย ถ้าเป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวก็ไม่ควรไปกังวลกับมัน ธรรมชาติจะจัดการเองและมันต้องออกมาได้แน่ๆ

คนที่ท้องผูกเรื้อรังส่วนใหญ่เป็นสาเหตุภายนอกทั้งนั้น เช่น กินอาหารไม่สมดุลย์, ขี้เกียจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขี้เกียจไปส้วมหรือไม่มีเวลาไปส้วม ผัดเมื่อนั่นเมื่อนี้ พอถึงเวลาไปเข้าจริงๆ ก็ถ่ายไม่ออก
บางคนเป็นแผลรอยฉีกที่ก้นหรือเป็นริดสีดวง เวลาถ่ายแล้วเจ็บปวดจึงไม่อยากเข้าส้วม เมื่อทิ้งไว้หลายวันอุจจาระแข็งขึ้น ถ่ายก็ยากขึ้น และเมื่อถ้าเข้าจริงๆ ก็เจ็บปวดมากขึ้น พวกนี้แหละที่หันไปพึ่งยาถ่าย เมื่อใช้แล้วก็เลิกไม่ได้ บางคนมีสาเหตุภายนอกร่างกาย เช่น เป็นเพราะส้วมสกปรก, สถานที่อึดอัด หรือไม่น่าเข้าด้วยประการต่างๆ


แล้วจะรักษากันอย่างไร
ต้องขอย้ำอีกทีว่า อาการท้องผูกหรือการไม่ถ่ายอุจจาระสักวันสองวันที่นานๆ เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง เช่น เดือนละครั้งสองครั้งเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปยุ่งกับมันจะดีที่สุด โดยมากจะถ่ายออกมาเองภายในสามวัน แต่ถ้าอึดอัดไม่สบายตัวประการใดก็ตาม การใช้ผลไม้ เช่น มะขาม มะละกอ เม็ดแมงลัก กล้วยน้ำว้า จะช่วยให้ถ่ายได้ง่ายขึ้น หรือการใช้ยาระบายเป็นบางครั้งอาจได้ผล เช่น มิลค์ ออฟ แมกนีเซีย สัก 1 หรือ 2 ช้อนโต๊ะ การกิน “เกลือผลไม้” (fruit salts) ซึ่งโดยมากก็ได้แก่ โซเดียมฟอสเฟต, อาลคา เซลเซอร์, หรืออีโนก็ได้ หรืออาจจะสวนอุจจาระด้วยน้ำสบู่, น้ำเกลือ, หรือน้ำยาผสมเสร็จก็ได้ การใช้อย่างใดสุดแต่ความสะดวกของแต่ละคน แต่ไม่ควรทำบ่อย ไม่ทำเสียเลยแหละดี เพราะรู้แน่ๆ ว่ามันต้องออกมาเอง


คนที่ท้องผูกเสมอหรือท้องผูกประจำควรได้รับการตรวจจากแพทย์ที่มีเวลา (ที่จริงอยากจะใช้คำว่าแพทย์ที่มีความสามารถ แต่ไม่ค่อยตรงทีเดียวเพราะแพทย์ที่มีความสามารถหลายคนไม่มีเวลาที่จะตรวจผู้ป่วยและที่จริงแพทย์ทุกคนก็มีความสามารถทั้งนั้น) ถ้ามีสาเหตุทางกายควรได้รับการรักษาตามสาเหตุนั้น เช่น เป็นริดสีดวง เป็นแผลที่ทวารหนัก หรือแม้แต่มะเร็ง ถ้าเป็นโรคทางจิต ซึ่งเคยปรากฏว่ามีได้เหมือนกัน ควรได้รับการรักษาจากจิตแพทย์


ถ้าตรวจร่างกายแล้วไม่พบว่ามีโรคทั้งทางกายทางจิต อาการท้องผูกก็คงเนื่องมาจากนิสัย ความเคยชิน หรือจากการรักษาที่ไม่ถูกต้องมาก่อน
ในรายที่เป็นไม่มาก เช่น 1-2 วันถ่ายครั้งหนึ่ง ไม่มีอาการอื่นนอกจากรู้สึกอึดอัด ไม่สบาย รำคาญ ก็ไม่ต้องรักษาอะไรมาก ทำไม่รู้ไม่ชี้เสียมันก็หายไปเองได้

ประการแรก ในการรักษาก็คือ ต้องเลิกใช้ยาถ่ายที่เคยใช้อยู่เป็นประจำไม่ว่าจะเป็นชนิดใดเสียก่อน เพราะอวัยวะก็เหมือนสิ่งมีชีวิตทั่วไป ถ้ามันเคยถูกใช้ยากระตุ้นเพื่อให้การทำงานมันก็จะชินกับการถูกกระตุ้นด้วยยา ถ้าไม่ใช้ยา ก็ไม่ยอมทำงาน ลองเลิกใช้ยาเถิด ท่านจะประหลาดใจมันจะถ่ายได้เอง ไม่เกิน 2-3 วัน แต่จะต้องเลิกความเชื่อที่ว่าการมีสุขภาพดีต้องถ่ายทุกวันเสียก่อน


ผู้ที่เคยใช้ยาถ่ายมาเป็นแรมปีและประกอบกับอายุมาก การเลิกทันทีอาจไม่ได้ ต้องค่อยทำค่อยไป ตัวอย่างของผมเองนั้นผิดกัน เพราะตอนนั้นผมยังหนุ่ม ร่างกายปรับตัวได้ง่าย โรคภัยก็ไม่มี เลิกทันทีจึงทำได้ ถ้าเคยใช้ยาถ่าย ทุก 3 วัน ควรยืดไปทุก 1 สัปดาห์ ระหว่างนั้น ถาอึดอัดมากไม่ถ่ายจริงๆ และรู้สึกไม่สบายอาจใช้น้ำมันพาราฟฟินหรืออีมัลชั่น ลิควิด พาราฟฟิน 1-2 ช้อนโต๊ะ จะทำให้อุจจาระอ่อน หล่อลื่นออกมาได้ง่าย ตอมาก็เลิกยาถ่ายแรงๆ เสียเหลือแต่ลิควิด พาราฟฟิน สักเดือนหนึ่ง ก็เลิกลิควิด พาราฟฟิน ได้เลย

 

  


ต่อมาก็ควรหัดถ่าย การหัดถ่ายนี้ทำได้จริงเหมือนการหัดพูด หัดเดิน สำหรับคนไข้ไม่เคยพูดไม่เคยเดินนานๆ เหมือนกัน คนเราจะรู้สึกอยากถ่ายเมื่อมีอุจจาระมาอยู่ที่ลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง คนที่ใช้ยาถ่ายนานจะหมดความรู้สึกนี้ไปหรือรู้สึกน้อยลง พอเลิกใหม่ๆ อาจต้องหัดให้เกิดความรู้สึก โดยมากหลังกินอาหารเช้าจะรู้สึกอยากถ่าย พอรู้สึกก็ควรจะไปส้วมเลย นั่งถ่ายให้สบายอย่าผัดไปเมื่อนั่นเมื่อนี่ เพราะความรู้สึกดังกล่าวอาจหมดไปได้เร็วในตอนเริ่มแรก และอุจจาระจะแข็งจนถ่ายยาก เข้าวัฏจักรเดิมอีก ควรใช้เวลาพอสมควร อย่ารีบร้อน บางคนชอบอ่านหนังสือในห้องส้วม บางคนไม่ชอบต้องเลือกทำอย่างที่ถูกกับนิสัยของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน


ส้วมแม้ว่าจะไม่สวยหรูได้ทุกแห่ง แต่สามารถรักษาให้สะอาดได้เหมือนกันทุกแห่ง ส้วมที่สะอาดมีส่วนช่วยในการถ่ายอย่างปกติได้มาก คนไทยนั่งยองๆ ถ่าย ต้นขาจะกดหน้าท้อง ทำให้กล้ามเนื้อท้องทำงานได้ดี ถ่ายได้ง่ายกว่านั่งส้วมโถแบบฝรั่ง แต่คนที่มีส้วมโถหรือชินกับส้วมโถก็สามารถใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องช่วยในการถ่ายได้ดีเหมือนกัน โดยหาที่รองเท้าหรือม้ารองเท้าสำหรับวางเท้าให้สูงจากพื้นสัก 15-20 เซนติเมตร จะรู้สึกว่าถ่ายสบายขึ้น

ถ้าถ่ายไม่ออกไม่ควรเบ่ง เพราะยิ่งเบ่งยิ่งถ่ายไม่ออก เนื่องจากจะมีความดันสูงลงทางส่วนล่าง ผนังทวารหนักจะบวม รูทวารยิ่งตีบแคบ เบ่งมากๆ จะเกิดการฉีกขาด ผนังทวารหนักปลิ้น หรือเกิดริดสีดวงได้ นอกจากนั้นในคนอายุมาก ความดันเลือดอาจขึ้นสูงเวลาเบ่ง อาจเกิดโรคแทรกได้หลายอย่าง เช่นเลือดออกในสมอง เป็นต้น


การออกกำลังกายเป็นของดีเสมอ ช่วยรักษาท้องผูกทั้งทางตรงทางอ้อมกล่าวคือ ทำให้ลำไส้ทำงานดีขึ้น คลายความตรึงเครียด เลือดลมเดินสะดวกและเกิดความเบิกบาน ร่างกายของคนไม่ได้สร้างมาสำหรับนั่งโต๊ะทั้งวัน ดังนั้นถ้าจำเป็นด้วยการานทำให้ต้องนั่งโต๊ะ ก็ต้องหาเวลาออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อทุกส่วนได้ทำงาน การนวด จะเป็นแผนปัจจุบันหรือแผนโบราณไม่ได้ช่วยรักษาโรคท้องผูก หรือไม่สามารถทดแทนการออกกำลังได้

การดื่มน้ำมากๆ ช่วยทำให้มีสุขภาพดี แต่อาจไม่ได้แก้อาการท้องผูกโดยตรง น้ำผลไม้ช่วยให้ลำไส้ทำงานดีขึ้นจะกินแต่น้ำคั้นหรือกินทั้งผลก็สุดแต่ความพอใจ


อาการกินมีความสำคัญในการรักษาโรคท้องผูกมาก เท่าๆกับ การมีชีวิตดีและอยู่อย่างสุขสำราญ ควรเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์
รสไม่จัด อย่ากินอาหารรสจัดตามใจปาก หรือตามใจท้องคือกินจนล้นกระเพาะ คนส่วนใหญ่ถ้ากินอาหารมีกากจะทำให้ถ่ายง่ายกว่าอาหารไม่มีกาก คนส่วนน้อยซึ่งมีเหมือนกัน ยิ่งกินอาหารมีกากท้องยิ่งผูก อาหารมีกากได้แก่ ผักเกือบทุกชนิด และผลไม้หลายชนิด ควรจะกินผักและผลไม้ทุกวัน อาหารไม่มีกากหรือกากน้อยได้แก่ นม เนื้อ เนย แป้งและข้าวขาว ข้าวที่ยังไม่ปลอกหรือข้าวซ้อมมือที่เรียกว่าข้าวกล้องมีกากพอสมควร แก้ท้องผูกในคนส่วนใหญ่ได้ดี

ควรเลือกชนิดอาหารและผลไม้ให้เหมาะกับตน บางคนกินแตงโม มะละกอแล้วท้องถ่ายสบาย บางคนกินแล้วกลับท้องผูก ผลไม้บางชนิดหลายคนกินแล้วท้องอืด ท้องเฟ้อ เช่น พุทรา ฝรั่ง สับปะรด บางคนกินแล้วดีจึงควรต้องเลือกกินชนิดที่ถูกโรคกับตัว


การกินน้ำผสมเกลือ ได้ผลในบางคน น้ำเกลือกินยาก กินมากๆ อาจคลื่นไส้ อาเจียน อาจบีบมะนาวลงไปสักหน่อยก็จะกินได้ง่ายขึ้น บางคนกินน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นแก้วหนึ่งตอนตื่นมาใหม่ๆ ก็เข้าส้วมได้ถ่ายสบาย


 

ข้อมูลสื่อ

36-010
นิตยสารหมอชาวบ้าน 36
เมษายน 2525
โรคน่ารู้
รศ.นพ.เกษียร ภังคานนท์