เว็บไซต์วารสารคลินิกเปิดให้บริการแก่ทุกท่านที่สนใจในการส่งคำถามที่ท่านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเวชปฏิบัติ การใช้ยา และเรื่องราวที่น่าสนใจทางการแพทย์และเวชปฏิบัติทุกสาขาทางอินเตอร์เน็ต
เลือดกำเดาไหล
Q อยากเรียนถามสาเหตุของการมีเลือดกำเดาไหลในเด็กครับ.
หมอใหม่
A เลือดกำเดาไหล เป็นอาการที่พบได้บ่อย โดยที่ทุกคนอาจประสบเหตุการณ์นี้ได้ แต่ส่วนใหญ่มักเป็นอาการที่ไม่รุนแรงและหายเองได้ แต่ในบางครั้งอาจรุนแรงได้มาก จนทำให้เกิดปัญหาต่อระบบไหลเวียนเลือดและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้. เลือดกำเดาไหลสามารถพบได้ทุกอายุ พบได้น้อยในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี และพบบ่อยในเด็กอายุ 3-8 ปี. สาเหตุของเลือดกำเดาไหล มี 2 กลุ่มใหญ่ คือ สาเหตุ เฉพาะที่ (local causes) และสาเหตุจากโรคร่างกาย (systemic causes).
สาเหตุเฉพาะที่ ได้แก่
1. การบาดเจ็บต่อจมูก (trauma) การถู, แคะจมูก เป็นสาเหตุของเลือดกำเดาที่พบได้บ่อย อุบัติเหตุบริเวณใบหน้า ทำให้เลือดกำเดาไหล ส่วนใหญ่จากบริเวณผนังกั้นจมูก รวมทั้งหลังการผ่าตัดบริเวณจมูก, ไซนัส ก็เป็นสาเหตุได้เช่นกัน.
2. การอักเสบ (inflammation) การติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนต้น, เยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้ ทำให้มีการบวมของเยื่อบุจมูก และไซนัส ทำให้เลือดกำเดาไหลได้ ภาวะอากาศที่เย็น และความชื้นต่ำก็เป็นสาเหตุให้เลือดกำเดาไหลได้เช่นกัน เนื่องจากอุณหภูมิและความชื้นของอากาศที่เหมาะสม ขณะผ่านเข้าไปในจมูกบริเวณ posterior nasopharynx คือ 37๐ซ, ความชื้นสัมพัทธ์ร้อยละ 100, การใช้ยา topical vasoconstrictive drug เช่น oxymetazoline ก็เพิ่มโอกาสที่จะเกิดเลือดกำเดาไหลได้ง่าย. สาเหตุอื่นๆ ได้แก่ สิ่งแปลกปลอมในจมูก, การติดเชื้อวัณโรค, เชื้อรา, ปรสิต ที่ทำให้เกิดการอักเสบในจมูก.
3. เนื้องอก (tumors) เนื้องอกบริเวณจมูก, ไซนัส, โพรงหลังจมูก (nasopharynx) ทั้ง benign และ malignant เป็นสาเหตุของเลือดกำเดาไหล. ดั้งนั้น ผู้ป่วยที่มีเลือดกำเดาไหลปริมาณมาก หรือเป็นซ้ำ ควรตรวจหาว่ามีเนื้องอกหรือไม่ อาจเป็นช่วงขณะที่ผู้ป่วยกำลังรักษาเรื่องเลือดกำเดาไหล หรือภายหลังจากเลือดกำเดาหยุดไหลแล้ว ซึ่งสามารถตรวจร่างกายได้ชัดเจนขึ้น.
4. ความผิดปกติของผนังกั้นจมูก (septal deformity) septal spur และ septal deviation จะขวางลมที่ผ่านบริเวณจมูกทำให้เลือดกำเดาไหลได้ ในกรณีที่จุดเลือดออกอยู่ทางด้านหลังต่อความ ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถเห็นจุดเลือดออกได้ ทำให้หยุดเลือดได้ยาก อาจจำเป็นต้องผ่าตัดแก้ไข เช่น ผ่าตัดเอา spur ออก หรือผ่าตัด septoplasty.
สาเหตุจากโรคร่างกาย ได้แก่
1. Blood dyscracias ในผู้ป่วยที่มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เลือดกำเดาไหลมักมีปริมาณมากและหยุดยาก เป็นปัญหาในการรักษามาก ได้แก่ ฮีโมฟิเลีย, Von Willebrand's disease, thrombocytopenia, ผู้ป่วยที่ได้รับยา anticoagulants, โรคตับเรื้อรังซึ่งทำให้การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ.
2. ความดันเลือดสูง ซึ่งทำให้ผนังของหลอดเลือดแข็ง, เปราะ เกิดเลือดกำเดาไหล.
3. Hereditary hemorrhagic telangiectasia (Osler-Weber-Rendu disease) เป็นโรคทางพันธุกรรม, autosomal dominant ซึ่งมีความผิดปกติของหลอดเลือดที่ขาด contractile element ที่ผนังของหลอดเลือด เกิดได้ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นเยื่อบุ (mucosal surface) พบได้น้อย อุบัติการณ์ 1-2 ต่อประชากร 100,000 คน ผู้ป่วยมากกว่าร้อยละ 90 จะเกิดเลือดกำเดาไหลซ้ำๆ ช่วงอายุประมาณ 12 ปี.
พิบูล วชิรลาภไพฑูรย์ พ.บ.
โสต ศอ นาสิกแพทย์
สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
ความรู้เรื่องแว่น
Q เวลาไปเลือกแว่นตามร้านแว่น มีแนวทางในการเลือกแว่นที่ดีที่สุดอย่างไร และอยากทราบวิธีการดูแลรักษาแว่นตา.
สมาชิก
A เลนส์แว่นตาที่มีการเคลือบสารป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต (หรือแสง UV) มีประโยชน์คือป้องกันแสง UV ซึ่งมีอยู่ในแสงสว่างทั่วไปเข้าตามากเกินไป ซึ่งอาจมีผลเสียต่อกระจกตา เลนส์ตาทำให้เป็นต้อกระจกเร็วขึ้น หรือเกิดจอประสาทตาเสื่อมได้เร็วขึ้น ถ้าเลือกได้ควรใช้เลนส์แว่นแบบเคลือบกัน UV เพราะราคาไม่แพง และเป็นประโยชน์กับดวงตา แต่การทดสอบว่าเลนส์แว่นตาป้องกัน UV ได้มากน้อย เพียงใด ต้องทดสอบโดยการใช้เครื่องมือพิเศษทดสอบ เท่านั้นจึงจะทราบได้.
สำหรับการเคลือบมัลติโค้ท (multicoat) เพื่อประโยชน์ในการป้องกันแสงสะท้อนที่เลนส์แว่นตามีประโยชน์ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น แต่อาจทำให้เลนส์แว่นมีราคาสูงขึ้น เหมาะสำหรับผู้ใช้แว่นที่ ต้องอยู่กับแสงสว่างมากเช่น ใช้คอมพิวเตอร์หรือขับรถในเวลากลางคืน เป็นต้น.
การย้อมสีเลนส์แว่นตา มีได้หลายสี เช่น สีชา สีเทา สีชมพู สีเหลืองและสีเขียว ประโยชน์นอกจากเพื่อความสวยงามแล้ว ยังช่วยลดความเข้มของแสงที่เข้าตา แต่ไม่สัมพันธ์กับการป้องกันแสง UV เข้าตา ราคาไม่แพงมาก และอาจมีประโยชน์ในบางกรณีเช่น เลนส์แว่นย้อมสีเหลืองจะทำให้การมองเห็นภาพในเวลากลางคืนชัดเจนขึ้น เป็นต้น.
สำหรับแว่นกันแดด มีประโยชน์ช่วยในการ ลดความเข้มของแสง ทำให้สบายตามากขึ้น แต่ความเข้มของสีแว่นกันแดดไม่ได้แสดงว่ากันแสง UV ได้มากขึ้น. นอกจากนั้นยังไม่ควรเลือกแว่นกันแดดที่สีมืดเกินไป เพราะอาจทำให้การมองเห็นลดลง และทำให้ม่านตาขยายรับแสง UV เข้าไปเป็นอันตรายต่อดวงตาได้มากขึ้นอีกด้วย
การดูแลรักษาแว่น
1. ควรทำความสะอาดเลนส์แว่นตาด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ แล้วเช็ดด้วยผ้านุ่มๆ เป็นประจำทุกวัน ไม่ใช้สารเคมีหรือแอลกอฮอล์เช็ดแว่น เพราะอาจทำอันตรายต่อเลนส์แว่นหรือสารที่เคลือบอยู่ได้.
2. การใส่และถอดแว่น ต้องจับขาแว่นด้วยมือทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันขาแว่นหักหรือเบี้ยว และระวังการนอนหรือนั่งทับแว่น เพราะอาจทำให้แว่นบิดเบี้ยวหรือหักได้.
3. การวางแว่น ห้ามเอาส่วนเลนส์แว่นคว่ำลง เพราะจะทำให้เป็นรอยขีดข่วนได้ ควรเก็บแว่นในซองแว่น และเมื่อแว่นมีรอยขีดข่วนมาก หรือเริ่มมองเห็นภาพไม่ชัด ควรไปวัดสายตาเพื่อเปลี่ยนแว่นตาใหม่.
ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ พ.บ.
จักษุแพทย์ คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ยาระบาย
Q การใช้ยาระบายติดต่อกันนานๆ จะมีอันตรายหรือไม่
ศุภชัย กิจศิริไพบูลย์
A ฤทธิ์ของยาระบายคือ ตัวยาจะไปกระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้มีการเคลื่อนไหวบีบตัวและเกิดการขับถ่าย ส่งผลต่อสมดุลปริมาณน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย โดยทั่วไปจะใช้ยาระบายในกรณีที่มีความจำเป็นและช่วงสั้นๆ เท่านั้น เช่น ท้องผูกเรื้อรัง การตรวจลำไส้เพื่อหาความผิดปกติ เป็นต้น. ปัจจุบันนิยมนำยาระบายมาใช้เพื่อผลในการลดน้ำหนัก โดยกินต่อเนื่องกันทุกวันเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งนอกจากไม่ได้ผลแล้วยังส่งผลเสียต่อร่างกาย จะเกิดภาวะลำไส้เคยชินต่อยาระบายและลำไส้ทำงานไม่ปกติ ร่างกายไม่สามารถขับถ่ายได้เอง นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะท้องเสียเรื้อรัง ปวดท้อง ระดับเกลือแร่เสียสมดุล ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เวียนศีรษะ และทำให้เกิดอาการท้องผูกซ้ำซาก.
กมลวรรณ พ่อค้า ภ.บ.
เภสัชกร สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
- อ่าน 11,125 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้