ต้อกระจก คือ ภาวะเลนส์แก้วตามีความขุ่นเกิดขึ้น ส่วนมากแล้วเกิดจากความเสื่อมตามธรรมชาติ เมื่ออายุมากขึ้นความใสของเลนส์แก้วตาจะลดลงทำให้การมองเห็นลดลงเรื่อยๆ โดยไม่มีอาการผิดปกติอย่างอื่น. การรักษาต้อกระจกในปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายได้ การรักษาจึงต้องใช้การผ่าตัดเอาเลนส์แก้วตาที่ขุ่นออกไป โดยการผ่าตัดอาจใช้วิธีแบบเปิดแผลกว้างแบบดั้งเดิมหรือการผ่าตัดโดยใช้เครื่องสลายต้อกระจกอัลตราซาวนด์ (phacoemulsification) ซึ่งแผลผ่าตัดจะเล็กกว่า แล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนเลนส์แก้วตาเดิม.
เลนส์แก้วตาเทียมเริ่มมีการคิดค้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 และได้มีการพัฒนามาเรื่อยจนถึง ปัจจุบันซึ่งประสิทธิภาพของเลนส์แก้วตาเทียมที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ดีเพียงพอที่จะสามารถใส่ในดวงตาเพื่อทดแทนเลนส์แก้วตาของผู้ป่วยต้อกระจก โดยในปัจจุบันเลนส์แก้วตาเทียมที่ใช้อยู่สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ
1. เลนส์ชนิดแข็งทำจากวัสดุพลาสติกสังเคราะห์ PMMA (polymethyl methacrylate) เป็นเลนส์แก้วตาเทียมชนิดแรกๆ ที่ได้เริ่มมีการใช้ โดยขนาดของเลนส์แก้วตาเทียมมีเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 5.0-6.5 มิลลิเมตร. เลนส์ชนิดแข็งมักใช้สำหรับการผ่าตัดต้อกระจกแบบดั้งเดิม ซึ่งแผลผ่าตัดจะมีขนาดใหญ่ ประมาณ 10-12 มิลลิเมตรและต้องใช้ไหมเย็บปิดแผลหรือถ้าเป็นการผ่าตัดโดยวิธีสลายต้อกระจกด้วยอัลตราซาวนด์ แผลผ่าตัดจะมีขนาดประมาณ 5.0-5.5 มิลลิเมตร.
2. เลนส์ชนิดนิ่มพับได้ (foldable lens) ผลิตจากอะคริลิก (acrylic) ตัวเลนส์สามารถพับครึ่งได้จึงสามารถใส่เลนส์ผ่านแผลขนาดเล็กประมาณ 2.75-3.0 มิลลิเมตร เหมาะสำหรับการผ่าตัดสลายต้อกระจกด้วยอัลตราซาวนด์ เนื่องจากแผลผ่าตัดมีขนาดเล็กมาก ทำให้ไม่จำเป็นต้องเย็บแผล ระยะการพักฟื้นและการสมานของแผลใช้เวลาน้อย ผู้ป่วยจึงสามารถใช้สายตาภายหลังการผ่าตัดได้อย่าง รวดเร็ว.
เลนส์แก้วตาเทียมชนิดนิ่มพับได้ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ ชนิดที่โฟกัสได้ระยะเดียว (monofocal) และชนิดที่โฟกัสได้หลายระยะ (multifocal) เลนส์แก้วตาเทียมชนิดที่โฟกัสได้ระยะเดียว ผู้ป่วยสามารถมองเห็นระยะไกลได้ชัดเจน แต่ไม่สามารถมองระยะกลางหรือระยะใกล้ได้ชัด จึงต้องอาศัยแว่นตาช่วยในการมองระยะใกล้ เช่น ขณะอ่านหนังสือ
เลนส์แก้วตาเทียมชนิดที่โฟกัสได้หลายระยะ (multifocal) ซึ่งเป็นวิวัฒนาการล่าสุดของเลนส์แก้วตาเทียมที่มีอยู่ในปัจจุบัน พัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาของเลนส์แก้วตาเทียมชนิดนิ่มพับได้ชนิดที่โฟกัสได้ระยะเดียว (Monofocal) โดยใช้เทคโนโลยี Apodized diffractiveในการผลิต ช่วยสร้างความสมดุลของการโฟกัสภาพในระยะใกล้และระยะไกล จึงทำให้สามารถมองเห็นได้ชัดทั้งระยะใกล้และไกล โดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นสายตา. นอกจากนี้ยังดัดแปลงผิวเลนส์ทางด้านหน้าให้เป็น Aspheric จึงช่วยเพิ่มความคมชัดของภาพในทุกสภาวะแสง.
จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันเลนส์แก้วตาเทียมได้มีการพัฒนาจนมีประสิทธิภาพดีที่ สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อนสามารถ ใช้งานทดแทนเลนส์แก้วตาธรรมชาติของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงไม่ควรกังวลใจในการผ่าตัดรักษาต้อกระจกและใส่เลนส์แก้วตาเทียม.
ไพบูลย์ บวรวัฒนดิลก พ.บ., อาจารย์
ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- อ่าน 9,485 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้