เป็นคำกล่าวที่ผมได้ประสบอยู่บ่อยครั้ง โดยผู้ที่ตั้งข้อสงสัยล้วนเป็นผู้ที่มิได้อยู่ในวิชาชีพด้านสาธารณสุข ซึ่งทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นบนเวทีอภิปรายหรือคุยกันในวงเล็กๆ ผมก็จะอธิบายถึงวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของแพทยสภา รวมทั้งนโยบายหลักของแพทยสภาในยุคปัจจุบันซึ่งเน้นการ "ยกคุณภาพชีวิตแพทย์ไทย โปร่งใส ใส่ใจประชาชน" และได้อธิบายถึงหลักการพิจารณาคดีทางจริยธรรม (เป็น 1 ใน 6 ภาระงานของแพทยสภา) ซึ่งมีวิธีดำเนินการเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่คู่กรณีอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากวิชาการทางการแพทย์นั้นมีความละเอียดอ่อนและซับซ้อนมาก จนแม้แพทย์ด้วยกันแต่ต่างสาขา ก็อาจติดตามความก้าวหน้าไม่ทัน หรือแม้แต่สาขาเดียวกันคนละคน บางครั้งก็ยังมีความเห็นต่างกัน อีกทั้งการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ก็มีผลออกมาที่โต้แย้งและขัดกันได้บ่อยครั้ง. ดังนั้นการพิจารณาคดีจริยธรรมจึงต้องใช้ที่ประชุมเป็นองค์คณะเสมอ ไม่ว่าจะเป็นอนุกรรมการจริยธรรมแพทยสภา หรืออนุกรรมการด้านวิชาการของราชวิทยาลัยต่างๆ ที่แพทยสภาขอความเห็นไป รวมทั้งต้องพิจารณาถึงวิสัยและพฤติการณ์ของแพทย์ในแต่ละสถานะด้วย เช่น การตัดสินใจของแพทย์โรงพยาบาลชุมชน จะนำมาเทียบกับของอาจารย์ในโรงเรียนแพทย์ย่อมไม่ได้ ซึ่งถ้าแพทย์มีความผิดจริงก็จะได้รับการลงโทษด้วยความยุติธรรมดังสถิติให้เห็นดังต่อไปนี้
ตารางแสดงจำนวนเรื่องที่ถูกร้องเรียน ปี 2533-2549
เนื่องจากในปัจจุบันคดีฟ้องร้องแพทย์ได้มีสถิติสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีอาญาที่แต่เดิมเกือบจะไม่มีเลย แต่ในขณะนี้จะมีให้เห็นเป็นประจำ ซึ่งสร้างความวิตกกังวลให้กับแพทย์ จนเกิดปัญหาแก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวงได้แก่ แพทย์ของกระทรวงสาธารณสุขลาออกกันอย่างมากมาย แพทย์เปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่น เช่น ผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ นักธุรกิจ หรือขายตรง. ปัญหานักศึกษาแพทย์ที่สอบเข้าได้แล้วสละสิทธิ์ในปีนี้ก็มีถึงร้อยละ 20. ปัญหาการขาดแคลนศัลยแพทย์ทั่วไป ซึ่งมีแพทย์สมัครเข้าฝึกอบรมจำนวนน้อยมาก เหลือที่ว่างเยอะแยะ ซึ่งแต่ก่อนจะแย่งกันเข้าเรียน เนื่องจากคดีที่ถูกฟ้องร้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับการผ่าตัดมีเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญที่สุดคือแพทย์อาจตื่นตระหนก จนกระทั่งจำเป็นต้องประกอบวิชาชีพโดยวิธีป้องกันตนเอง โดยการส่งตรวจพิเศษ ในกรณีที่ไม่มีความจำเป็น เช่น ปวดศีรษะ หรือปวดหลัง. ครั้งแรกก็อาจส่งตรวจ C.T., M.R.I. ไว้ก่อนเพื่อป้องกันการฟ้องร้อง และที่ผมห่วงที่สุดคือ แพทย์อาจเกิดความกลัวการถูกฟ้องในคดีอาญาจนถึงขั้นไม่กล้ารักษาผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ป่วยมารักษาที่โรงพยาบาลอำเภอ จำเป็นต้องผ่าตัดด่วน แต่มีโอกาสเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 70 แพทย์อาจกลัวติดคุกจนไม่กล้าตัดสินใจรักษา จึงส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลจังหวัด ทำให้ต้องใช้เวลาเดินทาง ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตจากการรักษาที่ล่าช้าออกไปจากการเดินทางได้.
การตัดสินคดีจริยธรรมนั้นจะต้องถูกต้องแม่นยำ ทั้งทางวิชาการ ทางการแพทย์ และความยุติธรรม แพทย์ที่ประพฤติผิดจริยธรรมจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันแพทย์ที่ดีจะต้องได้รับการคุ้มครอง เพื่อให้เกิดความมั่นใจและกล้าหาญในการปฏิบัติหน้าที่ ดูแลสุขภาพและชีวิตของประชาชน โดยขณะนี้แพทยสภากำลังปรับวิธีดำเนินการ เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น โดยให้ยังดำรงความยุติธรรมเหมือนเดิม.
อำนาจ กุสลานันท์ พ.บ. น.บ., น.บ.ท.,
ว.ว. (นิติเวชศาสตร์)
ศาสตราจารย์คลินิก
เลขาธิการแพทยสภา
- อ่าน 2,758 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้