การระบาดของโรคไข้เลือดออกจะถูกกลบด้วยซาร์สหรือไข้หวัดนก แต่การระบาดของโรคนั้นยังคงความรุนแรง. สำนักระบาดวิทยารายงานผู้ป่วยสงสัยโรคไข้เลือดออกช่วง 2 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2548 กว่า 2,700 ราย เสียชีวิต 2 ราย ซึ่งมากกว่าจำนวนผู้ป่วยในช่วงเวลาเดียวกันของปี พ.ศ. 2547 1,190 ราย หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 75.4.
ปัญหาสำคัญของการควบคุมโรคไข้เลือดออกคือการวินิจฉัยโรค เนื่องจากลักษณะอาการของผู้ป่วย ในระยะก่อนช็อกอาจคล้ายกับโรคติดเชื้อชนิดอื่นๆ คือ มีไข้สูงระบุไม่ได้ว่าติดเชื้อไวรัสเดงกีหรือไม่ ผู้ป่วยบางรายชะล่าใจคิดว่าเป็นอาการไข้ธรรมดา กว่าจะ ได้รับการดูแลจากแพทย์ก็อาจล่าช้าไม่ทันท่วงที.
วิธีการตรวจวินิจฉัยคือ มุ่งตรวจภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น ซึ่งต้องรอเวลาระยะหนึ่ง ทำให้การรักษาล่าช้าไม่ทันกาล.
นอกจากนี้ การเจาะเลือดเพื่อตรวจวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกนั้น ในบางกรณีไม่สามารถกระทำได้ด้วยการเจาะเลือดเพียงครั้งเดียว และในบางกรณีเมื่อแพทย์ผู้ดูแลตรวจหาภูมิต้านทานไวรัสเดงกีไม่พบในระยะที่เด็กมีไข้ก็ไม่สามารถให้การวินิจฉัยอย่างมั่นใจได้. ผลที่ตามมาคือไม่สามารถแจ้งผู้ปกครองได้เต็มปากว่าเด็กเป็นไข้เลือดออก (เพื่อแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในการป้องกันภาวะช็อก) ทำให้มาตรการการป้องกันภาวะช็อกและอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อเดงกีไม่ได้ประสิทธิภาพสูงสุดอย่างที่ควรจะเป็น.
ดังนั้นจึงเป็นไปได้หรือไม่ว่า เราจะใช้สารคัดหลั่งส่วนอื่นๆ เช่น ปัสสาวะหรือน้ำลาย มาใช้ตรวจวินิจฉัยหาเชื้อไวรัสเดงกีหรือนำมาตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเดงกีแทนการเจาะเลือด เพื่อเพิ่มทางเลือกการตรวจโรคไข้เลือดออกในเด็กให้ง่ายขึ้น และได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วยและผู้ปกครองมากยิ่งขึ้น.
เพื่อตอบคำถามดังกล่าวจึงได้มีการพัฒนาวิธีการใหม่โดยแบ่งเป็น 2 ขั้น ดังนี้
1. พัฒนาเทคนิค PCR ในการตรวจเชื้อไวรัสเดงกีขึ้น โดยการออกแบบชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมที่เราสังเคราะห์ขึ้น เพื่อนำไปจับกับไวรัสเดงกีในเลือด ปัสสาวะ หรือน้ำลายของผู้ป่วย เพื่อให้เครื่อง PCR สามารถทำการขยายเพิ่มปริมาณของชิ้นส่วนไวรัสและตรวจพบได้โดยง่าย ชิ้นส่วนนี้เรียกว่า ไพรเมอร์. การเลือกสังเคราะห์ไพรเมอร์พิจารณาเลือกชิ้นส่วนจากยีนเชื้อไวรัสเดงกีที่เหมือนกันทั้ง 4 สายพันธุ์ (serotype) เพื่อให้การตรวจครั้งเดียวสามารถพบเชื้อไวรัสเดงกีได้ครบหมด.
เมื่อได้ไพรเมอร์แล้วเราจึงทำการทดสอบกับเชื้อไวรัสเดงกีมาตรฐานด้วยเทคนิค PCR ซึ่งผล ออกมาเป็นบวก บ่งชี้ว่าเทคนิคการตรวจด้วย PCR ที่คิดค้นขึ้นสามารถตรวจจับเชื้อไวรัสเดงกีได้จริง.
2. อันดับต่อมากลุ่มวิจัยจึงนำเทคนิค PCR ที่พัฒนาขึ้น มาทำการตรวจสอบปัสสาวะและน้ำลายของผู้ป่วยเด็กที่คาดว่าจะเป็นไข้เลือดออก เพื่อพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพในการตรวจวินิจฉัยหาไวรัสเดงกีนั้น เทียบเท่ากับวิธีการตรวจมาตรฐานหรือไม่?.
ผลการตรวจด้วยเทคนิค PCR เชื้อไวรัสเดงกีในน้ำลายได้ผลบวกร้อยละ 50 ขณะที่ผลตรวจจากปัสสาวะได้ผลบวกสูงถึงร้อยละ 80-90 ใกล้เคียงกับผลตรวจมาตรฐานจากเลือดซึ่งได้ร้อยละ 90 มาก และเพื่อพิสูจน์ยืนยันว่าการใช้ปัสสาวะตรวจหาเชื้อไวรัสเดงกีมีความถูกต้องแม่นยำจริง เราจึงทำการเก็บปัสสาวะของเด็กที่มีอาการไข้สูง แต่ผลตรวจเลือดยืนยันสุดท้ายว่าไม่เป็นไข้เลือดออกมาทำการตรวจด้วยเทคนิค PCR เช่นเดียวกัน ซึ่งผลการตรวจปัสสาวะออกมาไม่พบเชื้อไวรัสเดงกีร้อยละ 100. ด้วยเหตุนี้กลุ่มนักวิจัยจึงเชื่อมั่นว่า การตรวจหาเชื้อไวรัสเดงกีด้วยเทคนิค PCR จากปัสสาวะมีศักยภาพในการนำมาใช้วินิจฉัยโรคใกล้เคียงกับผลที่ได้จากการเจาะเลือด.
ในผู้ป่วยเด็กโตและในผู้ใหญ่ ซึ่งเกือบทุกรายเจ็บป่วยจากการติดเชื้อซ้ำนั้น สามารถตรวจวินิจฉัยโรคได้เกือบร้อยละ 100 เช่นเดียวกับการตรวจเลือดมาตรฐาน.
อย่างไรก็ดี ขณะนี้การนำปัสสาวะมาตรวจเชื้อไวรัสเดงกีด้วยเทคนิค PCR ยังต้องใช้ระยะเวลาถึง 1 วันหรือ 1 วันครึ่ง ทางกลุ่มวิจัยจึงกำลังพัฒนาจากเทคนิค PCR ให้เป็นเรียลไทม์ PCR (ช่วงระยะเวลาที่เครื่องทำการเพิ่มปริมาณส่วนของสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสก็ทำการตรวจหาส่วนของเชื้อไวรัสที่เพิ่มขึ้นนั้นไปพร้อมๆ กันด้วย) ซึ่งจะย่นระยะเวลาในการตรวจให้เหลือเพียง 2 ชั่วโมง.
ทั้งนี้หากทำได้สำเร็จเชื่อว่าเทคนิคนี้จะสามารถนำมาใช้ตรวจหาเชื้อไวรัสเดงกีจากปัสสาวะได้แน่นอน ไม่เพียงผู้ป่วยเด็กจะมีความยินดีในการให้ตรวจมากขึ้นแล้ว. ผลการตรวจเชื้อจากปัสสาวะยังนับเป็นข้อมูลเสริมที่จะช่วยให้การวินิจฉัยมีความแม่นยำมากขึ้น ก่อให้เกิดการเฝ้าระวังเมื่อเด็กมีอาการผิดปกติ ผู้ปกครองจะสามารถนำพาเด็กมาพบแพทย์เร็วขึ้น. ผลที่ตามมาคือการดูแลรักษาและการป้องกันอัตราการเจ็บป่วยหนัก, ช็อก, หรือเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกของประชากรไทยก็จะดีขึ้น.
วันล่า กุลวิชิต พ.บ. ผู้ช่วยศาสตราจารย์, ภาควิชาอายุรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุน สนับสนุนการวิจัย (สกว.)
- อ่าน 4,392 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้