การแสดงปาฐกถาเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี โดย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
หัวข้อ "หมออาชีพ หมอมืออาชีพ"
วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ 2549 ณ ห้องประชุมเฉลิม พรมมาส อาคาร อปร
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วรพล จรูญวณิชกุล นิสิตแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ : ถอดความ
"ขอขอบคุณท่านคณบดีและแขกผู้มีเกียรติ ที่ให้เกียรติผมมาพูดกับหมอและนิสิตแพทย์ ผมมาด้วยความเต็มใจ แต่ก็คงเป็นว่า คนเราถ้ามีเรื่องอะไรที่พอจะช่วยเหลือกันได้แล้ว ก็ได้ช่วยเหลือก็นับว่าเราได้ทำหน้าที่ที่ดีให้แก่ชาติบ้านเมือง ขออนุญาตเรียนเสียก่อนว่าที่พูดในวันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวทั้งสิ้น แล้วก็ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดทางวิชาการเลย เนื้อหาส่วนใหญ่ของการพูดครั้งนี้ก็มาจากประสบการณ์เท่าที่ผมได้รับมาได้เรียนรู้มา เพราะฉะนั้นถ้าพูดวันนี้แล้วได้ประโยชน์ผมก็จะดีใจมากๆ แต่ถ้าพูดแล้วไม่ชอบไม่ถูกใจก็ต้องขอโทษด้วย อีกประการหนึ่งท่านทั้งหลายก็รู้ว่าผมเป็นทหาร มาพูดเรื่องของหมอนี่ดูชอบกลๆ ถ้าเปรียบเทียบกับภาพยนตร์ก็คงเป็นหนังตลก อย่างไรก็ตามผมเรียนท่านคณบดี เรียนท่านทั้งหลายว่าผมเต็มใจมาจริงๆโดยเฉพาะนิสิตเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวของประเทศของเราต่อไปก็จะออกมาเป็นหมอ ผมระลึกอยู่เสมอว่าเด็กหนุ่มเด็กสาวที่จะออกไปเป็นหมอเนี่ยเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในบ้านเมืองของเรานอกจากในสาขาวิชาชีพของตนแล้ว มีหมอเป็นจำนวนมากซึ่งไปทำวิชาชีพอย่างอื่นแล้วเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ดังนั้นผมถึงเต็มใจและเชื่อว่าเด็กทั้งหลายที่เป็นนิสิตอยู่นี้ที่พวกเราเป็นห่วงมาก ก็คงพอที่จะฟังที่ผมพูดได้ว่าเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์
ที่จริงคนเราเกิดมาก็ต้องเรียนหนังสือเพื่อที่จะได้ไปประกอบอาชีพ โดยเฉพาะเรียนหนังสือวิชาหมอหรือวิชาอื่นๆ ก็เหมือนกัน ทุกคนก็เรียนเพื่อไปประกอบอาชีพแล้วก็ดูแลครอบครัวดูแลพ่อแม่ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องทำ นิสิตทั้งหลายก็เลือกมาเรียนหมอ บางคนก็เลือกมาเพราะว่าอยากเป็นหมอ บางคนก็เลือกมาเพราะว่าพ่อแม่อยากให้เป็นหมอ บางคนก็เลือกมาเพราะว่าเพื่อนๆ เป็นหมอก็เลยจะเป็นหมอด้วย อะไรทำนองนั้น
ที่จริงถ้าท่านคณบดีและท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายจะอ่านหนังสือที่มีคนเขียนถึงผมบ้าง ก็น่าจะพอรู้ว่า เมื่อเด็กๆ ผมก็อยากเป็นหมอ เหมือนหมอประสพ1 เพื่อนผมเรียนจบสวนกุหลาบมาด้วยกัน หมอประสพก็ไปเป็นหมอ ผมก็อยากเป็นหมอ แต่ผมเป็นหมอไม่ได้เพราะว่าหมอสมัยก่อนเรียนหนังสือต้องใช้เงินมาก ต้องพูดตรงๆ ว่าพ่อแม่ผมจนไม่สามารถที่จะส่งผมไปเรียนหมอได้ ผมก็เลยไม่ได้เป็นหมอ ผมก็ต้องไปเรียนโรงเรียนนายร้อยซึ่งไม่เสียเงิน ก็เป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ แต่ใจจริงเมื่อเด็กๆ ผมตั้งใจมาก ว่าจะเป็นหมอเพราะว่าเมื่ออยู่บ้านนอก ผมเห็นคนที่เจ็บป่วยได้รับการรักษาพยาบาลที่ตอนนั้น เรารู้สึกว่าเราเป็นเด็กๆ เราเห็นว่าคนป่วยไม่ค่อยจะมีหมอมารักษา ผมก็คิดว่าโตขึ้นจะต้องเป็นหมอ แต่โชคไม่ดีที่ไม่ได้เป็นหมอ โชคดีที่ได้ไปเป็นนักเรียนนายร้อย ที่จริงมีหมอหลายคนที่เรียนหมอจบแล้ว ก็ไม่ได้ทำอาชีพหมอ แล้วก็ทำเก่งด้วย อย่างหมอชัยยุทธ2 เป็นต้น หมอประเสริฐ ปราสาททองโอสถ3 เมื่อสองสามวันเจอกันก็คุยกันว่าทำไมไม่ประกอบอาชีพหมอ ไปประกอบอาชีพทำเครื่องบิน ทำเรือบิน หมอประเสริฐบอกว่าอาชีพหมอผมก็ทำ ตอนนี้ผมก็เป็นเจ้าของโรงพยาบาล
พวกเราทั้งหลายครับ คณบดีครับ ที่ทำอาชีพหมอ นอกจากเพื่ออาชีพอย่างที่ผมพูดแล้ว สิ่งที่พวกหมอทั้งหลายได้ทำคุณประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง ก็ที่เห็นชัดๆ ก็คือได้ทำวิจัยโรคต่างๆ ที่หมอไทยเก่งมากๆ และก็ทำได้ดีมากๆ ด้วย ทำให้ชาติบ้านเมืองของเราเป็นที่รู้จัก ที่นับถือศรัทธา ขนาดโรงพยาบาลของหมอประเสริฐคือ โรงพยาบาลกรุงเทพแล้วก็มีคนต่างประเทศมารักษาเยอะแยะ ทำให้ผมเห็นว่าหมอของบ้านเมืองของเรามีชื่อเสียงมีเกียรติมากๆ เลย หมอกับเด็กนิสิตคงได้ยินเรื่องที่ผมพูดว่าเกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดินบ่อยๆ ที่จริงผมพูดเรื่องนี้มาทุกวัน ยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไรหรอก เพราะว่าอะไรก็ไม่ทราบ อย่าให้ผมตอบเลย ผมพยายามพูดมาตอนนี้คนก็ชักจะพูดตามกันมากแล้ว สิ่งที่ผมพูดอย่างนั้นผมอยากให้คนไทยได้สำนึกว่าอย่างน้อยสุดที่เราเกิดมาในแผ่นดินนี้ แผ่นดินซึ่งค่อนข้างจะมีทรัพยากรธรรมชาติมาก และก็เป็นแผ่นดินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นพระประมุข ซึ่งทำให้แผ่นดินของเรามีความสุข มีความสงบ ร่มเย็น เป็นสิ่งที่หาได้ไม่ง่ายนักในโลกนี้ ผมก็เลยอยากให้คนไทยรู้จักตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน มีคนมาถามผมว่าแล้วจะให้เขาทำยังไงถึงเรียกว่าตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ผมก็บอกว่าให้เป็นคนดีก็แล้วกัน เป็นคนดีก็ใช้ได้แล้ว ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ก็แสดงว่าใช้ได้ อย่างพวกเราที่จะจบออกไปเป็นหมอในภายหน้าก็ขอให้เป็นหมอที่ดีทำแค่นั้นก็ถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณ แผ่นดินแล้ว
ในที่ประชุมนี้มีคณบดี มีท่านทั้งหลายที่มีความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง ต่อสังคมสูงมาก เป็นผู้ที่มีเกียรติมีชื่อเสียงอยู่ทั้งนั้น ผมถึงเต็มใจมาพูด อย่างที่เรียนคณบดีแล้ว ที่ผมอยากพูดมากๆ กับนิสิตแพทย์ทั้งหลาย เพราะผมเห็นว่านิสิตแพทย์หรือพยาบาลก็ตามมีบทบาทสำคัญต่อตัวเอง ต่อสังคมและชาติบ้านเมืองอย่างยิ่ง ถ้าเด็กๆ ที่เป็นแพทย์ เป็นนิสิตแพทย์ได้จบออกมาเป็นแพทย์ที่ดีก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ต่อชาติบ้านเมืองของเรา เป็นโชคดีของคนไข้ ที่เรามีหมอดี แล้วก็นอกจากมีบทบาทสำคัญต่อสังคมแล้วในอนาคตผมคิดว่าเด็กเหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญต่อประเทศ เพราะฉะนั้นท่านคณบดีครับ ผมคิดว่าคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องถือว่าเรามีหน้าที่ที่สำคัญต่อนิสิต ในอันที่จะปั้นเขา พูดแค่นี้นิสิตอย่าเพิ่งบอก อ้าวงั้นผมก็สบาย มีคนดูแลแล้วไม่ใช่อย่างนั้น พวกเราต้องดูแลตัวเองด้วย นิสิตต้องดูแลตัวเอง ต้องเห็นความสำคัญของตนเอง ว่านิสิตแพทย์จะต้องเป็นคนยังไงถึงจะออกมาเป็นหมอที่ดีได้ แต่ว่าพวกเราที่เป็นผู้ใหญ่ ตั้งแต่คณบดีลงไปก็มีความรับผิดชอบสูงที่จะต้องปั้นนิสิตให้ออกมาเป็นหมอที่ดี ต้องถือว่าเป็นความรับผิดชอบของพวกเรา ถ้าเราปั้นเขาออกมาไม่ดีเราก็ต้องรับผิดชอบ ถ้าเราปั้นแล้วเขาออกมาดีเราก็จะได้ภาคภูมิใจว่าเราได้ทำสิ่งที่ดีๆ ให้แก่เด็กๆ ที่เรารักและเราปรารถนาดีได้
หลักสูตรของแพทย์ผมไม่ทราบว่ามีอย่างไรบ้าง แต่ว่าเมื่อสักครู่นี้คณบดีกรุณาเอ่ยถึงหมอชนบท ผมก็เตรียมมาพูดเรื่องนี้เหมือนกัน ผมคิดว่าแพทย์ชนบทที่เราผลิตออกมา น่าจะมีจำนวนยังไม่เพียงพอ ยังขาดอีกมาก โดยที่ผมเป็นคนชนบท เวลาราชการผมส่วนมากก็อยู่ในชนบทเป็นส่วนใหญ่ ผมจึงทราบปัญหาของชนบทดีพอสมควร ความไม่พอเพียงของแพทย์ชนบท นอกจากเราผลิตหมอไม่พอแล้วยังมีปัจจัยตัวอื่นหลายๆ ตัวอย่างเช่น อย่างแรกที่ถ้าผมพูดแล้วถ้าไม่ชอบก็ต้องขอโทษ คือบางคนเขาไม่ชอบอยู่บ้านนอก บางคนชนบทไกลๆ ก็ยิ่งไม่ชอบอยู่ใหญ่ คืออย่างนี้ผมก็ไม่ได้โทษหมอหรอก แต่คิดว่าหมอบางคนเขาคิดว่าเขาควรจะพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าไปในทางวิชาการ แต่ถ้าไปอยู่ชนบทโอกาสเขาก็ลดน้อยลง เพราะฉะนั้นการอยู่ชนบทหมอก็เลยไม่ชอบ วิชาการก็ไม่ทันสมัย อยากไปศึกษาในห้องสมุดอะไรก็ไม่มี หมอก็เลยไม่อยากอยู่ บางท่านก็ไม่มีความคุ้นเคยกับสถานที่ที่ยากลำบากก็เลยไม่ค่อยเต็มใจ พอเป็นอย่างนั้นชาวบ้านก็ค่อนข้างจะเดือดร้อนเพราะว่าหมอมีน้อย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหมอก็ไม่พอ ค่อนข้างจะมีปัญหา ถ้าคนมีสตางค์ก็เข้ากรุงเทพฯได้ ไม่รักษาที่หมอต่างจังหวัด หมอชนบทก็เข้ากรุงเทพฯได้ แต่คนไม่มีสตางค์ก็ไม่มีทางเลือก คนมีสตางค์ก็อาจจะไม่อยากรักษาในเมืองไทย อาจจะไปรักษา stem cell ที่ต่างประเทศก็ได้ แต่ว่าถ้าคนไทยมีความร่ำรวยอย่างนั้นทุกคนก็ไม่มีปัญหา แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องเป็นไปได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของพวกเรานะครับที่จะคิดว่าทำอย่างไรให้หมออยากอยู่ชนบท ทำอย่างไรให้เห็นว่าชนบทจำเป็นต้องมีหมอ จำเป็น ต้องมีแพทย์มีจำนวนมากพอที่จะดูแลได้ ผมว่าเรื่องลักษณะนิสัยของคนไทยเป็นคนรักถิ่น อย่างผมเมื่อตอนเป็นเด็กๆ ผมถูกย้ายไปรับราชการที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ตอนนั้นจังหวัดอุตรดิตถ์แย่มากๆเลย ที่ในค่ายทหาร น้ำประปาก็ไม่มี ไฟฟ้าก็ไม่มี ตอนผมย้ายไปใหม่ๆ ผมคิดจะลาออกเพราะมันแย่มากๆ แต่พออยู่ๆ ไป มันเกิดความรักถิ่น ก็อยู่ได้อย่างสบายใจ พอมากรุงเทพฯผมกลับไม่ชอบ คิดว่าเมื่อไรจะเสร็จธุระจะกลับไปอยู่อุตรดิตถ์ ทั้งๆ ที่น้ำประปาก็ไม่มี ไฟฟ้าก็ไม่มี แต่คนไทยผมคิดว่าลักษณะนิสัยก็อย่าง ที่ว่า จะอยู่ที่ไหนก็รักถิ่น ก็น่าจะเป็นทางหนึ่งที่เราจะ ให้หมอออกไปอยู่ชนบทได้
ขออนุญาตพูดถึงเรื่องใบประกอบโรคศิลปะของหมอนะครับ ผมก็ไม่เคยเห็นใบประกอบโรคศิลปะว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ก็ไม่ทราบว่าใบประกอบโรคศิลปะเขาเขียนว่าคนนี้ "เป็นหมอที่ดี เป็นหมอที่เก่ง" ผมก็ไม่ทราบเพราะว่าไม่เคยเห็น แต่ว่าผมรู้ดีว่าการเป็นหมอจะต้องมีจรรยาบรรณของแพทย์ จรรยาบรรณของแพทย์ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเขียนว่าอย่างไร ผมถึงบอกว่ามันเป็นหนังตลก เพราะผมไม่ค่อยรู้อะไรเลย แต่ว่าผมขอเรียนยกตัวอย่างอย่างนี้ ผมคิดว่าหมอต้องเรียนจิตวิทยา ไม่ใช่จิตแพทย์นะครับ ไม่ใช่แบบหมอประสพ ที่ผมพูดว่าหมอต้องเรียนจิตวิทยาเพราะผมเอง ผมก็เคยเป็นคนไข้ เป็นคนไข้หนักมาสามครั้ง หนักมากๆ มาสามครั้ง ก็ได้พบหมอหลายหน้าหลายตา หมอบางคนพอมาพูดกับเรา เราก็เอ้อเข้าใจและมีกำลังใจว่าหายแน่หรืออย่างน้อยก็หายไปครึ่งหนึ่ง อย่างเมื่อคราวหนึ่งผมป่วยเป็นโรคน้ำท่วมปอด หมอเขาก็เจาะปอดแล้วก็เอาน้ำไปทำอะไรก็ไม่ทราบ ผมก็พยายามถามว่าแล้วปอดผมจะเป็นอย่างไร มันคงเสียไปมั้ง มีหมอคนหนึ่ง ต้องขออนุญาตเอ่ยนาม ตอนนั้นมียศเป็นพันเอก ตอนนี้ก็เป็นพันเอกเพราะท่านลาออกจากโรงพยาบาล พระมงกุฎฯไปแล้ว ชื่อหมอพิชัย4 นามสกุล นำศิริกุล เป็นหมอจบจากอเมริกา ท่านเข้ามาบอกว่าป๋าไม่ต้องกลัวหรอก มันไม่เสียหายอะไร บอกว่าก็เหมือนเราเป็นแผล เมื่อหายแล้วก็มีแผลเป็น ผมก็เลยเข้าใจว่าปอดมันไม่เสียหายอะไรนะ มันเป็นแค่แผลเป็น นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่า หมอน่าจะเรียนในเรื่อง "สื่อกับคนไข้" อันนี้ผมอาจจะเชยก็ได้เพราะว่าเขาสอนกันแล้ว ผมก็พยายามถามหมอที่พระมงกุฎฯ5 ว่าเขาสอนเรื่องนี้กันไหม หมอบางคนก็ตอบว่าสอน บางคนก็ตอบว่าไม่สอน ผมก็เลยไม่รู้ว่าเขาสอนหรือไม่สอน มีอีกคนนะ ไหนๆ ได้มาพูดกับหมอก็เลยอยากจะชมเชยหมอ ก็อยากจะเล่าถึงหมอที่เก่งๆ ดีๆ ที่ผมพบมา หมอคนนี้ชื่อหมอธนัญชัย อติศัพท์6 เป็นหมอตา เดิมอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์แต่เดี๋ยวนี้ออกไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนแล้ว ผมก็เป็นคนไข้ ไปลอกต้อกับหมอธนัญชัย พอจะเข้าไปในห้อง เจ้าหน้าที่เขาก็ทำเหมือนผมเป็นคนไข้ผ่าตัด ตรวจโน่น ตรวจนี่ ตรวจนั่น ตรวจซะจนน่ากลัว น่าตกใจ หมอธนัญชัยบังเอิญเป็นลูกของเพื่อนผมซึ่งเป็นหมอเหมือนกัน เขาเข้ามาบอกว่า คุณอาอย่าไปสนใจเขานะ ที่เขาทำนั้นเขาทำตามระเบียบแบบแผน ไม่ต้องกลัว ไม่เห็นมีอะไรเลย เดี๋ยวผมจะทำให้คุณอาสบายๆ ผมก็เลยสบายใจ ไม่ต้องตื่นตกใจกลัว ว่าเขาทำคล้ายๆ กับเป็นคนไข้หนัก ต้องเล่าอีกนิดนึงว่าหมอธนัญชัย พ่อเขาชื่อหมอนรสิงห์ อติศัพท์7 เป็นหมอรุ่นก่อนหมอประสพ 1 ปี หมอนรสิงห์เป็นรุ่นพี่ผมที่สวนกุหลาบฯ หมอคนนี้เป็นหมอที่ยอดเยี่ยมมาก เป็นหมอของ กรมชลประทาน เวลาใครจะมาขอหยุดงานก็ต้องมาขอใบป่วยแพทย์8 ก็ต้องมาพบพี่หมอนรสิงห์ พี่หมอนรสิงห์แทนที่จะเขียนใบป่วยให้เลยก็ตรวจให้จริง บอกก็ร่างกายไม่ป่วยนะ นายไม่ป่วยนะ นายจะมา ขอใบแพทย์ไม่ได้นายต้องกลับไปทำงาน หมออย่างนี้น่ารัก เขาเป็นพ่อหมอธนัญชัย หมอนรสิงห์ก็มีดีอีกอย่างหนึ่งคือค่ารักษาเปลี่ยนแปลงได้ คือถ้าคนไข้จนก็เรียกน้อย คนรวยก็เอามาก ก็ถือเป็นหมอที่ดีมากๆ ผมก็เคยไปรักษานะพี่หมอนรสิงห์ แล้วผมก็ถามว่า พี่หมอจะเก็บเท่าไรหมอบอกสิบบาท ถามว่าทำไมเก็บน้อย บอกว่าเก็บน้อยเพราะว่าเดี๋ยวจะว่ารักษาฟรี ผมเอาแค่สิบบาท ก็เป็นเรื่องที่ผมเรียนว่าถ้ามีการสอนเรื่องจิตวิทยาก็น่าจะดีจะให้คนไข้ เวลาเห็นหน้าหมอก็อยากจะมีความสบาย ถ้าหมอคนไหนดุๆ คนไข้ก็ชักจะกลัว
อีกเรื่องหนึ่งนะครับ ที่ผมคิดว่าอยากจะมาเล่าให้ฟัง เดี๋ยวนี้พวกเราก็ตื่นกันในเรื่องของการดูแลตัวเองซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก สุขภาพตัวเอง ดูแลตัวเองว่าเป็นอย่างไร ผมคิดว่า นอกจากหมอจะใช้วิชาแพทย์ในการรักษาคนไข้แล้วน่าจะนำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้ประกอบในการรักษาโรคด้วย เช่น หมอต้องใช้เมตตา มีหิริ มีโอตตัปปะ ไม่มีกิเลส ไม่มีโมหะ ไม่มีโทสะ สิ่งเหล่านี้ครับเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าจำเป็นสำหรับหมอ
อย่างเรื่องประโยคที่ผมได้ยินมาตั้งแต่จำความ ได้ว่า "กันไว้ดีกว่าแก้" ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า "Protection is better than cure" ผมไม่ทราบว่าอันไหนมาก่อนมาทีหลัง ของเราอาจจะมาก่อนหรือไปแปลเขามาก็ได้ แต่ว่าอันนี้ครับเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะว่าลักษณะนิสัยของคนไทยไม่ค่อยชอบกันไว้ดีกว่าแก้ ฉะนั้นก็คงจะเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องสร้างความรู้ ความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ได้ คนไทยชอบบอกเป็นแล้วก็หายเอง อะไรทำนองนั้น ยิ่งในอาชีพอย่างพวกผม อย่างทหาร เขากลับฝึกให้เราสู้กับสิ่งเหล่านี้ ฝนตกแดดออกก็ให้ไปตากแดดตากฝน ซึ่งมันค่อนข้างจะตรงข้ามกับการดูแลตัวเอง แต่มันก็เป็นความจำเป็นอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นพวกที่มีอาชีพเหมือนผมเนี่ยส่วนมากจะเสียชีวิตเพราะว่าไม่ค่อยยอมรับว่าเป็นโรค เรื่องนี้ผมคิดว่าบรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นหมอ เห็นจะต้องเป็นหน้าที่ที่จะต้องไปดูแลว่าการดูแลตัวเองเป็นอย่างไร การปกป้องตนเองเป็นอย่างไร การดูแลตัวเองผมคิดว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่จำเป็น ผมขออนุญาตใช้ว่ากำลังจิตก็เป็นสิ่งจำเป็น กำลังจิตก็คือพวกเราจำเป็นจะต้องทำจิตให้บริสุทธิ์ ทำจิตให้สงบ ทำจิตให้สงัด ทำจิตให้สะอาด ต้องมีทั้งสงบ สงัด สะอาด ถึงจะรักษาดูแลตนเองได้ แล้วก็รักษาคนอื่นได้ด้วย พวกเราถ้าเผื่อจิตสะอาด สงบ สงัด ผมคิดว่าโรคภัยก็น่าจะมาหายาก แต่ตราบใดที่จิตเราไม่สงบ ไม่สงัด ไม่สะอาด ไม่ว่าเป็นหมอหรือไม่เป็นหมอคงจะเป็นโรคเป็นภัยด้วยกันทั้งนั้นง่ายกว่า
มีอีกเรื่องหนึ่งครับ ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายครับ อันนี้เกี่ยวกับหมอหรือไม่เกี่ยวกับหมอก็ฟังดูแล้วกัน ครับ คือคนเราไปเชื่อในสิ่งที่ไม่มีเหตุไม่มีผล อย่างชอบไปรับประทานที่คนเขาบอกว่าทานโน่นแล้วโรคนี้จะหาย อะไรแบบนั้นเป็นต้น ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นหน้าที่ของหมอที่จะต้องไปชี้แจงให้พวกเขาฟังว่าอะไรที่ควรเชื่อ อะไรที่ไม่ควรเชื่อ มันเป็นวัฒนธรรมไทย ที่ค่อนข้างจะ..ผมคิดว่าคงจะไม่ใช่วัฒนธรรมไทย คงจะเป็นความเชื่อมากกว่า
เมื่อผมอยู่ในทำเนียบรัฐบาลผมก็สนใจเรื่องปัญหาความยากจนของคนมากๆ เลย แล้วก็พยายามแก้ปัญหานี้เพราะผมถือว่าปัญหานี้เป็นปัญหาที่สำคัญมาก ผมคิดว่าเรื่องของความยากจนมาจากสาเหตุ 3 ประการ ประการที่หนึ่งก็คือการศึกษาน้อย หรือไม่มีการศึกษาพอ สองก็ไม่มีงานทำ และที่สาม ที่เกี่ยวกับหมอก็คือสุขภาพ เมื่อสุขภาพไม่ดีก็ร่างกายไม่แข็งแรง ก็หางานทำไม่ได้ อย่างพวกเราจะเห็นในทีวีบ่อยๆ ทีวีชอบออกมาว่าคุณยายคนนั้นง่อยเปลี้ยเสียขา มีหลานจะต้องไปเก็บปลา ตกปลามา อย่างนี้มันมีมากเหลือเกิน ซึ่งคิดว่าเราน่าจะมานั่งคิดกันไหมว่าเราจะทำอย่างไรกับคนพวกนี้ ก็ไม่ทราบว่าที่เขามาออกทีวีเขามาฟ้องเราหรือมาบอกเรา มาบอกให้เรารู้ว่ายังมีคนที่ง่อยเปลี้ยเสียขา
ทีนี้ผมขออนุญาตเข้าเรื่องของหัวข้อในวันนี้นะครับ หมอนี่ครับเมื่อกี้ผมพูดไว้ว่า ดีไม่ดี เก่งไม่เก่ง ในใบประกอบโรคศิลป์เขาเขียนไว้หรือเปล่าผมไม่ทราบ และผมก็ไม่ทราบอีกว่าว่าหมอดี หมอเก่ง พวกท่านทั้งหลายที่เป็นหมอดูกันอย่างไร ดูกันอย่างไรว่าคนไหนดีคนไหนเก่ง แต่สำหรับพวกผมที่ไม่ใช่หมอ คนที่ไม่ใช่หมอ จะมองหมอดี หมอเก่ง คงไม่เหมือนกับที่พวกหมอมองกัน ผมคิดว่า "หมอดีคือหมออาชีพ หมอเก่งคือหมอมืออาชีพ" "หมออาชีพในความหมายของพวกเรานะครับ คือผู้ที่เลี้ยงชีพด้วยการประกอบโรคศิลปะ เป็นผู้ที่พร้อมด้วยความรู้ในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม เป็นผู้มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นแพทย์ มีคุณธรรม มีจริยธรรม เปี่ยมด้วยความกรุณาปรานี มีความเสียสละ ห่วงใย ดูแล รักและเอาใจใส่ผู้ป่วย อดทน อดกลั้น มีความมุ่งมั่นให้ผู้ป่วยพ้นทุกข์ อย่างรวดเร็ว ปลอดภัยและดีที่สุด แม้นอกเวลา ก็ยังเต็มใจดูแลอย่างไม่บกพร่อง ยึดมั่นในจรรยาบรรณ และดำรงอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต" เมื่อผมไปพูดที่อื่นนั้นผมได้พูดถึงเรื่องมืออาชีพ 2 สถาบันด้วยกันคือ สถาบันครู พูดถึงครูอาชีพและครูมืออาชีพ สถาบันทหารก็พูดถึงทหารอาชีพ ทหารมืออาชีพ หมออาชีพอย่างที่ผมได้เรียนแล้วนะครับ เป็นคำนิยามซึ่งผมได้ให้นายแพทย์ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ คนหนึ่งชื่อ พลตรีนายแพทย์สหชาติ พิพิธกุล9 ให้เขาทำมา เขาทำมาแบบนี้ผมก็เห็นว่าน่าจะใช้ได้ โปรดดูนะครับว่าผมเน้น เรื่องจิตวิญญาณแห่งความเป็นแพทย์ ข้อนี้ผมขอเรียนให้ทราบว่า คนเราที่จะประกอบอาชีพอะไร ต้องประกอบอาชีพด้วยจิตวิญญาณ ถ้าไม่รักความเป็นหมอละก็ผมคิดว่าไม่น่าเป็นหมอมืออาชีพ ไม่น่าเป็นหมออาชีพ ต้องเกิดมาเพื่อเป็นหมออาชีพหมายความว่า อยากเป็นหมอเหลือเกินในความรู้สึก มีแต่เรื่องช่วยเหลือผู้ป่วย เหมือนผมไปบอกนักเรียนเตรียมทหารว่า ถ้าอยากเป็นทหารต้องมีจิตวิญญาณของความเป็นทหาร ถ้าเป็นทหารเพื่อเอาเงินเดือนอย่างเดียว อย่าเป็น ไปหาอาชีพอื่นดีกว่า เพราะว่าจะไม่เจริญก้าวหน้า ถ้าเราไม่มีจิตวิญญาณความเป็นทหาร
ผมขอเน้นเรื่องคุณธรรมและจริยธรรม 2 ข้อนี้ เป็นหัวข้อที่สำคัญ ไม่ใช่ในเฉพาะแต่ในวงอาชีพแพทย์ เท่านั้น สาขาอาชีพอื่น มันจะต้องมีคุณธรรม และจริยธรรม ผมคงไม่อธิบายว่าคุณธรรมคืออะไร จริยธรรมคืออะไร เพราะพวกเราคงทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ผมขอเรียนว่าคนดีเท่านั้นที่จะมีคุณธรรมและจริยธรรม คนไม่ดีจะไม่มีคุณธรรมและจริยธรรม ไม่ว่าในสาขาอาชีพใด
ผมขอเน้นเรื่องความอดทนและอดกลั้น ผมคิดว่าเป็นหมอคงถูกคนไข้บ่น พ่อแม่คนไข้บ่น ใครต่อใครบ่น นินทาบางทีก็ว่าเสียๆ หายๆ เห็นจะต้องอดทนอดกลั้นเพื่อที่จะทำหน้าที่ของแพทย์ที่ดีได้ ผมเน้นเรื่องจรรยาบรรณ ก็คงทราบกันอยู่แล้วว่า แพทย์ต้องมีจรรยาบรรณ แล้วผมขอเน้นเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต อันนี้ผมไม่ขออธิบายนะครับ เพราะว่าพวกเราเข้าใจกันดีว่าความซื่อสัตย์สุจริตสำคัญอย่างไร
หมอสหชาติที่ผมได้พูดถึงเมื่อสักครู่นะ เมื่อปี พ.ศ. 2517 ตอนนั้นเป็นร้อยโท ไปทำงานพบกับผมที่ภาคอีสาน ตอนนั้นการรักษาพยาบาลในเวลาที่คับขันค่อนข้างลำบากมาก แต่หมอสหชาติก็ได้ทำเรื่องๆ หนึ่ง เป็นเรื่องง่ายๆ แต่ว่ายากที่จะเข้าถึง คือไปรักษาให้ชาวบ้านที่เจ็บป่วย โดยไปรับชาวบ้านพวกเด็กสาวๆ ที่เป็นอาสาสมัครมาฝึกอบรม แล้วก็วิธีรักษาของหมอ ถ้าเป็นไข้ก็ให้ยา ถ้าปวดศีรษะก็ทำอย่างนี้ ท้องเดินต้องทำแบบนี้ให้รู้แค่นั้น แล้วก็เด็กพวกนี้ก็เอายาไปเยี่ยมตามบ้าน บังเอิญถ้าใครเป็นชาวอีสานก็คงรู้ว่า คนภาคอีสานเขาอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มๆ ไม่กระจายเหมือนกับคนภาคใต้ เพราะเพื่อความสะดวกในการดูแล เช้าก็เดินไป ใครเป็นอะไรเป็นไข้ อะไรทำนองนี้ ผมเห็นจะต้องเอ่ยชื่อให้เป็นเกียรติกับหมอผู้หญิงคนหนึ่งชื่อหมอปานทิพย์ วิริยะพานิช10 เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นหมออยู่ เป็นอะไรซักอย่างที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน หมอคนนี้กับหมอสหชาติต้องพูดถึง ผมอยากจะเอ่ยนามทั้งสองท่านที่ประกอบคุณความดีแก่ชาติบ้านเมือง
ที่นี้ขออีกประเด็นหนึ่งได้ไหม เรื่องของจิตวิทยา ตอนนั้นหมอพวกเราเนี่ยบอกว่าผมเป็นโรคหัวใจ ก็บอกเอะผมไม่ค่อยรู้สึกว่าเป็นโรคหัวใจ พูดไปพูดมาก็บอกไปตรวจเมืองนอกไหม ตอนนั้นผมเป็นนายกรัฐมนตรีก็จะดุ ผมบอกผมอยากไปตรวจ ไปถึงเขาก็ตรวจโน่นตรวจนี่ แล้วหมอก็บอกผมว่ายูน้ำในร่างกายน้อยให้กินน้ำมากๆ พอผมนอนพักหนึ่งก็มีพยาบาลเดินมาวางเหยือกน้ำดังโครม กินให้หมด ผมนึกถึงคนไทยทันทีทันใด พยาบาลที่นี่ไม่พูดไม่จาอะไรเลยซักคำ นี่คือที่บอกว่าถ้าพูดจาดีโรคก็จะหายไปเกินครึ่งหนึ่ง
ที่นี้กลับมาที่หมอมืออาชีพนะครับ หมอมืออาชีพที่ผมเขียนว่าคือหมอที่มีความรู้อย่างละเอียดถูกต้อง ลึกซึ้ง ทันสมัย หมายความว่าในสาขานั้นๆ เช่น หมอผ่าตัดก็ผ่าตัดชั้นเยี่ยม เป็นหมออายุรกรรมก็รักษาชั้นเยี่ยมอะไรทำนองนั้นนะครับ ต้องมีความสามารถและทักษะในการประกอบโรคศิลปะอย่างดียิ่ง ขยันหมั่นเพียรในการค้นคว้าวิชาการและฝึกฝนทักษะอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาตามกาลสมัย มีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างสูง ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีอันนี้ก็สำคัญ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่แพทย์ แก่ลูกศิษย์ แก่ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย เป็นผู้มีลักษณะดี ผมคิดว่าน่าจะสำคัญ หมายความว่าพอเห็นหมอแล้วดูท่าทางน่าเลื่อมใส น่าเลื่อมใส แล้วก็เรื่องจรรยาบรรณ ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายโปรดสังเกตนะครับว่า ที่ผมพูดทั้งหมออาชีพและหมอมืออาชีพ มีซ้ำกันอยู่สองเรื่อง สองประเภทคือ เรื่องจรรยาบรรณมีทั้งหมออาชีพ และหมอมืออาชีพ ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี เมื่อสักครู่ท่านคณบดีบอกผมว่าหมอจรัสไม่ได้มาเพราะว่าติดธุระ ผมคิดว่าผมอยากจะขอยกตัวอย่างหมอจรัส สุวรรณเวลา11 ว่าเป็นหมอที่ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี
ที่ผมอยากจะเรียนความในใจหนึ่งออกมาว่าถ้าเราไม่สบายเราป่วย พอหมอมาผมคิดว่าใจมันชื้นว่ามาแล้วมาแล้ว คนที่มาช่วยเรามาแล้ว อันนี้มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะสำคัญ แล้วก็ถ้ายิ่งเป็นหมอมืออาชีพหมออาชีพด้วยก็ยิ่งดีใหญ่ ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่คนไข้ต้องการมากๆ เลย
โปรดอย่าใจน้อยนะครับ ผมจะพูดถึงหมออีกประเภทหนึ่ง ผมเรียกหมอพวกนี้ว่าอาชีพหมอ คือหมอที่เป็นหมอเพราะว่าต้องการเงินเดือนเลี้ยงชีพ ไม่ต้องการจะช่วยคนไข้อย่างแท้จริง เหมือนครูสอนหนังสือเด็กๆ ครูบางคนก็เป็นครูอาชีพ ก็รู้สึกว่าตัวรับผิดชอบเลยต้องสอนให้ดี แต่ครูบางคนนั้นสอนไปตามหน้าที่ ถึงเวลาสอนก็ไปสอน สอนเสร็จก็กลับบ้าน ไม่ได้ดูแลว่านักเรียนได้อะไรไปบ้างจริงนะ ผมถึงบอกว่าอย่าเพิ่งน้อยใจว่าอาชีพหมอ ผมพูดถึงเรื่องนี้ เพราะผมเห็นหมอฝรั่งมีเยอะที่เป็นหมอที่ไม่ค่อยสนใจคนไข้ มีหน้าที่รักษาก็รักษาไป อย่างที่ผมเล่าให้ฟังไปตะกี้ว่าพยาบาลฝรั่งผมคิดว่าไม่ใช่พยาบาล เป็นอะไรก็ไม่รู้ เป็นคนที่มีหน้าที่ทำก็ทำไป ไม่ได้พูดจาเห็นอกเห็นใจ เป็นอย่างไรบ้าง ผมจึงคิดว่าพวกนี้เป็นอาชีพหมอ
มีอีกเรื่องนึงครับผมใคร่ขอเรียนว่าพวกเราทุกคนที่เป็นหมอ ขอให้ยึดพระบรมราโชวาท พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้เป็นแนวทาง เพราะในพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีหลายเรื่องเกี่ยวกับคนดี คนไม่ดี ควรทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติอย่างไร ควรจะช่วยเหลือบ้านเมืองอย่างไร ใครควรจะทำอย่างไร ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่บรรดาหมอทั้งหลาย นอกจากเป็นประโยชน์แล้ว ผมคิดว่าการนำพระบรมราโชวาท พระราชดำรัสมาปฏิบัติเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องจริงๆ นะครับ ไม่มีที่ติ ไม่มีตำหนิ เพราะสิ่งที่ท่านรับสั่งมาจะมีแต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีความลำเอียง ไม่มีการเข้าข้างใคร เพราะฉะนั้นผมคิดว่า ถ้าเราน้อมรับเอาพระบรมราโชวาท พระราชดำรัสมาเป็นแนวทางการปฏิบัติ ก็จะเป็นเรื่องที่ดีมากแล้วก็เป็นสิริมงคลด้วย
ผมว่าท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายที่เป็นหมอได้บุญมาก ได้บุญมากกว่าอาชีพอื่นๆ เพราะว่าหมอช่วยคนให้พ้นทุกข์ เป็นบุญเป็นกุศลนะ เป็นเรื่องที่คนอื่นไม่ค่อยมีโอกาสเท่า ดังนั้นผมจึงขอขอบคุณเป็นส่วนตัว เป็นส่วนรวมก็ได้ว่า เป็นหมอได้บุญ เป็นคนมีบุญด้วย ที่ท่านทั้งหลายได้เห็นผมมีสุขภาพดีอยู่เดี๋ยวนี้ก็เพราะผมมีหมออาชีพ หมอมืออาชีพมาช่วยดูแล
ผมขออนุญาตอีกเรื่องหนึ่งซึ่งค่อนข้างจะไม่เกี่ยวข้องกับการบรรยายครั้งนี้ แต่ผมเห็นว่าไหนๆ ก็เกินเวลาแล้ว เสียเวลาอีกซักหน่อยก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนัก ผมอยากจะพูดถึงว่า "ความรู้รักสามัคคี" ทุกวันนี้เขาพูดกันแต่เรื่องสมานฉันท์ แต่ผมคิดว่าความรู้รักสามัคคีนี่เป็นเรื่องที่หมอต้องการในระหว่างสถาบันหมอด้วยกัน อย่างหมอทำงานเป็นทีม อย่างทีมผ่าตัดมี 10-20 คน ถ้าไม่รู้รักสามัคคี คนไข้ก็คงจะอารมณ์เสีย คนไข้คงไม่รู้สึกตัว ไม่สนุกด้วย
หมอเกษม12เคยปรารภให้ผมฟังว่า สงครามโลกครั้งที่สอง มีคนอยู่ไม่กี่คนที่ลุแก่อำนาจ ทำให้คนทั้งโลก รบกันจริงๆ ฮิตเลอร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น แล้วก็พรรคพวกไม่กี่คนที่ลุแก่อำนาจ อยากจะครอบครองโลก ก็ทำให้คนทั้งโลกรบกัน แตกความสามัคคีกันบ้านเราก็มี
อันนี้ยิ่งไม่เกี่ยวกับหมอ แต่ผมเห็นว่าเป็นข้อความที่ดี ก็เลยขออนุญาตคณบดีได้เอามาฉายให้พวกเรา ได้อ่านกัน "ชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใครก็ตามแม้เพียงจะคิด จะยึดถือเป็นของตนเอง หรือของพรรคพวกของตนเอง เพื่อประโยชน์อันไม่ชอบธรรมต่อตนเองหรือต่อพรรคพวกของตนเอง จะพบกับความหายนะ พระสยามเทวาธิราชจะปกป้องคุ้มครองคนดีของชาติบ้านเมืองเสมอ และจะสาปแช่งคนที่ไม่ดีให้มีอันต้องตกทุกข์ได้ยากแสนสาหัสตลอดชีวิต" ผมไปพูดให้พวกเด็กๆ นักเรียนนายเรือ นักเรียนนายร้อย นักเรียนนายเรืออากาศฟัง เพื่อให้เขารู้ว่าชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมกลับมาก็มีคนโทรศัพท์มาบอกผมว่า ต่อไปนี้จะเชื่อแล้วว่าบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพระสยามเทวาธิราชก็มีอยู่จริง พวกท่านไม่เชื่อในสิ่งที่ผมบอกก็ได้นะครับ แต่ผมคิดว่าชาติบ้านเมืองของเราเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
จบแค่นี้นะครับ ขอบคุณมาก