ระยะนี้ผมมีโอกาสทบทวนเอกสารเกี่ยวกับโครงการสร้างเสริมสุขภาพของหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง โรงพยาบาลหลายแห่งที่พัฒนางานสร้างเสริมสุขภาพ โดยหันมาใช้กระบวนทัศน์ "การดูแลผู้ป่วยด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์".
กรณีตัวอย่าง 2 เรื่อง ได้แก่ "เรื่องเด่นที่โรงพยาบาลละงู" และ "คืนคุณค่าความเป็นมนุษย์แก่รำเพย" ที่นำมาเสนอไว้ในที่นี้ ซึ่งเป็นบันทึกเรื่องเล่าของทีมงานของโรงพยาบาล 2 แห่ง ได้สะท้อนภาพอันงดงาม และน่าประทับใจของผู้ให้บริการที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์อันเต็มเปี่ยม.
จึงขอฝากให้ผู้อ่านได้ชื่นชมกับความดีงาม และเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย.
หากผู้อ่านมีเรื่องดีๆ ทำนองนี้ จะเขียนมาเล่าสู่กันฟัง ก็จะยินดียิ่งนัก. วารสารคลินิกยินดีเป็นสื่อกลางเผยแพร่เรื่องราวของ "ความดี และคนดี" ในวงการแพทย์และสาธารณสุขไทย.
เรื่อง "เด่น" วันนี้ที่โรงพยาบาลละงู
วันแรกที่ได้เจอ "เด่น" เป็นอะไรที่พวกเราทีมงานกายภาพบำบัดออกเยี่ยมผู้พิการในชุมชนจำได้ดี. วันนั้นประมาณบ่ายแก่ๆ อากาศร้อนมาก แดดแรง ขณะที่พวกเราออกเยี่ยมผู้พิการในชุมชนตามแผนที่กำหนด บริเวณข้างทาง หนุ่มไทยวัยแรงงานคนหนึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นนั่งคนพิการ กำลังใช้เท้าที่เปลือยเปล่าของเขาพยายามดันพื้น เพื่อดันรถเข็นนั่งสภาพที่เก่าแก่ทรุดโทรม ยางล้อรถเสื่อมแบนติดดิน ให้เคลื่อนไปข้างหน้า. สภาพของเขา ณ ขณะนั้น ทำให้พวกเราต้องรีบจอดรถช่วยเหลือ. หลังจากพูดคุย ซักถาม ทราบว่า "เด่น" กลับจากไปซื้อปลาเพื่อนำไปให้โต๊ะ (ภาษา มลายู หมายถึง ยาย) ปรุงอาหารกลางวัน. พวกเราช่วยนำส่ง "เด่น" กลับบ้าน. สภาพบ้านที่ เห็นยิ่งทำให้พวกเราสะท้อนใจมากขึ้น เพราะเป็นเพียงกระท่อมหลังเล็กๆ คับแคบ ทรุมโทรม จะพังมิพังแหล่ หลังคามุงจากมีรอยรั่ว มุมหนึ่งเป็นที่สำหรับนอน ถัดไปอีกมุมหนึ่งเป็นที่ปรุงอาหาร ไม่มีห้องน้ำ/ห้องสุขาใช้. "เด่น" อาศัยอยู่กับโต๊ะและลูกสาวโต๊ะ.
"เด่น" เป็นลูกคนที่สองของครอบครัว หลังจากคลอด "เด่น" ได้ไม่นาน พ่อกับแม่แยกทางกัน. "เด่น" อยู่ในความเลี้ยงดูของแม่ และเนื่องจากแม่ต้องทำงาน จึงได้นำ "เด่น" ไปฝากเลี้ยงที่ศูนย์เด็กเล็กในหมู่บ้าน ซึ่งลูกสาวโต๊ะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กอยู่. เมื่อ "เด่น" อายุได้ประมาณ 3 ขวบ แม่มีครอบครัวใหม่ ครอบครัวของแม่ยอมรับ "เด่น" ไม่ได้ ทำให้แม่ต้องทิ้ง "เด่น" ให้อยู่กับพี่เลี้ยงเด็กที่ศูนย์เด็กเล็ก โดยไม่กลับมาเยี่ยมอีกเลย. ลูกสาวโต๊ะนำปัญหาไปเล่าให้โต๊ะฟัง โต๊ะแม้นจะยากจนและไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดใดๆ กับ "เด่น" แต่มีจิตใจที่ดีงาม มีคุณธรรม ขอรับ "เด่น" มาเลี้ยงที่บ้าน. ในปี พ.ศ. 2540 ขณะที่ "เด่น" กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.5 "เด่น" ถูกรถจักรยานยนต์คันหนึ่งพุ่งชน ล้มลงหมดสติ ถูกนำส่งไปรับการผ่าตัดสมองที่โรงพยาบาลหาดใหญ่.
อุบัติเหตุที่ได้รับทำให้ร่างกายซีกซ้ายของ "เด่น" อ่อนแรง ช่วยเหลือตนเองได้น้อย แพทย์ส่งต่อไปให้ทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลสตูล แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องการเดินทางและค่าใช้จ่าย ทำให้โต๊ะและลูกสาวไม่สามารถทำตามแผนการรักษาของแพทย์ได้. "เด่น" ต้องนอนอยู่กับที่ โต๊ะคอยดูแลอาบน้ำ เช็คถูอุจจาระ ปัสสาวะให้. ลูกสาวโต๊ะไปขอบริจาครถเข็นนั่งคันเก่าๆ จากคนในหมู่บ้านมาได้คันหนึ่ง เพื่อให้ "เด่น" ไม่ต้องนอนอยู่กับที่เพียงอย่างเดียว. ความรัก ความเมตตาและความเหน็ดเหนื่อยของโต๊ะและลูกสาว ทำให้ "เด่น" พยายามที่จะช่วยเหลือตัวเองมากขึ้น พยายามที่จะใช้เท้าข้างที่แข็งแรงในการเข็นรถด้วยตนเอง และแบ่งเบาภาระโต๊ะในส่วนที่ทำได้.
ความทุกข์ยากที่ได้เห็น และแบบอย่างของการไม่มองข้ามคุณค่าใน "ความเป็นคน" ของโต๊ะ ที่ทำให้มนุษย์ด้วยกันด้วยความเต็มใจโดยไม่ได้มีบทบาทหน้าที่ทางสังคมหรือมาตรฐานแห่งวิชาชีพบีบบังคับ ทำให้เราสำนึกว่า "ในฐานะของมนุษย์คนหนึ่ง การทำเพียงเฉพาะบทบาทหน้าที่ที่มาตรฐานวิชาชีพหรือระบบงานที่โรงพยาบาลกำหนดคงไม่เพียงพอ แต่ถ้าเราต้องใส่หัวใจ ใส่ความรัก ความเมตตาต่อมนุษย์ลงไปในงาน จึงจะช่วยให้มนุษย์คนหนึ่งมีพลังที่จะอยู่ในสังคมได้ด้วยตัวเขาเอง". เราเข้าไปทำกายภาพบำบัดให้กับ "เด่น" ที่บ้านสัปดาห์ละครั้ง เนื่องจาก "เด่น" ไม่สะดวกที่จะมาหาเรา. นำเรื่องราวของ "เด่น" ไปบอกเล่าในที่ประชุมและเวทีเสวนาของโรงพยาบาล ได้รับการช่วยเหลือจากทีมบริหารและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลในเรื่องเงินทอง เสื้อผ้า ข้าวสาร อาหารแห้ง รถเข็นนั่งคันใหม่ และทีมผู้บริหารโรงพยาบาลติดต่อเครือข่ายเพื่อให้การช่วยเหลือทั้งจากแหล่งช่วยเหลือในพื้นที่ ได้แก่ อบต. และนอกพื้นที่ ได้แก่ สภากาชาดจังหวัดสตูล ในการก่อสร้างบ้านใหม่ให้กับครอบครัว "เด่น".
หลังจาก 6 สัปดาห์ ที่เราเป็นฝ่ายไปดูแล "เด่น" ที่บ้าน ช่วยให้ "เด่น" สามารถมาหาเราเองที่โรงพยาบาลตามลำพังคนเดียว โดยไม่ต้องมีโต๊ะดูแล ด้วย walker ที่เราจัดหาให้ และกำลังจะไปฝึกอาชีพที่ศูนย์ฝึกอาชีพในพระบรมราชินูปถัมภ์ จังหวัดสุราษฏร์ธานี โดยอาสาสมัครจิตอาสาของโรงพยาบาล คุณฮิดยาเราะ ปากบารา เป็นผู้ติดต่อให้.
รอการตอบรับเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมปลาย ที่ กศน. และการจัดสร้างห้องน้ำ ห้องส้วมให้ ระหว่างรอบ้านหลังใหม่จัดสร้างเสร็จ โดยโรงพยาบาลละงูเป็นผู้ดำเนินการ.
และคณะกรรมการที่ปรึกษาโรงพยาบาลละงู ช่วยดำเนินการในการจัดทุนเลี้ยงชีพสำหรับผู้พิการให้กับครอบครัว "เด่น" ขณะที่อยู่ระหว่างดำเนินการ.
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า โดยเนื้อแท้ของมนุษย์ทุกคน ล้วนแล้วแต่มีเมล็ดพันธ์แห่งความดีสะสมอยู่ และพร้อมที่จะช่วยเหลือคนในสังคม ถึงแม้จะไร้ทรัพย์สินเงินทอง แต่หากมีหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์ ก็สามารถเยี่ยวยาคนทุกข์ยากในสังคมได้เช่นกัน.
โรงพยาบาลตาคลี : คืนคุณค่าความเป็นมนุษย์แก่รำเพย
รำเพยอายุ 47 ปี ป่วยด้วยโรคจิตเภท (schizophrenia) เรื้อรังมาหลายปี ช่วงฤดูหนาวของทุกปีรำเพยจะมีอาการทางจิตกำเริบรุนแรง เอะอะอาละวาด แก้ผ้า บางครั้งทำร้ายตนเองและผู้อื่น จนเป็นที่สลดหดหู่ใจของเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่พบเห็น.
ทีมงานสุขภาพจิตและจิตเวชโรงพยาบาลตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ออกเยี่ยมรำเพยที่บ้าน พบว่ารำเพยอาศัยอยู่ในกระท่อมที่น้องสาวและน้องเขยสร้างไว้ให้ เพื่อแยกรำเพยออกจากบ้านตนด้วยความกลัวร่วมกับความรู้สึกอับอายที่รำเพยไม่ดูแลกิจวัตรประจำวัน เนื้อตัวสกปรกมอมแมม นั่งพูดคนเดียว หัวเราะคนเดียว บางครั้งจะด่าทอน้องเขยด้วยคำหยาบคายเพราะอาการหลงผิดและหวาดระแวง.
ทีมงานได้เข้าไปสร้างสัมพันธภาพกับรำเพยด้วยความจริงใจและเข้าใจถึงความรู้สึก และความทุกข์ทรมานกับความรู้สึกมีคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่สูญหายไปกับโรคจิตเภท. ทีมงานเรี่มต้นด้วยการชวนรำเพยแวะเข้ามากินยารักษาอาการทางจิตต่อหน้าพยาบาลที่คลินิกสุขภาพจิตและจิตเวช หลังจากรำเพยได้กินยาติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน อาการทางจิตของรำเพยเริ่มสงบลงแต่ยังมีหูแว่วเป็นบางครั้ง. ทีมงานชวนรำเพยไปอาบน้ำที่งานแพทย์แผนไทยเนื่องจากมีห้องอาบน้ำและเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยเกรงว่ารำเพยจะหนาวเพราะไม่ได้อาบน้ำมาเกือบปี หลังอาบน้ำสระผม รำเพยสดชื่นขึ้นเปลี่ยนเป็นคนละคน.
รำเพยมีอาการดีขึ้นตามลำดับ สามารถจัดยาใส่กล่องเพื่อนำกลับไปกินเองที่บ้านได้ถูกต้อง แรกๆ จะมีเม็ดยาเหลือติดกลับมาประมาณ 1-2 เม็ดต่อวัน จนกระทั่งสองเดือนผ่านไปไม่มีเม็ดยาเหลือกลับมาให้เห็นอีก สอดคล้องการประเมินสภาพจิตพบว่า รำเพยมีอาการทางจิตดีขึ้น เนื้อตัวสะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวัน รำเพยเล่าให้ฟังว่า ซักผ้าเองทุกวัน.
ทีมงานพารำเพยไปทำความรู้จักกับเจ้าหน้าที่ที่ห้องบัตรเพื่อฝากกล่องให้รำเพยในวันหยุดราชการ เกือบทุกคนในโรงพยาบาลจะรู้จักรำเพยดี ไม่มีใครแสดงท่าทีรังเกียจ แล้ววันหนึ่ง...คุณค่าของความเป็นมนุษย์ของรำเพยก็กลับมาจริงๆ แม่ค้าหน้าโรงพยาบาลรับรำเพยเป็นลูกจ้างล้างชามและเสิร์ฟอาหาร รำเพยดีใจมาก ขยันขันแข็งและตั้งใจทำงาน แม้ว่าค่าตอบแทนจะไม่มากนัก แต่ ก็ทำให้รำเพยรู้สึกภาคภูมิใจและรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง เหมือนความเป็นมนุษย์ได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง.
วันแรกที่ได้รับเงินค่าจ้าง รำเพยบอกกับทีมงานว่า "หนูมีงานทำแล้ว หนูอยากตอบแทนหมอ อยากช่วยค่ายาหมอบ้าง" พวกเราจึงเอ่ยปากชวนรำเพยให้มาช่วยงานในโรงพยาบาลหลังเสร็จงานล้างจาน สีหน้าของรำเพยบ่งบอกถึงยินดีและเต็มใจ สุดท้ายรำเพยกลายเป็นอาสาสมัครที่มีจิตใจอาสาช่วยทำความสะอาดห้องน้ำของผู้รับบริการในโรงพยาบาลตาคลีจนถึงปัจจุบัน.