แพทย์ พยาบาล และบุคลากรสาธารณสุขที่ให้บริการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยบ่อยครั้งที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายอาจในฐานะผู้ให้บริการโดยตรง หรือในฐานะเป็นที่พึ่งพาหรือที่ปรึกษาของญาติมิตร คนรู้จัก.
ปัญหาที่พบ ก็คือ บุคลากรส่วนใหญ่ยังขาดเจตคติ ความรู้ และทักษะในการดูแลผู้ป่วยรวมทั้งขาดกลไกสนับสนุนช่วยเหลือญาติและชุมชนให้มีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย ทำให้การดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ขาดคุณภาพ สิ้นเปลือง และก่อให้เกิดทุกขภาวะแก่ครอบครัวและญาติผู้ป่วย
.
ในการพัฒนาระบบบริการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย อันดับแรกสุด ระบบบริการและทีมสุขภาพจะต้องมีกระบวนทัศน์ใหม่ ที่มองเห็นความหมายและความสำคัญของเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการตายอย่างมีคุณภาพและศักดิ์ศรี ซึ่งสัมพันธ์กับการมองปัญหาแบบองค์รวมโดยเฉพาะอย่างยิ่งมิติทางจิตวิญญาณอย่างแนบแน่น. ขณะนี้มีแพทย์และหน่วยงานบางส่วนได้เริ่มรณรงค์ในเรื่องนี้ น่าจะมีเวทีพูดคุย สัมมนา แลกเปลี่ยนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น.
ปัญหาที่เกิดจากการขาดความรู้ และทักษะใน การดูแลผู้ป่วยระยะท้ายก็เป็นเรื่องสำคัญ มีแพทย์จบใหม่ที่ทำงานในชุมชนเล่าว่า เคยถูกตามไปดูแลผู้ป่วยสูงอายุที่นอนรักษาตัวอยู่ที่บ้านมานาน มีอาการซึมลงและสายยางป้อนอาหารหลุด เขาจึงพยายามให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำและใส่สายยางทางจมูกแต่พยายามอยู่ตั้งนานก็ไม่สำเร็จเหนื่อยทั้งแพทย์และผู้ป่วย. วันรุ่งขึ้นผู้ป่วยก็เสียชีวิต แพทย์ท่านนั้นได้สรุปให้ฟังว่าตอนนั้นเขาไม่มีความรู้เรื่องพยาธิสรีรวิทยาและอาการแสดงของผู้ป่วยระยะใกล้ตาย จึงพยายามให้การช่วยเหลืออย่างผิดๆ สร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้ป่วยและญาติ. ถ้าตอนนั้นมีความรู้ใน เรื่องนี้ดีเขาจะไม่ทำแบบนั้นแต่จะปล่อยให้ผู้ป่วยเป็นไปตามธรรมชาติ และจากไปอย่างสงบ.
สถาบันการศึกษาควรจะบรรจุเรื่องการดูแล ผู้ป่วยระยะสุดท้ายไว้ในหลักสูตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่มีคุณภาพ และจัดระบบการเรียนการสอน เพื่อให้บุคลากรทุก สาขามีเจตคติ ความรู้ และทักษะในด้านนี้. โรงพยาบาลทุกแห่งควรจัดระบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย โดยมีแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐาน มีทีมสุขภาพที่มีความรู้ และทักษะในการดำเนินการในเรื่องนี้.
ทักษะที่สำคัญ นอกจากทักษะการวินิจฉัยและการให้การรักษาแบบประคับประคอง (palliative care) แล้ว ควรมีทักษะในการสื่อสารโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแจ้งข่าวร้าย และการให้คำปรึกษาแนะแนว.
ผมเคยมีญาติได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แพทย์บอกกับผู้ป่วยและญาติตรงๆ ว่าจะอยู่ได้นาน 3 เดือน ซึ่งสร้างความรู้สึกช็อกแก่ผู้ฟังทันที และหนีไปรักษาแบบการแพทย์ทางเลือกเพราะเป็นความหวังสุดท้าย จนตกเป็นเหยื่อของผู้หลอกลวงสิ้นเปลืองเงินทองโดยใช่เหตุ สูญเสียโอกาสในการรับการดูแลที่เหมาะสมไประยะหนึ่ง. แต่ภายหลังตั้งสติได้ กลับมารักษาแบบประคับประคองที่โรงพยาบาลโดยมีแพทย์ที่สามารถให้คำปรึกษาแนะแนวและสร้างเสริมกำลังใจผู้ป่วย ก็สามารถอยู่ได้นานเกิน 1 ปี และอยู่อย่างมีคุณภาพชีวิต. แพทย์ได้เตรียมตัวเตรียมใจผู้ป่วยและญาติในการเผชิญกับวาระสุดท้ายของชีวิต สอนให้รู้จักการทำสมาธิเจริญสติโดยลมหายใจเข้า ออก. ในที่สุดผู้ป่วยก็สิ้นลมขณะมีสติ และอยู่ท่ามกลางไออุ่นของญาติพี่น้อง.
มีแพทย์ชุมชนอีกท่านหนึ่ง เล่าว่าเคยดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่บ้าน ก่อนเสียชีวิตสามารถแนะนำให้ญาติและเพื่อนบ้านจัดพิธีอโหสิกรรมแก่ผู้ป่วย ซึ่ง สร้างความปลาบปลื้มแก่ทุกฝ่าย.
โรงพยาบาลบางแห่ง มีทีมสุขภาพที่ดูแลปัญหานี้โดยเฉพาะ มีทีมพยาบาลเยี่ยมบ้าน ซึ่งถ่ายทอดความรู้ให้ญาติ และให้การช่วยเหลือสนับสนุนให้สามารถดูแลผู้ป่วยกันเองที่บ้าน รวมทั้งเปิดช่องทางปรึกษาทางโทรศัพท์ (hot-line) ได้ตลอดเวลา. ผมรู้จักพยาบาลหลายท่านที่ทำหน้าที่ดังกล่าวดูเขามีความภูมิใจและความสุขในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย.
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ควรส่งเสริมการตายอย่างมีคุณภาพ (ตายอย่างมีสติ และอยู่ท่ามกลางญาติมิตร) และประหยัด (ไม่ดิ้นรนแสวงหาบริการอย่างผิดๆ หรือเกินจำเป็นให้สิ้นเปลือง หรือขายบ้าน กู้หนี้ยืมสิน ล้มละลาย).
ทางเลือกที่ดี ก็คือ ส่งเสริมให้ผู้ป่วยตายที่บ้านซึ่งต้องเตรียมญาติให้พร้อมในเรื่องนี้. ถ้าหากจำเป็นต้องอยู่ที่โรงพยาบาลจนถึงนาทีสุดท้าย ก็ควรจัดสถานที่และสิ่งสนับสนุนให้ญาติสามารถอยู่ดูใจและให้ความอบอุ่นแก่ผู้ป่วยจนสิ้นลมหายใจ.
การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ที่มีคุณภาพ ประหยัด และมีศักดิ์ศรี ควรถือเป็นพันธกิจที่สำคัญอันหนึ่งของระบบสุขภาพ.
(รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานานุภาพ)