• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ผู้ป่วยมะเร็ง คลายกังวลด้วยโยคะ

โรคมะเร็งเป็นปัญหาทางสาธารณสุขของโลก และเป็นสาเหตุการตายสูงถึงร้อยละ ๑๓ ของประชากรผู้เสียชีวิตทั้งหมด
แนวทางการรักษาโรคมะเร็งมีหลายวิธี ได้แก่ การผ่าตัด เคมีบำบัด การฉายรังสี และการใช้วิทยาการอิมมูโน หรือการผสมผสานด้วยวิธีการดังกล่าว (การผ่าตัด เคมีบำบัด และรังสีรักษา ร่วมกัน)

โรคมะเร็งเป็นทั้งโรคที่ร้ายแรงและเรื้อรัง ทำให้ผู้ป่วยเผชิญกับปัญหาต่างๆ ตลอดระยะเวลาการเจ็บป่วย ทั้งจากอาการของโรคโดยตรง ผลข้างเคียงจากการรักษา และผลกระทบทางจิตสังคมที่เกิดจากการเจ็บป่วย โดยปัญหาจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามการดำเนินโรค การรักษา และสภาพความเป็นจริงของชีวิตผู้ป่วยในระยะต่างๆ
ความวิตกกังวลในผู้ป่วยมะเร็งเป็นอาการที่พบบ่อย ไม่ว่าจะเป็นความวิตกกังวลเกี่ยวกับอาการ การรักษา หรือความไม่แน่นอนในอนาคต และการกลับเป็นซ้ำ โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับรังสีรักษา  

จากรายงานการศึกษาพบว่าความวิตกกังวลในผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังได้รับรังสีรักษา มีความสัมพันธ์ทางลบกับการควบคุมตนเอง ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งที่มีความวิตกกังวลมากเกินจะทำให้ความสามารถในการรับรู้และการเรียนรู้ลดลง บิดเบือนความเป็นจริง บุคลิกภาพและความคิดผิดปกติไป

งานผู้ป่วยนอกรังสีรักษา ศูนย์มะเร็งอุดรธานี มีผู้ป่วยมะเร็งมารับบริการจำนวนมาก สถิติปีงบประมาณ ๒๕๕๐, ๒๕๕๑ และ ๒๕๕๒ มีผู้ป่วยมะเร็งที่มารอตรวจที่งานผู้ป่วยนอกรังสีรักษาจำนวน ๘,๐๙๑, ๘,๖๕๔ และ ๘,๔๖๗ รายตามลำดับ เฉลี่ย ๕๑ รายต่อวัน
จากการสังเกตและสอบถามผู้ป่วยที่มารอตรวจจำนวน ๑๐ ราย พบว่าผู้ป่วยมีอาการหวาดหวั่นจะเกิดอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการรักษาด้วยรังสี โดยผู้ป่วยรายหนึ่งสอบถามเกี่ยวกับการฉายรังสีที่จะต้องได้รับภายหลังครบการรักษาด้วยเคมีบำบัด  
ถามว่า “ไม่มาฉายแสงได้หรือไม่ จะเป็นอะไรมั้ยถ้าไม่มาฉายแสง”
อีกรายมีอาการซึม และร้องไห้เมื่อพูดถึงโรคมะเร็งที่เป็น เมื่อสอบถามถึงการปฏิบัติตัวขณะฉายรังสี ผู้ป่วยบอกว่า “พยาบาลสอนแล้ว แต่จำไม่ได้”

หลังจากให้คำแนะนำไปอีกครั้งพร้อมคู่มือการปฏิบัติตัวขณะฉายรังสี และสอบถามซ้ำอีกครั้งผู้ป่วยจำได้เพียงบางส่วน ไม่มีสมาธิในการรับฟังคำแนะนำ การแสดงออกดังกล่าวล้วนเป็นอาการของความวิตกกังวลซึ่งประกอบไปทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ พฤติกรรมและความคิด

จากคำถามที่ผู้ป่วยสอบถามว่า “ไม่มาฉายแสงได้หรือไม่ จะเป็นอะไรมั้ยถ้าไม่มาฉายแสง” จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม มีความเชื่อมโยงกัน เนื่องจากร่างกายและจิตใจถูกควบคุมด้วยการทำงานของสมอง

ดังนั้น ขณะที่สมองคิดในเรื่องไม่ดี จิตใจก็จะเกิดความวิตกกังวล และร่างกายก็จะทำงานผิดปกติไปด้วย จึงเป็นผลให้เกิดความเจ็บป่วยทางกายได้ คนที่มีความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นในขณะที่มีการเจ็บป่วยทางร่างกาย เช่น ป่วยด้วยโรคมะเร็ง มีโอกาสเกิดโรคใหม่มาแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นได้  และถ้าความเจ็บป่วยทางกายที่แสดงออกมาเกิดจากช่วงนั้นกำลังมีความวิตกกังวล  เมื่อความวิตกกังวลหมดไปความเจ็บป่วยทางกายก็จะหมดไปด้วย หรือค่อยๆ หายไป

การช่วยเหลือเพื่อลดความวิตกกังวลมี ๒ วิธี
๑.การใช้ยา เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความวิตกกังวลระดับสูงมากจนมีผลเสียต่อการดำเนินชีวิตประจำวันควรได้รับยากล่อมประสาทหรือยาสงบประสาท ปัจจุบันเรียกว่ายาแก้วิตกกังวล (Antianxiety agents)
๒.การบำบัดรักษาเพื่อลดความวิตกกังวลโดยไม่ใช้ยา มีผู้เสนอไว้หลายวิธี ได้แก่

  • การเผชิญความเครียดหรือความวิตกกังวลโดยตรง (Direct coping) มี ๒ แบบคือการเผชิญความเครียดแบบมุ่งแก้ปัญหา และแบบมุ่งอารมณ์เป็นหลัก
  • การเผชิญความเครียดหรือความวิตกกังวลโดยทางอ้อม (Indirect coping) ทำได้หลายลักษณะดังนี้ การช่วยเหลือด้านสรีรวิทยา (เช่น การใช้เทคนิคผ่อนคลาย ดนตรีบำบัด aroma therapy การนวด) ช่วยเหลือด้านพฤติกรรม (เช่น การฝึกความกล้าแสดงออก) การช่วยเหลือด้านพุทธิปัญญา (เช่น การสร้างจินตภาพ) การฝึกสมาธิแบบพุทธ และโยคะ การช่วยเหลือด้านความคิดและพฤติกรรม

พยาบาลสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีความวิตกกังวลได้ในบทบาทอิสระของพยาบาลในการช่วยเหลือโดยไม่ใช้ยา และได้ผลเป็นที่ยอมรับจากงานวิจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าการฝึกโยคะสามารถช่วยลดความวิตกกังวลได้ทั้งด้านสรีรวิทยา และด้านพุทธิปัญญา

ปัจจุบันการฝึกโยคะถูกนำมาใช้เพื่อการรักษาบำบัดโรคและการเสริมสร้างสมาธิความแข็งแรงทางจิตใจ และช่วยผ่อนคลายทางอารมณ์ มีงานวิจัยพบว่าการฝึกโยคะช่วยเสริมสร้างอารมณ์ที่ดี ลดความโกรธ ลดความเครียด ลดอาการเมื่อยล้าและความตึงเครียดทางอารมณ์ ความกดดันทางอารมณ์จากการทำงานหนักและนักกีฬา ลดความสับสนทางอารมณ์ และความวิตกกังวล

โยคะคือศาสตร์ที่เป็นการผสมผสานพลังในตัวโดยการใช้การเคลื่อนไหว การหายใจ และสมาธิ เป็นผลทำให้เกิดความสมดุลกับร่างกาย เมื่อพลังร่างกาย จิตใจ และวิญญาณผสมกลมกลืนกันดีก็จะทำให้สุขภาพดี ซึ่งมีหลักเบื้องต้นในการฝึกโยคะคืออาสนะ การหายใจ การผ่อนคลาย และการทำสมาธิ

การบริหารร่างกายแบบโยคะ
อาสนะเป็นท่าบริหารร่างกายทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่นมีความอ่อนตัวมากขึ้น ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น  เนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกายเข้าสู่ภาวะสมดุล การหายใจเมื่อมีความวิตกกังวลเกิดขึ้นจะทำให้หายใจเร็วเกินไป ออกซิเจนออกจากร่างกายมากไป จึงเป็นผลให้ออกซิเจนในเลือดลดลงก่อให้เกิดอาการไม่สุขสบายหลายอย่างในร่างกาย เช่น วิงเวียน หายใจไม่ได้ เย็น ชาปลายมือปลายเท้า มือและเท้าเกร็งจีบ

การหายใจแบบโยคะจะช่วยให้ร่างกายได้รับอากาศบริสุทธิ์มากขึ้น ร่างกายสามารถใช้พลังงานในการนำอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ร่างกายน้อยลง แต่ได้อากาศบริสุทธิ์มากขึ้น เนื้อเยื่อต่างๆทำงานได้ดีขึ้นลดอัตราเสี่ยงต่อการตายของเซลล์และของเสียที่คั่งตามเนื้อเยื่อก็จะถูกขจัดออกไป
การบริหารร่างกายแบบโยคะมีจุดประสงค์โดยตรงเพื่อเข้าสู่ความผ่อนคลายซึ่งเป็นทางนำไปสู่สมาธิ การมีสติบังคับกล้ามเนื้อให้หดตัวและคลายตัวจะช่วยปลดปล่อยความวิตกกังวลและความเครียดจากจิตใจจึงช่วยลดความเกร็งของกล้ามเนื้อ ทั้งนี้เพราะความวิตกกังวลและความเครียดทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจมักแสดงออกมาในรูปของความตึงตัวของกล้ามเนื้อ

นอกจากนี้ การบริหารร่างกายแบบโยคะไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ผู้ฝึกโยคะสามารถทำอาสนะได้ทั้งในอาสนะท่านั่ง อาสนะท่ายืน และอาสนะท่านอน เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไป ทุกเพศทุกวัย และผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาลก็สามารถบริหารร่างกายแบบโยคะได้เช่นกัน โดยเลือกฝึกในท่าอาสนะที่ไม่มีข้อห้ามต่อตัวผู้ป่วยนั้นๆ
งานผู้ป่วยนอกรังสีรักษา ศูนย์มะเร็งอุดรธานี จึงเลือกวิธีการบริหารร่างกายแบบโยคะ ซึ่งเป็นวิธีการที่ผสานการหายใจแบบโยคะร่วมกับการเคลื่อนไหวร่างกายโดยมีสมาธิเป็นตัวกำหนด ในการช่วยลดความวิตกกังวลสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยรังสีรักษา

ท่าโยคะอาสนะ
ทีมงานผู้ป่วยนอกรังสีรักษา ศูนย์มะเร็งอุดรธานี นำท่าโยคะที่กลุ่มผู้ป่วยหลายวัยสามารถปฏิบัติได้ ช่วยผ่อนคลายความวิตกกังวล และแต่ละท่าของโยคะอาสนะยังมีประโยชน์ดังนี้

  • ท่าภูเขา

ท่าภูเขาช่วยให้รักษาสมดุลของร่างกาย ไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งเป็นการพัฒนาความสอดคล้องในการเคลื่อนไหว หมายถึง การที่เราเหยียด ยืด ร่างกายทัง ๒ ซีกเท่าๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นความยาวที่เท่าๆ กัน และมวลที่เท่าๆ กันของร่างกาย
 

  • ท่านักรบ

ท่านักรบเป็นท่าที่ช่วยคืนความสดชื่น ความผ่อนคลายให้กับขาที่เมื่อยล้า เป็นผลดีต่อระบบย่อยอาหาร ขจัดอาการเครียดที่สะสมไว้ตลอดทั้งวัน และเป็นการยืดเหยียดอวัยวะต่างๆ ในช่องท้อง
 

  •  ท่าต้นไม้

ความงอกงามจากรากที่หยั่งลึก เป็นการเรียนรู้ที่จะรักษาสมดุล ฝึกการมีสมาธิ กายมั่นคง นำมาซึ่งความตั้งมั่นของจิต เอื้อต่อจิตภาวนา
 

  • ท่าดอกบัว

ท่านี้เป็นท่านั่งที่มั่นคง ช่วยให้กายตั้งมั่น สำหรับการฝึกสมาธิและฝึกหายใจ และยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับข้อเท้า เข่า สะโพก และให้ผลดีกับระบบประสาทที่ขา
 

  • ท่าบิดตัว

เหมาะสำหรับสร้างความแข็งแรง ความยืดหยุ่นให้กับแนวกระดูกสันหลังตลอดทั้งแนว รวมไปถึงกระดูกคอ
 

  • ท่างู

ท่านี้ทำให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง เพิ่มความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลัง ช่วยการไหลเวียนของเลือด โดยเฉพาะบริเวณช่องท้องส่วนบน ช่วยระบบประสาทตามแนวกระดูกสันหลังทำงานได้ดีขึ้น พัฒนากล้ามเนื้อหน้าท้องให้แข็งแรง ระบายลมในช่องท้อง กระตุ้นระบบย่อยอาหาร คลายอาการท้องผูก
 

  • ท่าจระเข้

ท่านอนคว่ำที่ช่วยผ่อนคลายแบบเดียวกับท่าศพ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการนอนหงาย (ปวดหลัง) ท่าจระเข้สามารถใช้แทนกันได้เป็นอย่างดี
 

  • ท่าศพ

นอนหงาย เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั่วร่าง ช่วยให้ร่างกายฟื้นคืนสู่สมดุล พลังงานได้ถ่ายเทจากจุดที่มีอยู่มากเกินไปยังอวัยวะส่วนอื่นๆ เป็นการผ่อนคลายจิตใจ ทำให้หลับได้ดีขึ้น

 

ข้อมูลสื่อ

394-032
นิตยสารหมอชาวบ้าน 394
กุมภาพันธ์ 2555
บทความพิเศษ
สุวิญญา ธนสีลังกูล