• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ยาที่ช่วยสร้าง ความหวังในการมีชีวิตรอด ให้กับผู้ป่วยที่ทนทุกข์ทรมานจากโรคแทรกซ้อน

ยานี้จัดเป็นยาที่ทำให้ “ ยา “ มีความหมายสมบูรณ์แบบจริงๆ เพราะเป็นยาที่จำเป็นจริง ๆ สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยที่กำลังจะหมดหวังจริง ๆ ให้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคแทรกซ้อนต่างๆ นานาสารพัดจริง ๆ และยังสามารถดำรงชีวิตได้ดีขึ้น จริงๆ หากใช้ยานี้อย่างจริงๆ จัง ๆ
ยาจริงๆ นั้น คือ “ ยาต้านไวรัสเอดส์ “ ครับ

องค์การเภสัชกรรม “รับผิดชอบชีวิต ผลิตยาคุณภาพ “ เพื่อผู้ติดเชื้อไวรัส เอดส์

สถิติผู้ป่วยเอดส์ในประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อไวรัส ( HIV ) จากตัวเลขปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ประมาณ ๑ ล้านราย และคาดว่าจะเพิ่มเป็น ๑,๑๒๐,๐๐๐ รายในปีพ.ศ. ๒๕๔๕ นี้และมีผู้ป่วยเอดส์ ๑๐๐,๐๐๐ คน ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณะสุขจะต้องใช้จ่ายงบประมาณและทรัพยากรมหาศาลในการบำบัดผู้ป่วยเหล่านี้ และมีผู้ป่วยเอดส์ เพียง ๕๐๐๐ คนที่ได้รับยาต้านไวรัสเอดส์ องค์การเภสัชกรรมเล็งเห็นปัญหาดังกล่าว จึงได้ริเริ่มโครงการวิจัย และพัฒนายาต้านไวรัสเอดส์ รวมทั้งโรคติดเชื้อฉวยโอกาสขึ้น เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ ช่วยให้ผู้ป่วยเอดส์เข้าถึงยาได้มากขึ้นครับ

เมื่อมีการผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ในประเทศไทยได้แล้ว ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องค่อนข้างละเอียดในความรู้สึกของสังคม เพราะเป็นทั้งความหวัง ความต้องการของผู้ป่วยและญาติพี่น้อง แต่ต้องเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังในการแพทย์เป็นอย่างมาก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับยาต้านไวรัสเอดส์ให้มากที่สุด เพื่อให้มีการใช้ยาอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่เกิดการดื้อยา ไม่เกิดการแพ้ยาจนเสียชีวิต และไม่เกิดความขัดแย้งในสังคมครับ

ข้อแนะนำเกี่ยวกับยาต้านไวรัสเอดส์ที่ผู้ป่วยและญาติพี่น้องพึงรู้
๑. งานวิจัยในคนไทยพบว่า คนไทยจะใช้เวลาประมาณ ๗ ปี จึงเริ่มแสดงอาการและเริ่มมีโรคแทรกซ้อน เช่น เริ่มมีเชื้อรา เชื้อราในสมอง วัณโรคเทียม นิวโมเนีย ซึ่งบกบอกถึงภาวะคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง หลังจากแสดงอาการแล้ว ถ้าไม่ทำการรักษาทั้งโรคเอดส์และโรคแทรกซ้อน ผู้ป่วยร้อยละ ๕๐ จะเสียชีวิตภายใน ๓ ปี รวมเวลาทั้งหมดประมาณ ๑๐ ปี
๒. ในปัจจุบันยังถือว่าไม่มียาใดที่ทำให้โรคเอดส์หายขาดได้ การป้องกันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญสุด
๓. ยาต้านไวรัสเอดส์ออกฤทธิ์เพียงแต่สามารถกดเชื้อไว้ ( ไม่ได้ฆ่าเชื้อ ) ให้มีปริมาณลดต่ำลง จนไม่สามารถตรวจนับได้ คือมีจำนวนเชื้อต่ำกว่า ๕๐ ตัว/ มิลลิลิตร และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยดีขึ้น และเกิดโรคแทรกซ้อนจากเชื้ออื่น ๆ น้อยลงหรือไม่เกิดขึ้นเลย
๔. กลไกลที่ยาต้านไวรัสเอดส์ออกฤทธิ์ คือ ยับยั้งการเจริญเติบโต และการแบ่งตัวไปเป็นไวรัสที่สมบูรณ์เมื่อเชื้อเข้าสู่เซลล์ ต่าง ๆ ของร่างกายผู้ป่วย
๕. ยังไม่มียาที่สามารถยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัส เอชไอวี เข้าสู่เซลล์ได้ ยาที่องค์การเภสัชกรรมผลิตเป็นยาที่ออกฤทธิ์หลังจากที่เชื้อเข้าสู้เซลล์แล้ว
๖. หากกินยาไม่ตรงตามเวลาที่กำหนด หรือขาดยา จะทำให้เชื้อกลับเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงจำเป็นต้องกินยาให้ตรง ตามเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด และจำเป็นต้องกินไปตลอดชีวิต
๗. การป้องกันไม่ให้มีการดื้อยา มีความสำคัญมาก จึงจำเป็นต้องใช้ยาอย่างถูกต้องที่สุด
๘. จะเริ่มกินยาเมื่อผู้ป่วยมรอาการที่บ่งบอกว่าภูมิคุ้มกันบกพร่อง คือ น้ำหนักลด มีเชื้อราในคอและปาก มีตุ่มตามผิวหนัง เป็นต้น หรือถ้าไม่มีอาการจะพิจารณาจากระดับเม็ดเลือดขาว  ซีดี๔ ( CD 4 ) หากน้อยกว่า ๒๐๐ – ๒๕๐ ดังนั้น ผู้ป่วยจะต้องได้รับการตรวจและติดตามผลจากแพทย์ในสถานพยาบาล ไม่สามารถซื้อยากินเองได้
๙. แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกใช้ยา โดยจะยังไม่ใช้ยาสูตรรวมทันที แต่จะใช้ยาสูตรเดี่ยวก่อนเพื่อไม่ให้เกิดการแพ้ยา และให้เวลาร่างกายปรับตัว จนสามารถทนรับยาได้ และดูผลการควบคุมเชื้อเพื่อไม่ให้เกิดการดื้อยา ดังนั้น ผู้ป่วยต้องเข้ารับการติดตามผลที่สถานพยาบาลอย่างต่อเนื่อง
๑๐. ยาสูตรรวม ๓ ชนิด เป็นสูตรยาที่ดีที่สุดสำหรับปัจจุบัน แต่จะใช้เฉพาะผู้ป่วยที่ไม่เคยกินยาต้านไวรัสหรือเคยใช้แต่สามารถควบคุมเชื้อได้ดีไม่มีการดื้อยา เพราะหากมาใช้สูตรผสมจะทำให้เกิดการดื้อยาข้ามกลุ่มได้
๑๑. เวลาในการกินยาต้องกำหนดเป็นทุก ๑๒ ชั่วโมง ( สำหรับยาที่ต้องกินวันละ ๒ ครั้ง ) และทุก ๒๔ ชั่วโมง ( สำหรับยาที่ต้องกินวันละ ๑ครั้ง ) ไม่ควรใช้มืออาหารเพราะเวลาอาจไม่แน่นอนจะทำให้ระดับยาในเลือดลดต่ำลงไม่สามารถกดเชื้อที่แบ่งตัวตลอดเวลาได้
๑๒. ผลข้างคียงของยา มีตั้งแต่เป็นผื่นเล็กน้อย คลื่นไส้ อาเจียน ปวด แสบ ชาบริเวณมือและเท้า กล้ามเนื้ออ่อนล้า นอนไม่หลับ ปวดข้อและกล้ามเนื้อ จนถึงอาการรุนแรงได้แก่ ภาวะเลือดเป็นกรดจนเสียชีวิตได้ ตับอักเสบรุนแรง ภาวะไขมันลดลงจนแก้มตอบ ดังนั้น ผู้ป่วยต้องหมั่นสังเกต และแจ้งให้แพทย์ผู้ตรวจทราบทุกครั้ง
๑๓. ยาต้านไวรัสเอดส์ จัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ไม่มีจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป ยกเว้นร้านจำหน่ายยาขององค์กรเภสัชกรรม แต่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์จึงจะซื้อยาได้
๑๔. ยาต้านไวรัสเอดส์ ขององค์การเภสัชกรรมทุกรายการ ได้รับการตรวจศึกษาชีวสมมูลย์เปรียบเทียบกับยาต้นแบบแล้ว พบว่ามีประสิทธิผลเทียบเท่ากับยาต้นแบบ จึงเชื่อมั่นในคุณภาพได้

หากมีปัญหาเรื่องการใช้ยาหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามเภสัชกรของร้านขายยาองค์การเภสัชกรรมได้ทุกสาขาครับ

ข้อมูลสื่อ

284-010
นิตยสารหมอชาวบ้าน 284
ธันวาคม 2545
ภก.นิพล ธนธัญญา