• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออกเป็นโรคระบาดที่พบมากแถบบ้านเราและประเทศใกล้เคียง มีการระบาดเป็นระยะๆ ทั่วทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทุกท่านก็คงรู้จักกันแล้วนะครับ เรามาดูกันว่าโรคนี้เป็นอย่างไร น่ากลัวมากไหม และเราจะมีวิธีป้องกันช่วยตัวเองกันอย่างไรบ้าง ต่อไปนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจและมีความสำคัญอย่างมากครับ

ไข้เลือดออกเกิดจากอะไร
ไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสครับ ติดต่อโดยยุงเป็นพาหะของโรค โดยเฉพาะยุงลายซึ่งเชื้อไวรัสเติบโตในยุง เมื่อยุงมากัดเราเชื้อไวรัสก็เข้าสู่ร่างกาย เมื่อฟักตัวระยะหนึ่งก็จะทำให้เกิดโรคไข้เลือดออกได้ ส่วนรายละเอียดกลไกการเกิดโรคจะไม่ขอกล่าวในที่นี้ครับ

รู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นไข้เลือดออก
เรื่องนี้อาจจะยากนิดหนึ่งครับ แต่มีข้อสังเกตบางประการที่อาจจะช่วยให้สงสัยว่าอาจจะเป็นไข้เลือดออก เช่น
1. มีไข้สูง อ่อนเพลียเป็นเกิน 2 วัน ดังนั้นในกรณีที่เป็นไข้วันเดียวหาย ก็ไม่ใช่ไข้เลือดออกครับ
2. ถ้ามีปวดหัวมากหรืออาเจียนมากร่วมด้วย น่าสงสัยครับ
3. หลังเป็นไข้ 2 ถึง 7 วัน แล้วไข้ลดลงเอง เมื่อไข้ลดแล้วมีอาการเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งอาจจะเป็นไข้เลือดออกได้
ก. ปวดศีรษะมาก อ่อนเพลียมาก
ข. อาเจียนมาก กินอาหารไม่ได้
ค. ปวดท้อง
ง. มีจ้ำเลือดเล็กๆ บริเวณแขน ขา หรือลำตัว
จ. มีเลือดออกตามอวัยวะเช่น เลือดกำเดา ถ่ายเป็นเลือด ประจำเดือนมาก่อนกำหนด เป็นต้น

ถึงตอนนี้เมื่อมีอาการที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้สงสัยแล้วว่า อาจจะเป็นไข้เลือดออกได้ คงจะต้องไปพบแพทย์แล้วครับ แพทย์จะตรวจร่างกายและตรวจเลือดดู โดยเฉพาะการตรวจเลือดจะมีลักษณะพิเศษคือ เกล็ดเลือดต่ำ และความเข้มข้นของเลือดสูง

ผู้ใหญ่เป็นได้ไหม
สงสัยกันมาก เพราะสมัยหนึ่ง เคยคิดว่าเป็นเฉพาะในเด็ก คำตอบ คือเป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ครับ และ คนที่เป็นแล้วสามารถเป็นอีกได้ เพราะว่าเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดไข้เลือดออก มีหลายชนิดครับ

อันตรายมากไหม ถึงตายไหม
ไข้เลือดออกทำให้เสียชีวิตได้ อย่างแน่นอนครับ ซึ่งเป็นโรคที่น่ากลัวเสมอมาแต่ไม่ทุกราย เนื่องจาก ความรุนแรงของโรคในแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเป็นไข้อย่างเดียว เมื่อหายแล้วก็เป็นปกติเลย แต่บางรายเป็นมากจนถึงขั้นเสียชีวิต แม้จะได้รับการรักษาอย่างดีในโรงพยาบาล ที่มีเครื่องมือทุกอย่างพร้อม

วันที่อันตรายที่สุดของโรคไข้เลือดออกคือวันที่ไข้ลดครับ เนื่องจากผู้ป่วยอาจมีอาการช็อกหรือเลือดออกตามร่างกายได้ เวลาที่สำคัญที่สุด และอันตรายที่สุดของโรคไข้เลือดออก คือ ภายใน 48 ชั่วโมง หลังไข้ลด ถ้าผ่านไปได้แล้วมักจะปลอดภัยไม่มีปัญหาครับ

อาการช็อกเป็นสาเหตุการตาย ส่วนใหญ่ของโรคไข้เลือดออก เกิดเนื่องจากการขาดน้ำอย่างรุนแรง ทั้งที่เราไม่เห็นมีน้ำออกจากร่างกาย โดยที่โรคนี้ทำให้หลอดเลือดไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ได้ น้ำในหลอดเลือดจะไหลไปอยู่ในเนื้อเยื่อข้างเคียง ความดันเลือดลดลง เกิดอาการช็อกตามมา

จะป้องกันอย่างไร
การป้องกันคือหัวใจของการควบคุมโรคนี้ครับ เนื่องจากโรคไข้เลือดออกไม่มียารักษาโดยตรง ไม่มีวัคซีนป้องกัน กุญแจหลักในการป้องกันโรคนี้คือยุงครับ ยุงที่เป็นพาหะสำคัญคือยุงลาย ชอบกัดตอน กลางวัน ถ้ากำจัดยุงไม่ได้ โรคนี้จะไม่หมด มาช่วยกันนะครับ
1. ป้องกันไม่ให้ยุงกัด เรื่องนี้ยากสุดครับ เนื่องจากกลางวันต้องทำงาน ต้องอยู่นอกบ้าน แต่ช่วยได้บ้าง เช่น ติดมุ้งลวดในบ้าน ขณะทำงานทายากันยุง
2. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง คือ แหล่งน้ำขังครับ เริ่มจากในบ้านก่อนเลย เช่น แจกันดอกไม้ที่ใส่น้ำไว้ ขาตู้ใส่น้ำกันมด ตุ่มใส่น้ำไม่ปิดฝา หลังจากนั้นเริ่มมองหาบริเวณรอบบ้าน เช่น ขวดพลาสติก แก้วพลาสติกมีน้ำขัง ยางรถยนต์เก่า และแอ่งน้ำตามธรรมชาติ เป็นต้น แล้วร่วมมือช่วยกันในชุมชนดูแลไม่ ให้น้ำขัง เพียงแค่นี้ก็สามารถควบคุมการระบาดของไข้เลือดออกได้และดีที่สุดครับ

จะทำอย่างไรดี เมื่อเป็นไข้เลือดออก
มีข้อแนะนำดังนี้ครับ
ในกรณีที่สงสัยว่าตัวเองหรือลูกอาจจะเป็นไข้เลือดออกตามอาการแสดงที่บอกมาข้างต้น ควรพบแพทย์ครับ เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง แต่บางกรณีแพทย์เองก็อาจจะวินิจฉัยไม่ได้ หรือไม่แน่นอน เช่น ผู้ป่วยพบ แพทย์เร็วไปหลังเป็นไข้ใหม่ๆ หรือตามคลินิกทั่วไปไม่สามารถตรวจเลือด ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ควรช่วยตัวเองไปก่อนครับ ยาที่วิเศษสุดคือน้ำนั่นเอง เนื่องจากโรคไข้เลือดออกไม่มียารักษาโดยตรง การได้น้ำก็เพื่อป้องกันการช็อกจากการขาดน้ำนั่นเอง ควรดื่มน้ำมากๆ โดยเฉพาะน้ำเกลือแร่ เช่นเดียวกับที่รักษาโรคท้องเสีย (โออาร์เอส) อาจจะซื้อตามร้าน หรือทำเองก็ได้ครับ
 
เนื่องจากไม่มียาสำหรับไข้เลือดออกโดยตรง นอกจากยาแก้ปวดลดไข้แล้ว ไม่ต้องใช้ยาอะไรอีก ยาที่ใช้ คือพาราเซตามอล ห้ามใช้แอสไพรินเด็ดขาด
ถ้าหากทราบแน่นอนแล้วว่าเป็นไข้เลือดออก มีผลตรวจเลือดยืนยันชัดเจน การรักษาแพทย์จะพิจารณาเป็นรายๆไป
ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการมาก แพทย์จะให้กลับบ้านได้และให้ดื่มน้ำเกลือแร่มากๆ

ในผู้ป่วยที่มีอาการมากๆ เช่นซึมลง อาเจียนมาก ความดันเลือดลด ปวดศีรษะมาก มีเลือดออก แพทย์ก็มักให้อยู่โรงพยาบาล ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด หลังจากนั้น 2 ถึง 3 วัน เมื่ออาการดีแล้วก็กลับบ้านได้
 

ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการแทรกซ้อน ก็อาจจะได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด
การรักษาผู้ป่วยไข้เลือดออกในแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เนื่องจากความรุนแรงของโรคในแต่ละคนต่างกัน มิใช่ว่าทุกคนที่เป็นโรคนี้จะเป็นอันตรายเหมือนกันครับ

ผู้ป่วยบางรายไม่พอใจที่เป็นไข้เลือดออกแล้วหมอไม่ให้อยู่โรงพยาบาล ในขณะที่คนไข้รายอื่นได้อยู่โรงพยาบาล หรือพบเห็นคนบ้านใกล้เป็นไข้เลือดออกแล้วเสียชีวิต ก็เลยคิดว่าตัวเองหรือลูกที่เป็นจะต้องเสียชีวิตด้วย เกิดอาการตระหนกเกินเหตุ เลยเครียดกันทั้งบ้าน
 
อาการอย่างไรที่เป็นสัญญาณอันตราย เมื่อเป็นไข้เลือดออก
มีอาการดังนี้ครับ
1. ซึมลงอย่างรวดเร็ว อ่อนเพลียอย่างมาก
2. มีจ้ำเลือดตามร่างกายมาก
3. อาเจียนมาก กินอาหารและดื่มน้ำไม่ได้
4. มีเลือดออกตามร่างกายเช่น เลือดกำเดา อาเจียนเป็นเลือดถ่ายอุจจาระเป็นเลือด หรือเลือดออก ช่องคลอด
5. ปวดท้องมาก

อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณอันตรายครับ ท่านต้องไปพบแพทย์ทันที หรือหากเคยพบแพทย์มาแล้ว ต้องกลับไปพบแพทย์ใหม่อีกครั้ง เนื่องจากบางครั้งขณะที่พบแพทย์ครั้งแรกยังไม่มีอาการเหล่านี้ หรืออาการไม่รุนแรง


ไข้เลือดออกยังเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศไทย เพราะมีผู้เสียชีวิตทั้งเด็กและผู้ใหญ่จากไข้เลือดออกทุกปี
ปัญหานี้ยังไม่หมดไปจนกว่าจะมีการผลิตวัคซีนป้องกันได้สำเร็จแต่ความรุนแรงของปัญหาลดลงได้ด้วยทุกคนช่วยกันควบคุมยุงลายอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่ทุกคนสามารถช่วยกันได้ ในขณะที่การรักษาเมื่อเป็นโรคไข้เลือดออกเพียงเพื่อป้องกันร่างกายไม่ให้เกิดอาการแทรกซ้อนขึ้น ฉะนั้นยาทั้งกินและฉีดแก้ไข้เลือดออกไม่มีครับ

สำหรับท่านที่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นหรือไม่เป็นไข้เลือดออก สิ่งสำคัญที่ขอย้ำอีกครั้งคือน้ำเกลือแร่ครับ ดื่มมากๆ ไว้ก่อนช่วยได้มากครับ

ข้อมูลสื่อ

267-010
นิตยสารหมอชาวบ้าน 267
กรกฎาคม 2544
โรคน่ารู้
นพ.สมชาญ เจียรนัยศิลป์