• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

มิติที่ ๕ ของงานบริการสาธารณสุข

                ...ลองสมมติว่า  คุณมีบ้านอยู่หน้าโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในประเทศไทย  คุณออกกำลังกายตลอด  กินอาหารครบห้าหมู่  ตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี  มีประกันสุขภาพคือไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเมื่อเจ็บป่วย  มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาเยี่ยมบ้านบางเวลา  คุณฉีดวัคซีนทุกชนิดที่มีในโลกนี้ซึ่งทำให้สามารถป้องกันโรคได้หลายสิบโรค  และเมื่อคุณอายุมากขึ้น  คุณก็มีบริการด้านฟื้นฟูสมรรถภาพความพิการ,การช่วยตัวเองไม่ได้ เป็นอย่างดีจากโรงพยาบาลและท้องถิ่นที่คุณพำนักอยู่  เชื่อแน่ว่าคุณน่าจะเป็นคนที่มีสุขภาพดีในระดับหนึ่งใช่ไหมครับ...

                ทั้งหมดที่ผมยกตัวอย่างไปนั้น คือมิติทั้ง ๔ ด้านของงานบริการสาธารณสุขซึ่งแวดวงสาธารณสุขทุกประเทศยึดถือเป็นหลักการในการดูแลประชาชน คือ

๑.      การรักษาพยาบาล คือ การรักษาโรคให้หาย เมื่อเกิดการเจ็บป่วย

๒.    การส่งเสริมสุขภาพ คือ บำรุงรักษาให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทาน

๓.    การป้องกันและควบคุมโรค คือ การระมัดระวัง ป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นโรค

๔.    การฟื้นฟูสมรรถภาพ เมื่อเกิดความพิการ หรือ การทำหน้าที่ของอวัยวะเกิดความผิดปกติก็มีการฟื้นฟูให้คืนสภาพ หรือใช้งานได้

.....แต่อย่าเพิ่งดีใจไป...เผอิญต่อมาเราพบว่าคุณชอบกินอาหารทอดๆ มันๆ เป็นชีวิตจิตใจนับตั้งแต่กล้วยแขก ไก่ทอด และปาท่องโก๋ ที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำอยู่บ่อยๆ  คุณดื่มน้ำบรรจุขวดที่ไม่มีอย. (ซึ่งหมายความว่าน้ำนั้นอาจไม่เหมาะต่อการบริโภค)  กินผักและผลไม้ที่ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง  คุณดื่มเครื่องดื่มชูกำลังที่มีน้ำตาลเกินค่ามาตรฐาน ๓ เท่า  คุณยายในบ้านคุณดื่มยาบำรุงกำลังที่มีสารสเตอรอยด์ปนอยู่  และคุณกินอาหารที่มีทั้งสารฟอกขาว  สารยืดอายุการเก็บรักษาอาหาร  ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งอยู่บ่อย บ่อย...อย่างนี้  คุณว่าคุณจะสุขภาพดี  และอายุยืนยาวหรือไม่ครับ...คำตอบก็คือไม่

                ดังนั้น  ขณะนี้จึงมีการเพิ่มมิติที่ ๕ ของการจัดบริการสาธารณสุขแก่ประชาชนลงในกรอบงานประจำของหน่วยงานของรัฐบาลในหลายประเทศ  อันได้แก่  “งานคุ้มครองผู้บริโภค (ด้านสาธารณสุข)” ลงในมาตรฐานการจัดบริการ

          สำหรับในประเทศไทย  หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุขมีหลายหน่วยงาน  แต่ถ้าเฉพาะเจาะจงให้แคบลงเน้นในเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุขก็คงมีหน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยมีกลไกสำคัญในพื้นที่คือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในระดับจังหวัดทั้ง ๗๗ จังหวัด   ส่วนหน่วยงานอื่นๆ เช่น สำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กรมวิชาการของกระทรวงสาธารณสุข หรือแม้กระทั่งแพทยสภาและสภาวิชาชีพต่างๆ ที่ดูแลมาตรฐานและจรรยาบรรณของผู้ให้บริการ  ก็คงจะเป็นการสนับสนุนงานคุ้มครองผู้บริโภคทางอ้อมอีกทีหนึ่ง...

                ความเฉพาะเจาะจงของงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพถือเป็นกิจกรรมที่ต้องมีระบบการเฝ้าระวัง  ต้องอาศัยเครือข่ายในพื้นที่  การสื่อสารที่ทั่วถึงและรวดเร็ว  ที่สำคัญคือ ต้องมีการจัดการทั้งในระดับประเทศ ชุมชน ครอบครัว และปัจเจกรายบุคคล

                ทุกวันนี้  แม้กระทรวงสาธารณสุข  โดยเฉพาะสำนักงานอาหารและยาจะพยายามพัฒนาระบบการดูแลผู้บริโภคด้านอาหารและยา  โดยอาศัยกลไกในพื้นที่ คือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลมาช่วยกัน  แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการรองรับกับปัญหาซึ่งมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และเปลี่ยนแปลงอย่างซับซ้อนอยู่ตลอดเวลา

                ข้อมูลเชิงประจักษ์ในขณะนี้ คือ ประเทศไทยแม้มีหน่วยงานของรัฐบาลหลายหน่วยงานช่วยดูแลผู้บริโภค  แต่เมื่อเปรียบเทียบขนาดของปัญหากับการลงทุนของภาครัฐ (งบประมาณ คน ตัวกฎหมาย ระเบียบรองรับ) ยังถือว่าเราให้ความใส่ใจกับงานด้านนี้น้อย  ยิ่งเมื่อไปเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนอย่างสิงคโปร์ หรือมาเลเซียแล้วถือว่าเราล้าหลังกว่า

                ในเชิงโครงการหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง  สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคของเราเป็นเพียงแค่หน่วยงานเล็กๆสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี  มีเจ้าหน้าที่เพียง ๑๐๐ กว่าคนและมีงบประมาณเพียง ๑๐๐ กว่าล้านบาทต่อปี  เมื่อเทียบกับมาเลเซียเป็นหน่วยงานระดับกระทรวง คือ กระทรวงคุ้มครองผู้บริโภคและการสหกรณ์ มีหน่วยงานย่อยไปถึงระดับจังหวัด  และมีงบประมาณสนับสนุนมากกว่าเราหลายเท่า..

                ในเชิงกฎหมาย  รัฐบาลมาเลเซียและสิงคโปร์พยายามส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน และองค์กรเอกชน ได้เข้ามามีบทบาทในการเฝ้าระวังและคุ้มครอง  โดยรัฐช่วยสนับสนุนงบประมาณให้  ในประเทศไทยรัฐบาลยังมององค์กรภาคีเหล่านี้ด้วยสายตาที่ไม่เชื่อมั่นและหวาดระแวง

                ในวันที่ ๓๐ เมษายน ของทุกปี  จะตรงกับ “วันคุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติ”  สมควรที่เราคนไทยจะช่วยกันพัฒนาจิตสำนึกและสร้างกลไกใหม่ๆในการทำงานให้ งามคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุข  ได้เข้ามาเป็นกลไกใหม่ในการดูแลสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้....

ข้อมูลสื่อ

438-1330
นิตยสารหมอชาวบ้าน 438
ตุลาคม 2558
นพ.วีระวัฒน์ พันธ์ครุฑ