• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

เสียงดังในโรงพยาบาล

          “ตู๊ดต๊าด....กริ้ง เกร้ง..ครืน...แก็ก  ฯลฯ เสียงดังอื้ออึงเหล่านี้ ทำให้สมศรีนอนแทบไม่หลับตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา  หลังจากที่เข้ามานอนในตึกสามัญแผนกอายุรกรรมของโรงพยาบาลรัฐบาลแถบชานเมืองแห่งหนึ่งใกล้บ้านของเธอ  เธอคิดว่าถ้าเป็นไปได้  อยากขอหมอกลับบ้านให้เร็วที่สุด เพราะ การไม่ได้พักผ่อนให้เต็มที่เป็นความทุกข์ทรมานอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วย...

          มีการศึกษาพบว่า  ในห้องผู้ป่วยหนัก  (ICU = Intensive Care Unit) ของโรงพยาบาล  มีเสียงดังชนิดต่างๆถึง ๓๓ ชนิด  ทั้งเสียงเครื่องจับสัญญาณชีพ (Monitoring Unit) ชนิดต่างๆ  เสียงดูดเสมหะ, เสียงเครื่องช่วยหายใจ, เสียงครางของผู้ป่วย และอื่นๆอีกสารพัด...

          ที่แผนกผู้ป่วยนอก  ยังมีเสียงประกาศ เสียงเด็กร้อง เสียงไอจามของผู้ป่วย เสียงขานเรียกผู้ป่วย  พบว่าแม้กระทั่งเสียงโทรทัศน์  ก็มีส่วนทำให้ความดันของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น  จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้ป่วยบางราย  วัดความดันโลหิตที่บ้านอยู่ในเกณฑ์ปกติ  แต่เมื่อวัดที่โรงพยาบาลกลายเป็นว่ามีความดันโลหิตสูง...จากการวิจัยพบว่า  ทุกวันนี้  โรงพยาบาลหลายแห่งมีเสียงดังเกินมาตรฐาน  โดยเฉพาะโรงพยาบาลในเมือง  ยิ่งบางโรงพยาบาลมีการก่อสร้าง  ยิ่งเป็นมลภาวะทางเสียงรบกวนกับผู้ป่วยมากขึ้น

          ความเงียบนั้น  มีผลด้านบวกต่อการทำงานของสมอง  การที่โรงพยาบาลเต็มไปด้วยเสียงต่างๆ  และรบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วย  ตลอดจนการทำงานของเจ้าหน้าที่  ทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของทุกคนที่เกี่ยวข้อง  โรงพยาบาลควรเป็นสถานที่ซึ่ง สงบ เย็น สะอาด และเหมาะแก่การพักฟื้นของผู้ป่วย

          สถาปนิกท่านหนึ่งกล่าวว่า  สถาปนิกไม่ค่อยอยากออกแบบอาคาร สิ่งก่อสร้างในโรงพยาบาล  เพราะมีข้อกำหนดและข้อจำกัดแยะเกินไป  โรงพยาบาลบางแห่งต้องก่อสร้างขึ้นทางสูงแล้วในขณะนี้  เพราะข้อจำกัดเรื่องที่ดินคับแคบ  ความแออัดจึงตามมา  การออกแบบให้ทำอย่างไรจึงจะลดสุ้มเสียงต่างๆให้น้อยลง  จึงเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่สำคัญในขณะนี้

          คนไทยเรานั้น  บ่อยครั้งเรามีปัญหาเรื่องวัฒนธรรมการใช้เสียง  ตัวอย่างเช่น  รถยนต์บางคันติดลำโพงที่มีกำลังขยายสูง เปิดเสียงดัง  การใช้เสียงของสถานบันเทิงและรีสอร์ทต่างๆในยามค่ำคืน หรือแม้กระทั่งในรถไฟฟ้า รถใต้ดินที่มีการโฆษณาต่างๆทำให้คนเกิดความเครียดมากขึ้นในชีวิตประจำวัน

          โรงพยาบาลในกรุงเทพฯบางแห่งมีอาคารถึง ๕๐-๖๐ อาคาร ทำให้ผู้ป่วยและญาติหลงทางได้บ่อยๆ  มีการวิจัยพบว่าการหลงทางของผู้ป่วยทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจเพราะทำให้ต้องใช้เวลามากขึ้น

          สำนึกที่เรียกว่า “นิเวศวัฒนธรรม” เป็นสิ่งที่พบว่า บางครั้งขาดหายไปในการก่อสร้างอาคารสถานที่ของหน่วยราชการของรัฐ

          จากการเฝ้าระวังและประเมินสภาพแวดล้อมในการทำงานด้านเสียงในหน่วยงานต่างๆของโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต  พบว่ามี ๓ หน่วยงาน  มีระดับความดังของเสียงเกิน ๘๐ เดซิเบล ได้แก่  งานซ่อมบำรุง, งานโภชนาการ, งานซักฟอก และพบว่าเจ้าหน้าที่ถึง ๕๐% ของแผนกซักฟอกมีความผิดปกติจากการได้ยิน  จนต่อมาโรงพยาบาลต้องออกมาตรการควบคุมและป้องกันอันตรายจากเสียงดังกล่าว

          มาตรฐานขององค์การอนามัยโลก  กำหนดให้เสียงตั้งแต่ระดับ ๓๐ เดซิเบลขึ้นไป  มีผลรบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วย  สมัยที่มีการชุมนุมของม็อบกปปส.เมื่อปี ๒๕๕๗  นั้น  มีการชุมนุมถึง ๗ เวทีด้วยกัน  พบว่ามีผลกระทบต่อโรงพยาบาลขนาดใหญ่ทั้งสิ้นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ๔ แห่ง  ซึ่งมีผู้ป่วยนอนพักอยู่กว่าพันราย  อันนี้ก็คงเป็นเรื่องที่ต้องมาประเมินผลกระทบกันในระยะยาว  ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก

          การที่ผู้ป่วยต้องพยายามข่มตาหลับท่ามกลางเสียงอื้ออึงนั้น  ในประเทศอังกฤษมีการสำรวจความคิดเห็นของผู้ป่วยที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลในทั่วประเทศ  พบว่าเสียงรบกวนในเวลากลางคืนเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ป่วย  ซึ่งรบกวนการนอน  นับตั้งแต่เสียงรบกวนจากตัวบุคลากร  ทั้งระหว่างที่พูดคุยกัน หรือเดินเสียงเดินผ่านไปมา  รวมถึงเสียงรบกวนจากรถเข็น  เสียงโทรศัพท์  เสียงกรน  เสียงโหวกเหวกโวยวาย ของผู้ป่วยคนอื่น  ซึ่งทำให้ต่อมาเกิดโครงการลดการใช้เสียงในโรงพยาบาลตามมา

          การใช้หลักการใช้ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง  พัฒนากำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาเสียงรบกวนร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกับผู้ป่วย  น่าจะเป็นยุทธศาสตร์อีกเรื่องหนึ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในแผนพัฒนาคุณภาพบริการของโรงพยาบาล  การดูแลสุขภาพที่ดีนั้น  ผู้ให้บริการจำเป็นต้องรับฟังเสียงสะท้อนจากผู้ป่วย และพื้นฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ต่างๆ  เพื่อทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการที่ดียิ่งขึ้น

ข้อมูลสื่อ

454-01
นิตยสารหมอชาวบ้าน 454
กุมภาพันธ์ 2560
นพ.วีระวัฒน์ พันธ์ครุฑ