วัคซีนป้องกันวัณโรคจะมาเป็นยารักษามะเร็งของผนังกระเพาะปัสสาวะ
นับจากนี้ต่อไป วัคซีนบีซีจีจะไม่มีการใช้ในผู้ใหญ่อีกต่อไป ยกเว้นในกลุ่มเด็ก ซึ่งต้องเป็นเด็กที่มีข้อจำกัดที่ไม่สนองตอบต่อการทดสอบปฏิกิริยาทางผิวหนัง อีกทั้งยังต้องเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากผู้ป่วยที่อยู่ใกล้ชิด
เมื่อไม่นานมานี้คณะกรรมการที่ปรึกษาในการให้ภูมิคุ้มกัน (Immunization Practices Advisory Committee) ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศแนวทางใหม่ในการให้ภูมิคุ้มกันป้องกันวัณโรคด้วยวัคซีนบีซีจี โดยมีข้อแนะนำที่ไม่ต้องให้วัคซีนแก่นักสาธารณสุขหรือผู้ใหญ่ที่ทำงานเสี่ยงต่อการติดโรคจากผู้ป่วยวัณโรค ตามที่ได้ปฏิบัติกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2522 เพราะเห็นว่าสถานการณ์ในขณะนี้มีวิธีการติดตามตรวจสอบการติดเชื้อ เช่น การทดสอบปฏิกิริยาทางผิวหนังเป็นระยะๆ เพื่อเตือนภัยล่วงหน้าอยู่แล้ว ประกอบกับทางโรงพยาบาลต่างๆ มีระบบการป้องกันที่มีประสิทธิภาพอยู่ด้วย
ดังนั้น นับจากนี้ต่อไป วัคซีนบีซีจีจะไม่มีการใช้ในผู้ใหญ่อีกต่อไป ยกเว้นในกลุ่มเด็ก ซึ่งต้องเป็นเด็กที่มีข้อจำกัดที่ไม่สนองตอบต่อการทดสอบปฏิกิริยาทางผิวหนัง อีกทั้งยังต้องเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากผู้ป่วยที่อยู่ใกล้ชิด ถึงแม้ความจำเป็นในการใช้วัคซีนเพื่อป้องกันวัณโรคในสหรัฐฯ จะถูกลดบทบาทลง แต่ความสำคัญของวัคซีนบีซีจีกลับเป็นที่น่ายินดีในกลุ่มนักวิจัยในสหรัฐฯ เองในขณะนี้ เพราะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียได้ทำการทดลองทางคลินิกเพื่อดูประสิทธิภาพของวัคซีนต่อการต่อต้านการขยายตัวของมะเร็งในผนังกระเพาะปัสสาวะ พบว่า มีผลดีกว่าการผ่าตัดอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องให้วัคซีนต่อเนื่องตลอด 6 สัปดาห์ และผลข้างเคียงของยาจะทำให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะบ่อย และมีอาการปวดและแสบร้อน ถึงแม้ผู้ป่วยจะทนยาได้ดี แต่พิษของยาอาจรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้
(จาก American Pharmacy. 1989:NS29(3). และ Drug Topic. 1989;133(5):6.)
- อ่าน 3,378 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้