ทางหมอชาวบ้านได้รับคำถามจากผู้อ่านจำนวนมากที่ถามถึงอันตรายของโรคไวรัสตับอักเสบ บี และความจำเป็นในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ ซึ่งกำลังเป็นเรื่องฮิตเรื่องหนึ่งของคนไทยในขณะนี้ |
1. โรคเก่ายี่ห้อใหม่
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เรามักจะคุ้นหูกับชื่อ “โรคตับอักเสบ” “โรคดีซ่าน” “ไวรัสลงตับ” “ไวรัสตับอักเสบ บี” และ “ไวรัส บี” กันมาก เพราะได้มีการแพร่กระจายข่าวทางสื่อมวลชนถึงเรื่องราวของโรคนี้อย่างมากมายจนทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่ามีการระบาดของโรคใหม่อีกชนิดหนึ่งที่น่ากลัวแบบโรคเอดส์เกิดขึ้นกันอีกแล้ว ที่จริงแล้วโรคนี้ (ซึ่งมีชื่อเรียกต่าง ๆ ดังกล่าว) เป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณดังที่คนไทยเรา เรียกว่า “โรคดีซ่าน” นั่นเอง ความจริง “ดีซ่าน” หมายถึงอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งมีสาเหตุได้หลายอย่าง แต่ส่วนมากเกิดจากโรคตับอักเสบ เมื่อพูดถึง “โรคดีซ่าน” จึงมักจะหมายถึง โรคตับอักเสบโดยปริยาย
แพทย์รู้มานานแล้วว่า โรคตับอักเสบนี้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อโรคในตระกูลไวรัส จึงเรียกชื่อว่า “โรคตับอักเสบจากไวรัส” มาในระยะ 20 กว่าปีมานี้แพทย์สามารถแยกเชื้อไวรัสที่เป็นตัวก่อโรคนี้ได้ และพบว่ามีอยู่หลายตัว จึงได้ตั้งชื่อว่า “ไวรัส เอ” บ้าง “ไวรัส บี” บ้าง และอื่น ๆ อีกหลายชื่อ
เชื้อไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิด ถึงแม้จะทำให้เกิดอาการตับอักเสบคล้าย ๆ กัน แต่ก็มีลักษณะการติดต่อของโรค และความรุนแรงหรืออันตรายมากน้อยแตกต่างกันไป
ตัวที่มีอันตรายมากที่สุดที่จะกล่าวในบทความนี้ ก็คือ เจ้าไวรัส ที่ถูกขนานนามว่า “ไวรัส บี” (เรียกชื่อเต็มว่า “ไวรัสตับอักเสบบี”) ที่กำลังเป็นพระเอกโด่งดังอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากอาจทำให้เป็นโรคเรื้อรัง และซ่อนตัวอยู่ในคนได้นาน ตลอดจนอาจมีผลทำให้เป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับตายได้
และที่สำคัญกว่านั้น คือ ในปัจจุบันโรคนี้ยังไม่มียารักษา ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ส่วนมากจะหายได้เอง ส่วนน้อยจะเกิดอันตราย จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาประคับประคองให้ผ่านระยะรุนแรงของโรค เวลาเมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการผลิตวัคซีนใช้ฉีดป้องกันโรคตับอักเสบจากไวรัสตัวนี้อย่างได้ผล จึงกลายเป็นความหวังใหม่ในการควบคุมโรคนี้ และได้มีการกล่าวขวัญถึงเรื่องนี้กันอย่างคึกโครมโดยนักวิชาการที่ต้องการให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายของโรคนี้ รวมทั้งโดยอิทธิพลของผู้ผลิตและจำหน่ายวัคซีนที่หวังผลทางการค้า
2. โรคนี้มีการระบาดจริงหรือ
จะว่าไปแล้วโรคตับอักเสบจากไวรัส บี (โรคไวรัสตับอักเสบ บี ก็เรียกกัน) นี้เป็นโรคที่พบกันมากในบ้านเรามานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมีการระบาด
ในคนไทย พบว่า ในคนทั่วไปทุก ๆ 100 คน จะมีคนที่เป็นพาหนะนำโรคนี้อยู่ประมาณ 10 คน หรือพูดง่าย ๆ ก็คือในคนไทยทุก ๆ 10 คนจะมีคนที่เป็นพาหนะโรคนี้ 1 คน ที่ว่าเป็นพาหนะนำโรคก็หมายถึงว่า เป็นคนที่มีไวรัสตับอักเสบ บี อยู่ในร่างกายโดยไม่ได้เป็นโรคแต่อย่างใด แต่จะแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ คะเนกันว่า ในขณะนี้มีคนไทยที่เป็นพาหนะนำโรคนี้อยู่ประมาณ 5 ล้านคน ส่วนทั่วโลกจะมีคนที่เป็นพาหนะของไวรัสตับอักเสบ บี ประมาณว่า 200 ล้านคน ซึ่งจะพบมากในบริเวณตอนกลางของทวีปแอฟริกา ตอนใต้ของประเทศจีน ประเทศในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศที่ด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาทั้งสิ้น เฉลี่ยแล้วคนในแถบนี้ในทุก ๆ 100 คนจะมีคนที่เป็นพาหนะของโรคนี้อยู่ 5-15 คน และในผู้ใหญ่ทุก ๆ 100 คน จะมีคนที่เคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี นี้มาแล้ว 50 คน คือครึ่งต่อครึ่งนั่นเอง
3. เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ติดต่อกันทางไหนได้บ้าง
เชื้อนี้พบมีอยู่ในเลือดมากที่สุด รองลงมาก็อยู่ในน้ำลาย, น้ำตา, น้ำอสุจิ, น้ำเมือกในช่องคลอด, น้ำดี และน้ำนมเช่นเดียวกับเชื้อเอดส์ แทบจะกล่าวได้ว่ามีการติดต่อแบบเดียวกับโรคเอดส์ทุกประการ ได้แก่
1. ติดต่อโดยทางเลือดและน้ำเหลือง ซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับเชื้อจากการถ่ายเลือด ดังนั้นจึงมีข้องห้ามสำหรับผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ไม่ให้บริจาคเลือด และเลือดที่จะถ่ายให้คนไข้ทุกขวดจะต้องผ่านการตรวจเชื้อให้แน่ใจว่าไม่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เสียก่อน
2. โดยเข็มฉีดยา ซึ่งเปรอะเปื้อนเลือดของคนที่มีเชื้อแล้วนำไปฉีดให้คนอื่น ทำให้มีการแพร่กระจายเชื้อออกไป ดังนั้นทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการฉีดยาโดยไม่จำเป็น และถ้าจะฉีดยาควรเลือกใช้เข็มและกระบอกฉีดยาที่ปราศจากเชื้อ เช่น เข็มที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งหรือเข็มที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อมาแล้ว
3. โดยการใช้ของใช้ร่วมกันกับผู้ป่วยในลักษณะที่มีการสัมผัสถูกเลือด น้ำเหลือง หรือน้ำลาย เช่น มีดโกน, หวี, แปรงสีฟัน เป็นต้น รวมทั้งการเจาะหู, การสัก และการฝังเข็มที่นิยมใช้อุปกรณ์ร่วมกันหลาย ๆ คน จึงเป็นหนทางของการแพร่เชื้อได้มากเช่นกัน
4. โดยการร่วมเพศ (จึงนับเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคหนึ่ง) และการสัมผัสอย่างใกล้ชิดกันจริง ๆ โดยเฉพาะกับคนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน ใช้เครื่องใช้ส่วนตัวร่วมกัน
5. โดยการแพร่เชื้อจากแม่ไปยังลูกขณะคลอด ซึ่งเป็นทางติดต่ออันสำคัญและเป็นอันตรายต่อทารกนั้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ดังจะได้กล่าวถึงรายละเอียดต่อไป
ส่วนทางอาหารและน้ำดื่มนั้นมีการติดต่อได้น้อยมาก จึงไม่ต้องตื่นตกใจกลัวว่าจะติดโรคไวรัสตับอักเสบ บี จากอาหารการกิน แต่อย่างไรก็ตาม ในการกินอาหารร่วมกับคนที่เป็นพาหะ (หรือคนทั่วไปที่เราไม่แน่ใจว่าจะเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ บี หรือไม่) การใช้ช้อนกลางก็ช่วยให้เกิดความสบายใจมากขึ้น เพราะนอกจากจะลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากน้ำลายของผู้เป็นพาหะแล้ว ยังสามารถป้องกันโรคอื่น ๆ ได้อีกด้วย การใช้ช้อนกลาง จึงนับว่าเป็นสุขนิสัยทีพึงปฏิบัติเป็นประจำบนโต๊ะอาหาร
เพื่อนร่วมงาน ครู แม่ครัว ผู้บริการในร้านอาหาร หรือคนรู้จักทั่วไป แทบจะไม่มีโอกาสแพร่เชื้อนี้ได้เลย
4. เมื่อได้รับเชื้อแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
ดังได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นว่า โดยเฉลี่ย ในผู้ใหญ่ทุก ๆ 2 คนจะมี 1 คนที่เคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี มาแล้ว ผู้อ่านอาจรู้สึกตกใจว่า ถ้าอย่างนั้นในบ้านของตัวเองก็อาจจะมีคนที่รับเชื้อมาแล้วซิ
ก็คงต้องขออธิบายเพิ่มเติมให้กระจ่างว่า เมื่อคนเรารับเชื้อนี้มาแล้ว ก็หาได้หมายความว่าจะกลายเป็นโรคนี้หรือเกิดอันตรายไปเสียทุกคนไม่
ตรงกันข้าม คนส่วนมากเมื่อรับเชื้อมาแล้วร่างกายจะสามารถสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาฆ่าเชื้อนี้ได้ จึงไม่กลายเป็นโรคตับอักเสบ และจะมีภูมิต้านทานต่อโรคนี้ได้ตลอดไป ซึ่งเราสามารถตรวจเลือดดูได้ว่ามีภูมิต้านทานต่อโรคนี้หรือไม่
ประมาณ 1 คนใน 8 คนที่รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี จะกลายเป็นโรคตับอักเสบเฉียบพลัน อันเนื่องจากร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถต้านทานเชื้อที่เข้าสู่ร่างกายได้ คนไข้จะมีอาการอ่อนเพลียและดีซ่าน (ตาเหลือง, ตังเหลือง) บางคนอาจมีอาการเป็นไข้คล้ายไข้หวัดนำมาก่อน เมื่อไข้ลดจึงเริ่มมีอาการตาเหลือง, ตัวเหลือง, ปัสสาวะสีเข้มเหมือนสีขมิ้น ซึ่งจะเป็นอยู่ 2-3 สัปดาห์หรือเป็นเดือน แล้วคนไข้ส่วนมากก็จะค่อย ๆ หายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาอะไร (เพราะยังไม่มียาที่ใช้รักษาโดยตรง) มีเพียงส่วนน้อย (ราวหนึ่งในพันหรือหนึ่งในหมื่น) ที่อาจเป็นรุนแรงถึงทำให้ตับเสีย (เซลล์ตับตายหรือตับวาย) มีอาการเพ้อคลั่ง, ซึม, ไม่ค่อยรู้สึกตัว, มีเลือดออกง่าย, มีน้ำในท้อง (ท้องมาน) ถ้าถึงขั้นนี้ ก็มักจะตายในที่สุด คือมีโอกาสตายประมาณ 7 คนใน 10 คน (ร้อยละ 70) ของผู้ติดเชื้อที่โชคร้ายมีอาการรุนแรง
คนไข้ที่เป็นตับอักเสบเฉียบพลันบางคนอาจกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังเป็นแรมปี ซึ่งถ้าร่างกายแข็งแรงดี ก็สามารถหายขาดได้ในที่สุด แต่ถ้าร่างกายอ่อนแอโรคก็อาจลุกลามจนกลายเป็นโรคตับแข็ง (มีอาการอ่อนเพลีย, ดีซ่าน และท้องมาน) หรือมะเร็งตับ (มีอาการอ่อนเพลีย, แน่นท้อง, น้ำหนักลดฮวบฮาบ และมีก้อนแข็งผิวขรุขระตรงใต้ชายโครงด้านขวา) ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้
คนที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี บางคนมีลักษณะก้ำกึ่งคือ ร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อให้หายขาด แต่ถ้ายังสามารถต้านไม่ให้กลายเป็นโรคตับอักเสบดังที่เรียกว่าเป็นพาหนะนั่นเอง ผู้ที่ตรวจพบว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี อยู่ในร่างกาย นานเกิน 6 เดือนขึ้นไป เรียกว่า เป็นพาหนะของไวรัสตับอักเสบ บี โดยสามารถตรวจเลือดพิสูจน์ได้
5 .เมื่อเป็นพาหนะแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป
คนที่เป็นพาหนะโดยทั่วไปจะมีสุขภาพแข็งแรงเป็นปกติ ไม่มีอาการเจ็บป่วยของโรคตับอย่างใด และสามารถดำรงชีวิตเช่นคนธรรมดาทั่วไป เช่น สามารถออกกำลังกาย และกินอาหารได้ตามปกติทุกอย่าง จะรู้ตัวว่าเป็นพาหนะของโรคนี้ หรือไม่มีอยู่อย่างเดียวคือ ต้องเจาะเลือดตรวจ ซึ่งสามารถตรวจได้ตามโรงพยาบาลใหญ่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ๆ
ทีนี้ปัญหามีว่า คนเหล่านี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
คำตอบก็คือ คนส่วนหนึ่งร่างกายสามารถกำจัดเชื้อให้หมดไปได้ แต่คนอีกส่วนหนึ่ง อาจกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจกลายเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ คนส่วนหลังที่เคราะห์ร้ายนี้จะต้องกลายเป็นกลุ่มที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี อยู่ในร่างกายเป็นเวลานานคือต้องใช้เวลาถึง 30 ปีจึงจะกลายเป็นโรคร้ายแรงดังกล่าว ก็หมายความว่าต้องรับเชื้อมาตั้งแต่เด็กนั่นเอง
จากการติดตามศึกษาดูคนที่เป็นพาหนะไวรัสตับอักเสบ บี ในคนไต้หวันเฉพาะผู้เชี่ยวชาญที่มีอายุระหว่าง 40-59 ปี จำนวน 3,454 คน โดยติดตามดูเป็นระยะเวลา 6 ปี 2 เดือนเศษ พบว่ามีผู้ที่เสียชีวิตจากมะเร็งตับ 113 คน หรือกล่าวโดยเฉลี่ยในทุก ๆ ปีในกลุ่มคนที่เป็นพาหะไวรัส 1,000 คน จะมีโอกาสเกิดมะเร็งตับประมาณ 5 คน (หรือร้อยละ 0.5) ข้อมูลดังกล่าวนี้ใช้ได้เฉพาะกับคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปี และเป็นชายจีนเท่านั้น คนที่มีอายุน้อย (เช่น เด็ก) หรือผู้หญิงโอกาสที่จะเกิดโรคร้ายดังกล่าวจะลดน้อยลงมาก
กล่าวโดยสรุปก็คือ สำหรับผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ บี แม้ว่าอาจจะกลายเป็นโรคร้ายแรงในภายหลังได้ แต่โอกาสเสี่ยงนั้นก็มีไม่มากนัก และจะต้องเป็นพาหะนานเป็น 20-30 ปีขึ้นไป
ดังนั้น ผู้ที่เป็นพาหะจึงไม่ควรที่จะวิตกกังวลจนเกินเหตุ
6. เป็นพาหะแล้วจะทำอย่างไรดี
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า เมื่อตรวจพบผู้เป็นพาหนะแล้วผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่เฉพาะแก่ตัวผู้ที่เป็นพาหนะเท่านั้น ยังมีผลถึงบุคคลข้างเคียงด้วย
ผู้ที่เป็นพาหนะมักจะเกิดความกลัวว่าจะเกิดโรคร้ายและกลัวว่าจะแพร่กระจายไปสู่คนที่ตนรัก รวมทั้งผลกระทบในสังคมอีกด้วย
เคยมีพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง มาปรึกษาถึงผลกระทบทางจิตใจว่า มีเพื่อนฝูงไปกินอาหารด้วยกัน พอทราบว่าเป็นพาหนะไวรัสตับอักเสบ บี ทุกคนไม่ยอมไปกินอาหารด้วย ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ที่จริงน่าจะกลายเป็นการดีเสียอีกที่ทราบว่าตัวเองเป็นพาหนะจะได้ปฏิบัติตัวหาทางป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่กระจายโรคไม่ให้ไปสู่บุคคลข้างเคียงโดยเฉพาะในครอบครัว
แนวทางในการปฏิบัติสำหรับผู้ที่เป็นพาหนะมีดังนี้คือ
1. บำรุงรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ผู้ที่เป็นพาหนะไม่มีความจำเป็นต้องงดการออกกำลังกาย และพึงทำกิจการต่าง ๆ ได้เช่นบุคคลธรรมดา กินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่มีความจำเป็นต้องแยกกินอาหารและสามารถกินอาหารร่วมกับผู้อื่นได้ โดยใช้ช้อนกลาง
2. หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตับ เช่น เหล้า เบียร์ ยาบางชนิดที่เป็นอันตรายต่อตับ สารพิษจากอาหารและเชื้อรา เป็นต้น
3. เมื่อมีอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ เช่น เท้าบวม, ท้องบวม, อุจาระเป็นสีดำ, ปวดท้อง, ตัวเหลืองตาเหลือง เป็นต้น
4. เฝ้าระวังการเกิดโรคร้าย โดยทั่วไปในเด็กที่อายุน้อยไม่มีความจำเป็น ในผู้ใหญ่สามารถทำได้โดยการเจาะเลือดตรวจการทำงานของตับ และสารแอลฟ่าโตโปรตีน (alpha fetoprotein) ในเลือดซึ่งจะช่วยบ่งบอกว่าเกิดมะเร็งตับหรือไม่ โดยตรวจปีละครั้งและถี่ขึ้นในผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
5. ป้องกันการแพร่กระจายไปสู่บุคคลอื่นด้วยการงดบริจาคเลือด หรือแยกใช้เครื่องใช้ (เช่น มีดโกนหนวด, หวี และแปรงสีฟัน) เป็นการส่วนตัว ตลอดจนให้ภูมิต้านทานโรค ด้วยวัคซีนแก่บุคคลใกล้ชิดในบ้านที่ยังไม่มีภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบ บี
6. สำหรับแม่บ้านที่เป็นพาหะ เด็กที่เกิดมาทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่แรกเกิด ส่วนนมแม่ยังสามารถให้ทารกกินได้ตามปกติ เพราะไม่ว่าจะให้กินนมหรือนมผสมก็มีโอกาสติดโรคพอ ๆ กัน ข้อสำคัญอยู่ที่การป้องกันโรคด้วยวัคซีน
7. สำหรับการฉีดวัคซีนแก่ผู้ที่เป็นพาหะนับว่าไม่ได้ประโยชน์ เพราะไม่สามารถกำจัดเชื้อที่มีอยู่ในร่างกายให้หมดไปได้
7. ป้องกันอย่างไรให้ได้ผล
การป้องกันให้ได้ผลสำหรับคนทั่วไปที่ยังไม่เคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ก็คือ
หลีกเลี่ยงจากการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับคนไข้หรือคนที่เป็นพาหะ
หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือด, น้ำเหลือง, น้ำลายของคนที่เป็นพาหะ หรือคนไข้
ถ้าจะฉีดยา, เจาะเลือด, เจาะหู, สัก หรือฝังเข็ม ต้องแน่ใจว่าอุปกรณ์ เครื่องใช้ได้ผ่านการทำลายเชื้อมาก่อนแล้วอย่างดี
เชื้อตัวนี้จะทำลายโดยการต้มในน้ำเดือดตั้งแต่ 5 นาทีขึ้นไป หรืออาจใช้โซเดียมไฮโปรคลอไรด์ (ที่รู้จักกันในนามของน้ำยาแช่ผ้าขาว) ซึ่งมีความเข้มข้นประมาณ 0.5-2 เปอร์เซ็นต์ฆ่าเชื้อก็ได้
การกินอาหารร่วมกับผู้อื่นโดยใช้ช้อนกลาง ก็เป็นวิธีป้องกันที่ได้ผลอย่างหนึ่ง นอกจากวิธีดังกล่าวแล้ว ก็มีการฉีดวัคซีนเพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบ บี ที่จะได้ผลมาก
8. อันตรายร้ายแรงของโรคนี้อยู่ที่กลุ่มเด็กที่คลอดจากแม่ที่เป็นพาหะ
หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ บี หรือป่วยเป็นโรคตับอักเสบจากไวรัส บี ในช่วงที่คลอดบุตร ทารกจะได้รับเชื้อโดยการสัมผัสกับเลือดแม่ ทารกที่รับเชื้อ ส่วนใหญ่จะไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ได้ ทำให้กลายเป็นพาหะเรื้อรังของโรคนี้ พบว่าทารกแรกเกิดทุก ๆ 100 คน ก็รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี จากแม่ที่เป็นพาหะจะกลายเป็นพาหะถึง 50 คน (ร้อยละ 90)ในบ้านเรา โดยเฉลี่ยพบว่า ทารกเกิดใหม่โดยทั่วไปทุก ๆ 100 คนจะมีโอกาสเป็นพาหะประมาณ 3 คนทารกแรกเกิดที่รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี จากแม่ตอนคลอดส่วนมากจะไม่มีอาการของโรคตับอักเสบ แต่จะกลายเป็นพาหะเรื้อรังนานหลายสิบปีหรือตลอดชีวิต
ตรงกันข้าม ผู้ใหญ่เมื่อรับเชื้อแล้วมีโอกาสจะเกิดอาการตับอักเสบได้มากกว่า คือประมาณ 1 ใน 8 ดังได้กล่าวมาแล้ว โอกาสที่จะกลายเป็นพาหะก็น้อยกว่าของทารกมาก และระยะเวลาของการเป็นพาหะก็มักจะสั้นกว่าของทารก เพราะส่วนใหญ่จะสามารถกำจัดเชื้อออกไปได้ ดังนั้นทารกที่เป็นพาหะเมื่อย่างเข้าวัยกลางคนจึงมีโอกาสกลายเป็นโรคตับเรื้อรัง, ตับแข็ง และมะเร็งตับ ดังตัวอย่างการศึกษาในไต้หวันดังกล่าว ที่น่าสนใจก็คือ โอกาสเสี่ยงต่ออันตรายระหว่าผู้ชายกับผู้หญิง ก็ยังแตกต่างกัน
ในทางการเพศชายเมื่อโตขึ้นจะมีโอกาสเป็นโรคตับเรื้อรังรวมทั้งโรคมะเร็งตับได้มากกว่าเพศหญิง
ส่วนทารกเพศหญิงแม้ว่าโตขึ้น จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับเรื้องรังน้อยกว่าเพศชายก็ตาม แต่ก็มักจะกลายเป็นคุณแม่ที่เป็นพาหะและถ่ายทอดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ให้แก่รุ่นต่อไปเป็นวงจรที่ไม่รู้จักจบสิ้น ดังนั้น มาตรการที่สำคัญในการกำจัดโรคนี้จึงอยู่ที่การป้องกันโรค โดยการตัดวงจรที่ทารกแรกเกิด ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคแก่เด็กที่คลอดจากแม่ที่เป็นพาหะ และถ้าเป็นไปได้ควรฉีดวัคซีนนี้แก่ทารกทุกคนที่เกิดมา ซึ่งย่อมเป็นหนทางที่ดีที่สุด
คำถามน่ารู้ ถามตอบเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี |
1. ใครบ้างที่ควรจะฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี
เนื่องจากบ้านเราเป็นแหล่งที่มีโรคตับอักเสบจากไวรัส บี ชุกชุม ถ้าเป็นไปได้ควรฉีดวัคซีนแก่คนทุกคนที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันโรคนี้
แต่เนื่องจากวัคซีนในปัจจุบันยังมีราคาแพงมาก (ราคาขายส่งเข็มละ 300 บาทซื้อ 500 เข็มลด 10%) ดังนั้นจึงควรเลือกฉีดในรายที่จำเป็น ได้แก่
1. เด็กแรกเกิดที่มีแม่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ บี เพราะเด็กมีโอกาสจะติดเชื้อได้มาก และมักจะกลายเป็นพาหะเรื้อรังที่มีอันตรายได้
2. เด็กที่มีคนในบ้านเป็นพาหะ หรือโรคตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบ บี
3. ผู้ใหญ่ที่ตรวจเลือดแล้วพบว่า ไม่ได้เป็นพาหะ ไม่เคยได้รับเชื้อมาก่อน และไม่มีภูมิคุ้มกันโรค ควรจะฉีดวัคซีน ในกรณีต่อไปนี้
- ถูกเข็มที่เปื้อนเลือดของคนที่เป็นพาหะต่ำ
- จะแต่งงานกับคนที่เป็นพาหะ
- จะต้องได้รับเลือดหรือสารจากเลือดบ่อย ๆ
พวกที่มีความสำคัญรองลงมา ได้แก่ ผู้ที่อยู่ในบ้านที่มีคนเป็นพาหะ และผู้ที่ด้องทำงานเกี่ยวข้องกับเลือด (เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล)
2. ต้องมีการตรวจเลือดก่อนฉีดวัคซีนหรือไม่
หลายคนคงสงสัยว่าทำไมต้องมีการเจาะเลือดตรวจก่อนให้วัคซีน
ทำไมไม่ฉีดวัคซีนไปเลยจะได้ไม่เสียเวลา
จริง ๆ แล้วถึงแม้ไม่ได้ตรวจเลือดก่อน ฉีดไปก็ไม่มีอันตราย แต่เหตุผลที่มักจะตรวจเลือดก่อนให้วัคซีนก็เพราะว่า วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี นั้น ในปัจจุบันยังมีราคาแพงมาก (ราคาชุดละประมาณ 1,000 บาท ในขณะที่ค่าตรวจเลือดเพียง 150-200 บาท) ถ้าจะให้ได้ผลคุ้มค่าก็ควรเจาะเลือดดูว่า มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับวัคซีนหรือไม่ ถ้าเป็นพาหะคือตรวจเลือดพบว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี อยู่แล้ว ฉีดไปก็จะไม่ได้ผลคือไม่สามารถกำจัดเชื้อให้หมดไปได้ แต่ถ้ามีภูมิคุ้มกันโรคแล้ว ฉีดไปก็สิ้นเปลือง โดยเปล่าประโยชน์
ในทารกแรกเกิดถึง 6 ปีนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตรวจเลือดใด ๆ ทั้งสิ้น สามารถให้วัคซีนได้เลย และจะได้ผลคุ้มค่าเนื่องจากเด็กนั้นมีอัตราเสี่ยงของการรับเชื้อมากกว่าผู้ใหญ่ และช่วงเวลาที่จะได้รับเชื้อก็ยังมีอีกนาน
เด็กที่มีอายุ 6-15 ปี ควรจะพิจารณาเป็นราย ๆ ไป ถ้าตรวจเลือดได้ควรตรวจก่อน ถ้ามีปัญหาในการตรวจเลือด เช่น เด็กไม่ยอมให้เจาะเลือด อาจอนุโลมให้วัคซีนได้ แต่ต้องอธิบายให้ผู้ปกครองเข้าใจเสียก่อนว่า ถ้าต่อไปตรวจพบไวรัสตับอักเสบ บี ในเลือด ก็ไม่ได้หมายความว่า วัคซีนขาดประสิทธิภาพ แต่อาจเป็นเพราะมีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี อยู่ก่อนที่จะฉีดวัคซีนแล้วก็ได้
สำหรับผู้ใหญ่ ควรได้รับการตรวจเลือดก่อนทุกรายไป ทั้งนี้เพราะมีประมาณครึ่งหนึ่งที่เคยได้รับเชื้อและมีภูมิต้านทานโรคโดยธรรมชาติอยู่แล้ว และบางคนก็อาจจะเป็นพาหะอยู่ก่อนแล้ว
หญิงมีครรภ์ก็ควรได้รับการตรวจ เพื่อดูว่าเป็นพาหะหรือไม่ และจะได้ให้การดูแลลูกที่จะเกิดได้ถูกต้อง ทั้งยังช่วยป้องกันการแพร่กระจายสู่บุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย
3. ควรใช้วัคซีนแบบไหนดี
วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้น ใช้กันแพร่หลายมาเกือบ 10 ปีแล้ว และมีอยู่ 2 ชนิด คือ
วัคซีนที่ทำจากพลาสมา และวัคซีนจากยีสต์
วัคซีนที่ทำจากพลาสมา ได้มาจากเลือดของผู้ที่เป็นพาหะเรื้อรัง แล้วแยกส่วนเปลือกของผิวไวรัสตับอักเสบ บี นำมาทำให้บริสุทธิ์ เป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัยมากและมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้อย่างดี ปลอดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น รวมทั้งเชื้อไวรัสเอดส์ ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าฉีดแล้วจะเสี่ยงต่อการติดโรคเอดส์
ส่วนวัคซีนจากยีสต์นั้นทำมาจากการสอดใส่ยีนไวรัสตับอักเสบ บี เข้าไปในยีสต์เพื่อให้สร้างเชื้อไวรัสเข้ามา (เรียกว่า การตัดต่อยีน หรือพันธุวิศวกรรม) มีประสิทธิภาพดี มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากกรรมวิธีนี้สามารถผลิตได้ทีละมาก ๆ ในอนาคตวัคซีนชนิดนี้ มีโอกาสที่ราคาจะถูกลง
วัคซีนทั้ง 2 ชนิดนี้ มีผลใกล้เคียงกัน จะฉีดชนิดไหนก็ได้ และสามารถใช้ต่อหรือแทนกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นฉีดใหม่เมื่อเปลี่ยนชนิดของวัคซีน เพราะทั้ง 2 ชนิดเป็นวัคซีนส่วนโปรตีนเปลือกผิวไวรัสคล้ายกัน
4. ควรฉีดกี่เข็ม
วัคซีนทั้งที่ทำจากพลาสมาและยีสต์นั้น เป็นวัคซีนที่เชื้อตายแล้ว ดังนั้น จึงด้องมีการให้หลายครั้ง เพื่อกระตุ้นให้มีความต้านทานอยู่นานเช่นเดียวกับวัคซีนคอตีบ ไอกรน และบาดทะยัก
โดยทั่วไปจะให้วัคซีนเบื้องต้น 2-3 เข็ม แล้วฉีดกระตุ้นอีก 1 เข็ม
การให้วัคซีนเบื้องต้น 2 เข็มแรกนั้นจะเริ่มด้วย ฉีดเข็มแรกแล้วอีก 1 เดือนออกมาฉีดเข็มที่ 2 และจะฉีดกระตุ้นอีก 1 เข็ม เมื่อเข้าเดือนที่ 6 วิธีนี้ใช้ฉีดป้องกันตั้งแต่ก่อนจะได้รับเชื้อ
แต่ถ้าเป็นฉีดวัคซีนเบื้องค้น 3 เข็ม ก็จะฉีดห่างกันเข็มละ 1 เดือนและฉีดกระตุ้นเมื่อครบปี วิธีนี้ใช้ฉีดภายหลังที่ได้รับเชื้อ เช่น ถูกเข็มที่มีเชื้อต่ำ, ทารกที่ติดจากแม่ตอนคลอด
สำหรับภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นนี้ ในต่างประเทศแนะนำให้กระตุ้นทุก 5 ปี แต่สำหรับประเทศที่เป็นแดนระบาด คนทั่วไปมีโอกาสได้รับเชื้อในธรรมชาติ จำเป็นต้องมีการศึกษา ติดตามผู้ที่ฉีดวัคซีนเวลานี้ดูก่อนว่า จะคุ้มค่าหรือไม่ ถ้าฉีดกระตุ้น
5. ขนาดที่ฉีด ในเด็กกับผู้ใหญ่ใช้ขนาดเท่ากันหรือไม่
เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี อาจใช้ขนาดครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่ได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าวัคซีนไปได้ครึ่งหนึ่ง
6. ควรฉีดตรงตำแหน่งไหนดี
ควรฉีดเข้ากล้ามตรงต้นแขน จะได้ผลดีกว่าการฉีดเข้าสะโพก ทั้งนี้เพราะบริเวณสะโพกมีชั้นไขมันหนา อาจเข้าม่ถึงชั้นกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังมีเลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อที่ต้นแขนมากกว่าที่สะโพก ทำให้การดูดซึมของวึซีนในบริเวณต้นแขนดีกว่าที่สะโพก
ส่วนในเด็กเล็กควรฉีดเข้ากล้ามบริเวณ.หน้าขา
7. อายุเท่าใดจึงจะฉีดวัคซีนได้
ฉีดได้ทุกอายุตั้งแต่แรกเกิด ถึงอายุน้อยยิ่งดี เพราะถ้ารอไปอาจติดโรคเสียก่อน
8. เมื่อฉีดครบแล้วจะต้องตรวจเลือดช้ำหรือไม่
ถ้าร่างกายปกติไม่มีโรคอื่นที่กดภูมิคุ้มกันอยู่ก่อน ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเจาะเลือดซ้ำ แต่ถ้ามีอาชีพที่จะเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อบ่อย ๆ หรือเป็นโรคที่มีภูมิต้านทานต่ำควรตรวจเลือดดูเพื่อให้แน่ใจว่าวัคซีนได้ผล ทั้งนี้ เพราะจากการศึกษาที่ผ่านมามีมากพอแล้ว ที่จะยืนยันว่าวัคซีนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี
9. ถ้าสามีหรือภรรยาเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบ บี ควรฉีดวัคซีนให้กับคนในครอบครัวหรือไม่
ในครอบครัวที่สามีหรือภรรยา เป็นพาหะเรื้อรังโดยไม่มีอาการนั้นมีโอกาสตรวจพบว่า คู่สมรสมีการติดเชื้อถึงร้อยละ 25-45 เพราะฉะนั้นถ้าตรวจเลือดคนในคอบครัวแล้ว ไม่พบว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี หรือไม่มีภูมิคุ้มกันโรคก็ควรจะฉีดป้องกันให้ รวมทั้งบุตรเล็ก ๆ ที่ยังไม่ได้รับเชื้อ
10. ทราบว่ากระทรวงสาธารณสุขมีโครงการฉีดวัคซีนนี้แก่เด็กทุกคนที่เกิดมา จริงหรือไม่?
ทางกระทรวงสาธารณสุขมีความคิดที่จะนำนโยบายเรื่องนี้บรรจุในแผนพัฒนาสาธารณสุข ฉบับที่ 7 คือ ในปี 2535 ถ้าหากราคาวัคซีนถูกลงมา และมีงบประมาณพอเพียงก็จะฉีดวัคซีนฟรีแก่เด็กที่เกิดใหม่ทุกคนเช่นเดียวกับวัคซีนวัณโรค, ไอกรน, คอตีบ, บาดทะยัก, โปลิโอ และหัดที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
นโยบายนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ก็ขึ้นกับงบประมาณและราคาวัคซีนดังว่า
ในขณะนี้กำลังเริ่มโครงการทดลองใน 2 จังหวัด คือ ชลบุรี และเชียงใหม่ เพื่อดูผลที่เกิดขึ้นก่อน ถ้าดีจะได้ขยายไปยังอีก 2 จังหวัด ทางภาคอีสานและภาคใต้ต่อไป
โครงการทดลองที่เริ่มทำคันตอนนี้ถือเป็นการทดลองนำร่องเพื่อนำไปสู่แผนปฏิบัติที่ดำริจะทำกันทั้งประเทศ ในปี 2535
ภูมิคุ้มกันของร่างกาย กับการเกิดโรคตับอักเสบ บี |
M-Macrophage = เซลล์นักกินขนาดใหญ่ NK-Natural killer cell = เซลล์นักฆ่าธรรมชาติ Tc-T cytoxic cell = เซลล์ทีผู้ฆ่า Th-T helper = เซลล์คอยช่วยกระตุ้นทำให้เซลล์อื่นทำงาน Ts-T suppressor = เซลล์คอยกดการทำงานของเซลล์อื่นๆ B-B cell = เซลล์บีสร้างสารแอนติบอดี้ Ab-Antibody = สารที่สร้างขึ้นมาเพื่อจับไวรัส ทำให้ไวรัสหมดประสิทธิภาพในการทำ HBV = เชื้อไวรัสตับอักเสบบี HBcAG = โปรตีนส่วนแกนกลางของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี HBsAg = โปรตันส่วนนอกสุดของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี |
ในทารกแรกเกิดและเด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 5 ปี)
เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันยังอ่อนแอ เมื่อเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เข้าไปในเซลล์ก็จะมีการเพิ่มจำนวนโดยที่เซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน ไม่สามารถทำอะไรได้ หรือเข้าไปต่อสู้ได้
ทารกหรือเด็กเหล่านี้ ยังคงมีร่างกายแข็งแรงเป็นปกติไม่มีอาการของโรค แต่จะตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ที่ออกจากตับอยู่ในเลือด และแพร่เชื้อไปให้กับคนใกล้ชิดได้
การติดเชื้อในคนทั่วไป และมีผลตามมา
เมื่อเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เข้าสู่ร่างกาย เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันก็พยายามกำจัดเชื้อไวรัสออก โดยการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อ
เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี จะประกอบด้วยโครงสร้างที่สำคัญ คือ โปรตีนส่วนแกนกลางที่เรียกว่า HBc Ag ที่ห่อหุ้มยีนที่อยู่ตรงกลาง ถัดออกมาก็เป็น โปรตีนอยู่นอกสุดที่เรียกว่า HBs Ag
เมื่อเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เข้าสู่เซลล์ตับจะใช้ส่วนของ HBs Ag
เกาะติดกับผนังเซลล์ตับก่อนแล้วเชื้อไวรัสจึงเข้าสู่เซลล์ได้ และเข้าไปเพิ่มจำนวนอยู่ในเซลล์ โดยไม่ได้ทำอันตรายกับเซลล์ของตับโดยตรง
เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันเช่น Tc M NK จะพยายามทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส ในขณะเดียวกันจะมีการสร้างแอนติบอดี โดยเซลล์ B เพื่อให้การทำลายเชื้อไวรัสเป็นไปได้ดีขึ้นถ้าร่างกายสามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้หมด ก็มีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้น เซลล์ตับถูกทำลายไปเพียงเล็กน้อยก็จะกลับไปสู่สภาพปกติได้ แต่ถ้าระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่แข็งแรงพอ การต่อสู้ยืดเยื้อ เชื้อไวรัสสามารถเพิ่มจำนวนของเซลล์ตับต่อไปได้ ก็จะมีการต่อสู้ เกิดมีการทำลายของเซลล์ตับตลอดเวลาเกิดอาการโรคตับอักเสบเรื้อรัง
ถ้าเซลล์ตับถูกทำลายมาก ๆ ก็เกิดลักษณะเป็นเยื่อพังผืดคล้ายแผลเป็นขึ้น กลายเป็นโรคตับแข็งตามมา ซ้ำในบางคนถ้าได้รับการก่อมะเร็งอื่นร่วมไปด้วยก็จะเป็นมะเร็งตับได้ง่ายเข้า
- อ่าน 44,984 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้