เพื่อนแพทย์และพี่น้องประชาชนคงได้ทราบข่าวการให้สัมภาษณ์ของท่านนายกรัฐมนตรี มาตลอดแล้วนะครับว่า อาจมีการนำพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินมาใช้ บังคับในกรุงเทพมหานครหากมีความจำเป็น. หลายท่านอาจไม่สนใจเพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ถ้าทราบเนื้อหาพระราชกำหนดฉบับนี้แล้วก็จะรู้ว่ามีความสำคัญมาก เพราะมีเนื้อหาหลายประการที่ให้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐไว้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถปฏิบัติงานได้โดยไม่ต้องรับผิดทางอาญา ทางแพ่ง และทางวินัย ในกรณีกระทำโดยประมาท ยกตัวอย่างเช่น หากเจ้าหน้าที่ของรัฐยิงผู้ที่ตนเองสงสัยว่าจะเป็นผู้ก่อความไม่สงบเสียชีวิตแต่ความจริงแล้วเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็จะไม่ต้องรับผิดเลย.
เมื่อหันกลับมาดูเพื่อนแพทย์ที่ปฏิบัติงานในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นเดียวกันแต่เป็นเรื่องที่กระทำเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยในภาวะวิกฤตที่เสี่ยงต่อความเป็นความตายของผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยเสียชีวิตลง เมื่อใดก็ตามแพทย์ก็มีความเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องคดีอาญา ซึ่งมีการจำคุกได้สูงสุดถึงสิบปี ซึ่งในปัจจุบันสถิติการถูกดำเนินคดีของแพทย์สูงขึ้นอย่างรวดเร็วมากจนน่าวิตกเป็นอย่างยิ่งความเสี่ยงของแพทย์ต่อการติดคุกจากการประกอบวิชาชีพเวชกรรมมีได้หลายกรณี. แต่ที่เป็นปัญหาคาใจแพทย์อยู่ในขณะนี้ คือ การที่แพทย์ต้องรับผิดจากความประมาทในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 ที่บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมีโทษจำคุกไม่เกินสิบปี ส่วนมาตรา 300 ก็ได้บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี และมาตรา 390 ได้บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดกระทำโดยประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่น ได้รับอันตรายแก่กาย มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน ซึ่งทั้ง 3 มาตรา เป็นบทบัญญัติที่กำหนดความรับผิดชอบในความประมาททั่วๆ ไป จึงมีประเด็นที่ถกเถียงกันมากว่า สมควรจะนำมาใช้กับแพทย์ในการทำหน้าที่ช่วยชีวิตผู้ป่วยด้วยหรือไม่ ถ้าไม่สมควรจะแก้ไขอย่างไร เพราะในปัจจุบันได้ใช้ 3 มาตรา ในประมวลกฎหมายอาญานี้ ฟ้องร้องให้ลงโทษแพทย์อยู่เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติความรับผิดของแพทย์ไว้โดยเฉพาะ. ดังนั้นการแก้ไขมีวิธีเดียวคือ ต้องมีการออกกฎหมายที่สร้างภูมิคุ้มกันให้กับแพทย์ในการปฏิบัติงานบ้าง เพราะแพทย์มีหน้าที่พิทักษ์ชีวิตผู้ป่วย ซึ่งในการตรวจรักษาไม่ว่าผู้ป่วยจะอยู่ในภาวะวิกฤตหรือไม่ก็ตาม ย่อมมีโอกาสเกิดภาวะอันไม่พึงประสงค์และเสียชีวิตได้ทั้งสิ้น.
ผมเองมีความรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งที่เห็นเพื่อนแพทย์เปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่น เพราะกลัวถูกฟ้องร้อง เช่น ไปทำงานด้านกฎหมาย ด้านธุรกิจต่างๆ เป็นต้น และนักศึกษาบางคนมาเรียนแพทย์ ได้ 2-3 ปี ก็ลาออก ไปเรียนสาขาวิชาอื่น ที่สำคัญคือในการสอบคัดเลือกเข้าเรียนแพทย์ทุกสถาบัน ในปีนี้มีผู้สละสิทธิ์จำนวนมากกว่าร้อยละสิบ โดยไปเรียนอย่างอื่น ซึ่งปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากสถิติการฟ้องร้องแพทย์ที่สูงขึ้นทุกวัน และภาระงานที่หนักยิ่ง. ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายให้แพทย์มีภูมิคุ้มกันในการประกอบวิชาชีพจากการถูกดำเนินคดีอาญาในฐานความผิดโดยประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300 และ 390 โดยในส่วนของความรับผิดอื่นๆ ในทางอาญาก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม เช่น การฟ้องฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 หรือ 289 ซึ่งมีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต (ขณะนี้โทษประหารชีวิตจากความผิดต่างๆ ในประมวลกฎหมายอาญากำลังถูกนำมาถกเถียงกันอยู่ในสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันว่าควรมีอยู่หรือไม่ โดยในที่สุดผมฟังข่าวขณะเขียนบทความนี้อยู่ในวันที่ 13 มิถุนายน 2550 ได้มีมติให้ยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยจะกำหนดไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่) และก็ได้มีแพทย์ถูกฟ้องในข้อหานี้แล้วจากการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ในการทำ Kidney Transplantation ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องไปแล้ว (ขณะนี้ คดีอยู่ในศาลอุทธรณ์) แต่แพทย์ที่ถูกฟ้องก็ได้รับความยากลำบากมากเพราะถูกเพิกถอนใบอนุญาตในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม กว่าจะได้คืนมา ก็ใช้เวลาหลายปีทีเดียว หรืออาจฟ้องในข้อหาว่าทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายมีโทษจำคุกไม่เกินสองปีก็ได้.
นอกจากนี้แพทย์ยังอาจถูกฟ้องในคดีอาญาได้อีกหลายข้อหาเช่น ฟ้องในความผิดฐานทำเอกสารเท็จ จากการออกใบรับรองแพทย์ในการชันสูตรบาดแผล หรือเอกสารทางการแพทย์อื่นๆซึ่งแม้แพทย์จะเขียนได้อย่างถูกต้อง คู่กรณีที่เสียประโยชน์ก็อาจฟ้องแพทย์เพื่อให้ตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบในทางคดีก็ได้.
ส่วนเรื่องความผิดฐานเปิดเผยความลับที่ได้มาจากการประกอบวิชาชีพและความผิดฐานทอดทิ้ง ผู้ป่วย ก็มีการฟ้องร้องแพทย์ได้เช่นเดียวกัน แม้แต่ความผิดฐานกระทำอนาจารก็อาจเกิดขึ้นได้ถ้าแพทย์ตรวจผู้ป่วยต่างเพศ โดยไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วย ส่วนความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ก็มีฟ้องร้องแพทย์ให้เห็นกันอยู่ประปราย.
ขณะนี้ใน (ร่าง) พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... โดยท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิหลายๆ ฝ่าย มาให้ความเห็นที่น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วในวันที่ผมเขียนบทความนี้อยู่ (13 มิถุนายน 2550) และคาดว่าหลังจากนั้นคงจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ในมาตรา 44 ได้มีบทบัญญัติคุ้มครองแพทย์ มิให้ถูกฟ้องร้องเป็นคดีอาญาจากการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ซึ่งยังเป็นที่ถกเถียงกันมากในหมู่นักกฎหมาย ว่าจะมีผลใช้บังคับได้หรือไม่ เพราะเป็นมาตราที่เขียนไว้สั้นๆ และแทรกอยู่ในกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในเรื่องของการจัดตั้งกองทุน โดยนักกฎหมายหลายท่านมีความเห็นว่าจะต้องร่างเป็นกฎหมายใหม่ จึงจะมีผล.
ดังนั้นผมจึงเห็นว่าสมควรจะต้องดำเนินการร่างพระราชบัญญัติอีกฉบับหนึ่ง ที่มีเนื้อหายกเว้นความรับผิดของแพทย์ในการประกอบวิชาชีพ ในความผิดฐานประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 มาตรา 300 และ มาตรา 390 โดยเฉพาะ ซึ่งแพทยสภาจะดำเนินการต่อไป เพื่อให้เพื่อนแพทย์ทำงานด้วยความ มั่นใจและกล้าตัดสินใจ ในการช่วยชีวิตผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่
อำนาจ กุสลานันท์ พ.บ. น.บ., น.บ.ท.,
ว.ว. (นิติเวชศาสตร)
ศาสตราจารย์คลินิก
เลขาธิการแพทยสภา
ข่าวสารจากเลขาธิการแพทยสภา