Q ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องปวดบริเวณหน้าหู และมีเสียงดังคลิ๊ก เวลาอ้าปาก จะมีแนวทางให้การวินิจฉัยอย่างไร
วรวิทย์ อึ้งภูริเสถียร
A ความผิดปกติบริเวณข้อต่อขากรรไกรล่าง (temporomandibular joint disorder, TMD) จะทำให้เกิดอาการปวดบริเวณหน้าหู หรือปวดบริเวณใบหน้า, ศีรษะ อ้าปากมีเสียงคลิ๊ก และอาการอื่นๆ เช่น ปวดฟัน, อ้าปากได้ไม่เต็มที่, ปวดขณะอ้าปาก เป็นต้น.
TMD เป็นคำรวมๆ ซึ่งรวมถึงความผิดปกติของ temporomandibular joint (TMJ) โดยตรง หรือ ความผิดปกติของกล้ามเนื้อที่ใช้สำหรับเคี้ยวอาหาร ซึ่งทำให้มีอาการคล้ายคลึงกัน.
การซักประวัติ อาการปวด ควรถามถึงลักษณะการปวด และตำแหน่งที่ปวด การมีเสียงดังบริเวณข้อต่อขณะอ้าปาก, หุบปาก มีประวัติการบาดเจ็บบริเวณใบหน้าหรือขากรรไกรหรือไม่.
การตรวจร่างกาย ตรวจดูว่าอ้าปากได้เต็มที่หรือไม่ ระยะห่างของฟันซี่หน้า (interincisal) ถ้าน้อยกว่า 40 มม.ถือว่าผิดปกติ, คลำกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคี้ยวอาหารว่าตำแหน่งกดเจ็บบริเวณใด. ตรวจดูฟันถ้ามีการอักเสบของฟันโดยเฉพาะบริเวณ third molar จะทำให้เกิด trismus และอาการคล้ายความผิดปกติบริเวณ TMJ ได้.
โรคที่พบได้บ่อยใน TMD ได้แก่ myofascial pain-dysfunction syndrome ซึ่งจะมีอาการกดเจ็บบริเวณ muscle of mastication, ปวดข้างเดียว, มีเสียงคลิ๊กบริเวณ TMJ, มีการจำกัดการเคลื่อนไหวของขากรรไกรล่างจะมีอาการปวด, เสียงคลิ๊กบริเวณ joint, อ้าปากได้ไม่เต็มที่ กรณีที่คลำได้ crepitus แสดงถึงการมี perforation ของ meniscus.
Degenerative joint disease หรือ osteoarthri-tis มักเกิดจาก trauma ทั้ง major และ minor trauma, infection จะมีอาการปวด, เกร็ง มักเป็นข้างเดียว อ้าปากได้ไม่เต็มที่ช่วงเช้า และดีขึ้นเมื่อมีการขยับขากรรไกรซ้ำๆ.
โรคอื่นๆ ที่อาจพบได้ ได้แก่ rheumatoid arthritis, ankylosis, hypermobility เป็นต้น.
พิบูล วชิรลาภไพฑูรย์ พ.บ.
โสต ศอ นาสิกแพทย์
สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
ประเภทของโรคต้อหิน
Q จากข่าวการเป็นโรคต้อหินของดารา ซึ่งไม่เคยรู้ตัวมาก่อน อยากเรียนถามว่า โรคต้อหินแบ่งประเภทอย่างไร และมีวิธีการป้องกันการเป็นโรคต้อหินได้หรือไม่
รัชดาภรณ์ ตันติมาลา
A ต้อหินคือ โรคของตาชนิดหนึ่งที่มีการเสื่อมของประสาทตา ทำให้มีลานสายตาแคบลง มีตามัวจนถึงตาบอดได้ เชื่อว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดต้อหิน. ปัจจัยหนึ่งคือความดันตาที่สูงเกินไป ทำให้เกิดการกดที่เซลล์ประสาทตา เป็นผลให้มีประสาทตาเสื่อมตามมา ปกติตาคนเราจะมีการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงขึ้นภายในลูกตาตลอดเวลา และน้ำหล่อเลี้ยงตานี้ก็ จะระบายออกจากตาตลอดเวลาเช่นกันในปริมาณเท่ากับที่สร้างขึ้น. เมื่อใดก็ตามที่สมดุลนี้เสียไปคือมีการระบายออกน้อยกว่าสร้าง จะทำให้มีการคั่งของน้ำในลูกตา จึงมีความดันลูกตาสูงมากเกินไปตามมา เกิดภาวะต้อหินขึ้นได้.
เส้นทางระบายน้ำออกจากลูกตา อยู่ส่วนมุมตาด้านในลูกตาบริเวณขอบกระจกตาดำ ซึ่งมีม่านตาเป็นอวัยวะที่อยู่ข้างเคียง หากม่านตาไม่บังบริเวณมุมตาแต่เกิดภาวะความดันตาสูงเรียกว่า โรคต้อหินแบบมุมเปิด ซึ่งอาการมักเป็นแบบชนิดเรื้อรัง. ส่วนถ้าม่านตาถูกดันมาด้านหน้าชิดกระจกตาดำ ทำให้ปิดมุมตา เรียกว่าต้อหินแบบมุมปิด มักทำให้เกิดอาการอย่างเฉียบพลัน.
ดังนั้นจึงสามารถแบ่งต้อหินง่ายๆได้เป็น 2 ชนิด คือชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง ดังนี้
1. ต้อหินชนิดเฉียบพลัน จะมีความดันลูกตาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาเป็นวัน ทำให้มีอาการปวดตามาก ตาแดง ตามัวลง อาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ถ้าไม่ได้รับการรักษาโดยเร็วจะทำให้สายตามัวลงอย่างรวดเร็วจนถึงตาบอดได้.
2. ต้อหินชนิดเรื้อรัง ความดันลูกตาจะสูงขึ้นช้าๆ ในเวลาเป็นเดือนเป็นปี ดังนั้นตาจะมีเวลาปรับตัวได้ อาจไม่มีอาการปวดตา ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัวว่าเป็นต้อหินอยู่ จึงยังไม่ได้รับการรักษา ประสาทตาจะเสื่อม ลงเรื่อยๆ ลานสายตาจะแคบลงมากขึ้นๆ จนผู้ป่วยสังเกตว่าตามัวลง จึงมาพบแพทย์เมื่อโรคเป็นมากแล้ว ซึ่งการรักษาก็เพียงแต่ช่วยป้องกันไม่ให้ประสาทตาเสียไปมากกว่านี้ แต่ไม่สามารถช่วยให้ประสาทตาส่วนที่เสียไปแล้วคืนกลับมาได้. ดังนั้น ความสำคัญของต้อหินชนิดนี้จึงอยู่ที่การค้นพบโรคตั้งแต่ระยะแรก. ในผู้ที่มีอายุมากว่า 40 ปีทุกคนซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ หรือผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคต้อหิน ควรไปรับการตรวจสุขภาพตาและวัดความดันตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง.
ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ พ.บ.
จักษุแพทย์ คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์