เพื่อโพธิญาณ (4)
ฝ่ายค้านที่ตำหนิพระเวสสันดรอย่างหนักหน่วงว่า เป็นคนเห็นแก่ตัว จะบริจาคทรัพย์สมบัติสักเท่าไรก็ไม่ว่า แต่แล้วทำไมจึงต้องมาบริจาคลูกเมีย เสมือนหนึ่งเอาลูกเอาเมียมาทำนั่งร้าน เพื่อให้ตัวเองได้เหยียบขึ้นไปบนบ่าแล้วก้าวเข้าสู่โพธิญาณ เสวยความสุขแบบตัดช่องน้อยแต่พอตัว แล้วจะให้นับถือเทิดทูนได้อย่างไร?
เราต้องคลี่คลายทำความเข้าใจกันอย่างแตกหักถึง 2 ด่านด้วยกัน
- ด่านแรก โพธิญาณ คืออะไรกันแน่?
- ด่านหลัง ตายแล้วเกิด จริงหรือ?
โพธิญาณ คืออะไรกันแน่?
โพธิญาณ คำเต็มว่า สัมมาสัมโพธิญาณ ญาณที่ทำให้ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีภารกิจต้องสถาปนาพระพุทธศาสนาขึ้นในโลก เพื่อรื้อสัตว์ออกจากห้วงมหรรณพแห่งความทุกข์
ในพระไตรปิฎกสดุดีเปรียบเทียบพระศาสดาแห่งพระพุทธศาสนาไว้ว่า
ทหาการุณิโก สัตถา สัพพะโลกะติกิจฉะโก พระศาสดาเป็นผู้มีมหากรุณา ทรงเป็นนายแพทย์ใหญ่เยียวยารักษาโรคของชาวโลกทั้งปวง
คือพระองค์ทรงมองเห็นว่า โรคอันร้ายกาจร่วมกันของมนุษยชาติ ก็คือ ความทุกข์ทรมานที่เกิดมาจากกิเลส ได้แก่ โรคเกิด โรคแก่ โรคเจ็บ โรคตาย กิเลสเป็นตัวโรคก็ได้ แล้วก็เกิดความทุกข์ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา เพื่อบำบัดโรคกิเลสของมหาชนนี้ให้หมดไป พระองค์จึงทรงเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของปวงสัตว์
พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลาย ถ้าได้อาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตร – เป็นหมอบำบัดโรคกิเลสให้แล้ว – ก็จะพ้นจากความเกิด – ความแก่ และความตาย
พระโพธิญาณ จึงหมายถึง การได้เป็นนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคกิเลสของมวลสัตว์ และโปรดทราบว่า คนไข้คนแรกที่ต้องทดลองรักษา ก็คือ “ตัวนายแพทย์เอง”
โรคเกิดแก่เจ็บตายนี้ พูดง่ายๆก็ต้องว่าเป็นโรคติดต่อทำนองเดียวกับโรคเรื้อน ลูกหลานเกิดมาก็ต้องรับมรดกโรคนี้เป็นกรรมพันธุ์ติดมาด้วย ไม่รู้จักจบจักสิ้น น่าสลดสังเวช
คราวนี้ มีครอบครัวหนึ่ง ปรึกษาหารือกันว่า ครอบครัวเราและคนในหมู่บ้านเราเป็นโรคติดต่อน่าสงสาร เมื่อไรหนอ! จึงจะมีนายแพทย์ผู้ค้นพบยาวิเศษ ยอมเสียสละชีวิตมารักษามหาชนให้หายจากโรคติดต่อนี้เสียที
หัวหน้าครอบครัว จึงตกลงใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่า พ่อนี่แหละ! จะไปศึกษาค้นคว้าหายาศักดิ์สิทธิ์นี้มารักษาลูกเมียและเพื่อนบ้านให้จงได้
ทั้งหมดเห็นพ้องในอุดมการณ์นี้ เมียสนับสนุนด้วยการทำงานหนักมากขึ้น ลูกๆก็ยินดีช่วยทำงานถึงทำงานเป็นลูกจ้างเขาก็ยอม ไม่หวาดหวั่นต่อความลำบากใดๆทั้งสิ้น
งานเพื่อโพธิญาณ ค้นคว้าหายามารักษาโรคกิเลสของมนุษยชาตินั้น ยากยิ่งกว่าเป็นนายแพทย์รักษาโรคภัยไข้เจ็บหลายร้อยหลายพันเท่า ต้องสร้างคุณธรรมพิเศษที่เรียกว่า บารมี 10 ประการ และต้องสร้างให้ได้ขั้นยอดเยี่ยม ไร้เทียมทาน จึงจะได้บรรลุโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้ารองลงมา ก็จะได้แค่ ปัจเจกโพธิญาณ คือเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ตรัสรู้เองหมดกิเลสเหมือนกัน แต่ไม่มีพลังและความเสียสละที่จะสั่งสอนตั้งศาสนาเพื่อช่วยชาวโลก เข้ามุมที่ว่า ตัดช่องน้อยแต่พอตัวนั่นแหละ
ต่ำลงไปอีก ก็จะได้แค่ สาวกญาณ ต้องศึกษาสดับฟังจากจากพระศาสดาจึงจะได้บรรลุเป็นอนุพุทธะไม่สามารถจะค้นพบได้เอง
เพราะฉะนั้น การบำเพ็ญบารมีเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณจึงต้องใช้เวลาสะสมบารมีนานมาก ชาติเดียวสั้นไป ไม่พอ ต้องบำเพ็ญบารมีชาติแล้ว-ชาติเล่า จนนับชาติไม่ถ้วน สำหรับที่พวกเราจำกันได้ว่า ทศชาติ-สิบชาติ นั้น นั่นเป็นชาติท้ายๆที่บ่มจนสุกงอม จวนจะบรรลุแล้วต่างหาก
ในที่สุด พระองค์ก็ได้ประสบความสำเร็จเอาในชาติที่เกิดมาเป็นเจ้าฟ้าชายสิทธัตถะ ใช่ สัมมาสัมโพธิญาณเป็นความสุขชั้น “บรมสุข” จริง ๆ แต่ไม่ใช่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวหรอกนะ
ดูซี! ทรงเป็นนายแพทย์ใหญ่เมื่อพระชนม์ 35 แล้วมอบชีวิตที่เหลือถึง 45 ปี ให้กับงานรักษาโรคกิเลสทั้งแก่ผู้ใกล้ชิด - มัทรี - ชาลี - กัณหา - พระเจ้ากรุงสญชัย และมวลมนุษยชาติ รวมทั้งสถาปนาขบวนการพระพุทธศาสนาขึ้นเหมือนกับตั้งมหาวิทยาลัยแพทย์ผลิตหมอรักษาโรคกิเลสแก่ชาวโลก มาจนถึงทุกวันนี้ 2530 ปี และยังจะดำเนินต่อไปอีก
ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ผลงานประจักษ์แก่ตาชาวโลก ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ยังจะมีผู้พิพากษาผู้ทรงธรรมคนใดอีกหรือ? ที่จะตัดสินว่า พระเวสสันดรเมื่อวานนี้ และวันนี้คือพระพุทธเจ้า ว่าท่านเป็นคนเห็นแก่ตัว-นั้นนับถือไม่ลง
ท่านผู้ที่สร้างเหตุคือบารมีได้สูงสุด – อย่างชนิดที่เราบอกว่า มนุษย์ธรรมดาทำไม่ได้ – เท่านั้น จึงจะบรรลุ สัมมา-สัมโพธิญาณ แล้วคราวนี้ มาดูผลของความเป็นพระพุทธเจ้านั้นว่ายิ่งใหญ่ – เกริกไกรเพียงใด ลองมาอ่านพระไตรปิฎกฉบับขนานแท้และดั้งเดิมดูดีไหมครับ
พราหมณ์!... เรานี้ ขณะเมื่อหมู่สัตว์กำลังถูกอวิชชาซึ่งเป็นประดุจเปลือกฟองไข่หุ้มห่ออยู่แล้ว - ก็ทำลายเปลือกหุ้มคืออวิชชาออกมาได้ก่อนใครๆ เป็นบุคคลแต่ผู้เดียวในโลก ได้รู้พร้อมเฉพาะแล้ว ซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณ อันไม่มีญาณอะไรยิ่งไปกว่า
พราหมณ์! เรานั้นเป็นผู้เจริญที่สุด – ประเสริฐที่สุด ของโลก ความเพียร เราได้ปรารภแล้วไม่ย่อหย่อน สติ เราได้กำหนดมั่นแล้วไม่ย่อหย่อน กาย ก็ระงับแล้วไม่กระสับกระส่าย
จิต ตั้งมั่นแล้วเป็นหนึ่ง เราได้บรรลุ ปฐมฌาน – ทุติยฌาน – ตติยฌาน – จตุตถฌาน แล้วก็น้อมจิตไปเฉพาะต่อ –
- บุพเพ นิวาสานุสสติญาณ (ญาณตาม ระลึกชาติ ในหนหลังได้)
- จุตูปปาตญาณ (ญาณกำหนดรู้การจุติ – อุบัติ ตายแล้วไปเกิดใหม่ของสรรพสัตว์ทั้งหลายได้)
- อาสวักขยญาณ (ญาณกำจัดอาสวะกิเลสของพระองค์เองได้)
เป็นการทำลายเปลือกฟองไข่ของลูกไก่ออกจากฟองไข่ ครั้งที่ 1-2-3 อย่างต่อเนื่องดังนี้ แล้วตรัสรับรองได้ว่า
ในโลกธาตุอันเดียว มีพระตถาคต ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะองค์เดียว เกิดขึ้น
จะมีพระตถาคต ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะสององค์เกิดขึ้นพร้อมกันมิได้
นี่แหละ สัมมาสัมโพธิญาณละ