ในระยะเวลาประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ชื่อของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ จากจังหวัดเลยเด่นชัด ในสังคมของผู้ปฏิบัติธรรม จุดเด่นของการสอนของหลวงพ่อเทียนอยู่ที่การชูและตอกย้ำในเรื่องการเจริญสติ
ในเรื่องการฝึกจิตนั้น สำนักต่าง ๆ เน้นที่วิธีการหรือเทคนิคต่าง ๆ กัน บางสำนักเน้นที่การสูดลมหายใจเข้าออกหรืออานาปานสติภาวนา บางสำนักเน้นที่การเรียนรู้การยุบพองของท้อง (พองหนอยุบหนอ) บางสำนักเน้นที่การบริกรรม เช่น พุทโธ ๆ สัมมาอาระหัง หรือคำบริกรรมอื่น ๆ บางสำนักเน้นที่การเพ่งดวงสว่างในท้องคือ พวกธรรรมกาย บางสำนักเน้นที่ไปปัญญารู้เห็นธรรม (ชาติ) ของสรรพสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริง คือสวนโมกขพลาราม
หลวงพ่อเทียนเน้นที่การรู้ความเคลื่อนไหวของกายและการรู้ความคิด ในเรื่องการรู้ความคิดในเรื่องการรู้ความเคลื่อนไหวของกาย ท่านได้คิดท่าการเคลื่อนไหวของแขนและมือและให้ตามรู้การเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันการซึมเซาของจิตในด้านหนึ่ง และความฟุ้งซ่านในความคิดในอีกด้านหนึ่ง ในด้านการรู้ความคิดหรือดูความคิดนั้นปกติมนุษย์จะเข้าไปอยู่ในความคิดโดยไม่รู้ ทำให้คิดปรุงแต่งไปต่าง ๆ เช่น คิดฟุ้งซ่านในเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง คิดวิตกกังวลไปในเรื่องที่ยังไม่เกิดบ้าง คิดแล้วหงุดหงิดรำคาญโกรธเกลียด ฯลฯ มลพิษทางจิตใจเกิดขึ้นเพราะความคิด โดยไม่สามารถหยุดคิดหรือบังคับความคิดได้
หลวงพ่อเทียนสอนให้ตามดูความคิด หรือตามรู้ความคิด ให้เหมือนมีคนอีกคนหนึ่งในตัวท่านเองเข้ามามองสมองของท่านว่ากำลังคิดอะไร การที่รู้ความคิดทำให้หยุดคิด เปลี่ยนจากคิดเป็นรู้ (อยู่กับปัจจุบัน) ปกติคิดโดยไม่รู้คือ เข้าไปอยู่ในความคิดโดยไม่รู้ตัว และเป็นเหยื่อของความคิด แต่เมื่อสามารถเปลี่ยนจากคิดเป็นรู้ได้แล้ว จิตใจก็สงบ สงบจนสงัด ทรงอยู่กับความรู้ในปัจจุบันสามารถใช้ปัญญาได้ทันเมื่อมีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น
มีผู้ที่ฝึกตามที่หลวงพ่อเทียนสอนได้แล้วได้ประโยชน์กันเป็นจำนวนมาก ท่านที่ยังไม่เคยเจริญสติควรศึกษา ทำความเข้าใจและฝึกเจริญเสีย เพราะจะเกิดอานิสงส์นานาประการแก่ตนเองและสังคม จะพบความสุขอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน เป็นเครื่องส่งเสริมสุขภาพทั้งทางกาย ทางจิต และทางสังคม อย่าไปทำสมาธิอย่างเดียวโดยไม่เจริญสติ เพราะจะทำให้เข้าใจผิดหลงใหลวิปริต และนำไปสู่ความล้มละลาย ดังที่บางสำนักกำลังประสบอยู่
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ มรณภาพเมื่อวันที่ 13 กันยายนพ.ศ. 2531 ที่จังหวัดเลย เข้าใจว่าจะมีการปลงศพท่านที่นั่นในเดือนตุลาคมนี้ หวังว่ามรณภาพของท่าน จะเป็นเครื่องกระตุ้นเตือนให้ผู้ที่เจริญสติอยู่แล้ว มีความเพียรพยายามยิ่งขึ้น และให้ผู้ที่ยังไม่รู้จักการเจริญสติเข้ามาสนใจการเจริญสติ เพื่อประโยชน์ของตนเอง และสังคม ยิ่ง ๆ ขึ้นต่อไป