"เข้าใจ-เข้าถึง-พัฒนา" คือยุทธศาสตร์ที่ในหลวงทรงชี้แนะในการแก้ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้.
หลักคิดข้อนี้ ก็สามารถนำมาใช้ในการดูแลผู้ป่วยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่จำเป็นต้องมีการปรับ (พัฒนา) พฤติกรรมสุขภาพ
ตัวอย่างเช่น การดูแลผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ตามเป้าหมาย ผู้ให้บริการมักจะรู้สึกหงุดหงิดกับผู้ป่วยที่ "ดื้อ" ไม่ยอมปรับพฤติกรรม หรือทำตามที่แนะนำ เมื่อผู้ป่วย "ดื้อ" มากๆ เข้า ผู้ให้บริการก็มักจะใช้วิธี "ขู่ให้กลัว" หรือ "ดุ" ผู้ป่วย โดยหวังให้ผู้ป่วยยอมปฏิบัติตามคำแนะนำ บางครั้งก็กลายเป็นการ ถ่างช่องว่างแห่งความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้บริการกับผู้ป่วยออกไปมากยิ่งขึ้น และก็ประสบความล้มเหลวในการดูแลผู้ป่วย
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เนื่องเพราะการไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึงผู้ป่วย ซึ่งอาจเป็นผลมาจาก ไม่มีเวลาพูดคุยกับผู้ป่วยหรือขาดความรู้ เจตคติและทักษะในการเข้าใจและเข้าถึงผู้ป่วย
ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยเบาหวานรายหนึ่ง ซึ่งเป็นเบาหวานมาหลายปี เมื่อไปพบแพทย์ ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ติดตามอยู่ 2-3 เดือน พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิน 200 มก./ดล. ทุกครั้ง ฟังผู้ป่วยบอกเล่าว่าออกกำลังกายทุกวัน กินกาแฟก็ใส่น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาลทราย วันๆ ก็เบื่ออาหาร กินอะไรไม่ได้มาก ดูจากภายนอกผู้ป่วยก็มีรูปร่างสมส่วนดี แพทย์จึงแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ยาฉีดอินซูลินแทนยาเบาหวานชนิดกินซึ่งได้ปรับให้ขนาดสูงเต็มที่แล้ว ด้วยเข้าใจว่าผู้ป่วยคงดื้อต่อยากินแล้ว แต่ผู้ป่วยปฏิเสธการฉีดยา เพราะกลัวเจ็บและยุ่งยาก แพทย์ไม่มีเวลาพูดคุยสำรวจปัญหาของผู้ป่วย ก็ได้แต่พูดขู่ว่าถ้าไม่ยอมฉีดเดี๋ยวก็เกิดไตวาย อัมพาต หัวใจวาย หรือต้องตัดขา แต่ก็ไม่ได้ผล. เมื่อผ่านไปหลายเดือน แพทย์ก็อดรนทนไม่ไหว จึงปฏิเสธการรักษา บอกให้ผู้ป่วยไปหาแพทย์คนอื่นดีกว่า ผู้ป่วยจึงเปลี่ยนไปพบแพทย์อีกท่าน ซึ่งมีเวลาพูดคุย ทำความรู้จักมักคุ้น และชวนให้สามีของผู้ป่วยเข้าร่วมหารือในการดูแลปัญหาของผู้ป่วย. ด้วยความรู้สึกที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ผู้ป่วยและสามีก็เล่าถึงพฤติกรรมการกินว่า แม้ว่าจะไม่ชอบกินข้าว แต่ก็นิยมดื่มน้ำผลไม้เป็นกล่องๆ ชอบกินผลไม้หวานทุกชนิด และขนมเค้กเป็นประจำ เมื่อจบจุดได้ดังนี้ แพทย์ จึงแนะนำให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรมการกิน ซึ่งผู้ป่วยก็ยินดีทำตามโดยมีสามีคอยให้กำลังใจและช่วยดูแล พร้อมบันทึกรายการอาหารการกินในแต่ละวันให้แพทย์ประเมินดูเป็นระยะ ไม่นานระดับน้ำตาลก็ลดลงสู่ระดับปกติ แพทย์ได้แนะนำให้สามีหาหนังสือเกี่ยวกับเบาหวานมาอ่าน และให้ซื้อเครื่องตรวจน้ำตาลในเลือดมาตรวจเองที่บ้าน สามีของผู้ป่วยก็ปฏิบัติตามจนมีความรู้และทักษะในการดูแลผู้ป่วย ซึ่งสามารถคุมน้ำตาลได้อย่างต่อเนื่องและสามารถปรับลดยาลงได้ ทั้งผู้ป่วยและสามีมีความภูมิใจที่สามารถพัฒนาตนเองจนดูแลเบาหวานได้เป็นอย่างดี
ผู้ป่วยเบาหวานอีกรายหนึ่ง คุมน้ำตาลไม่ได้ก็ถูกแพทย์ดุว่าเป็นประจำ วันหนึ่งแพทย์ได้ตามทีมพยาบาลไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วย พบว่าผู้ป่วยรายนี้ฐานะยากจน มีความเป็นอยู่อัตคัดขัดสน ลูกๆ ไม่มีเสื้อผ้าและหนังสือเรียน เมื่อพบสภาพเช่นนี้ แพทย์ก็เกิดความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้ป่วยและครอบครัว ได้ซื้อเสื้อผ้าและหนังสือเรียนไปมอบให้ลูกๆ ของผู้ป่วย ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยก็ดีขึ้นทันที หลังจากนั้น แพทย์ก็สามารถพูดคุยแนะนำผู้ป่วยด้วยท่าที่อ่อนโยน และผู้ป่วยก็ค่อยๆปรับพฤติกรรมจนคุมน้ำตาลได้ดีในที่สุด
ผู้ป่วยอีกรายเป็นทั้งความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และสูบบุหรี่จัด แพทย์ผู้รักษาก็ใช้เวลาพูดคุย อธิบายแลกเปลี่ยนกับผู้ป่วยถึงอันตรายของโรค และแนวทางการดูแลรักษา รวมทั้งชักชวนให้ผู้ป่วยเลิกบุหรี่ ทุกครั้งที่พบแพทย์ แพทย์จะพูดคุยถาม ทุกข์สุข การงาน ครอบครัว การผ่อนคลายความเครียด รวมทั้งกระตุ้นให้ผู้ป่วยหาทางเลิกบุหรี่ โดยไม่ได้ตำหนิติเตียนที่ผู้ป่วยยังไม่สามารถเลิกบุหรี่ จนกระทั่งผ่านไปเป็นปี ผู้ป่วยก็เลิกบุหรี่ได้เด็ดขาด ผู้ป่วยเล่าว่า วันหนึ่งมีหน่วยสาธารณสุขลงไปรณรงค์ให้เลิกบุหรี่ ในที่ทำงานผู้ป่วย ผู้ป่วยคิดถึงความสัมพันธ์และความปรารถดีของแพทย์ จึงตัดสินใจโอกาสดังกล่าวเลิกบุหรี่ ทั้งยังได้ชวนให้ลูกชายเลิกบุหรี่ได้อีกด้วย
ความสัมพันธ์ที่ดีนำไปสู่ความเข้าใจผู้ป่วย ความเข้าใจผู้ป่วยนำไปสู่การเข้าถึงผู้ป่วย และเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนา (ปรับเปลี่ยน) ผู้ป่วย