ก้อนที่ต่อมน้ำลาย
Q ในผู้ป่วยเด็กที่มาด้วยอาการบวมหรือมีก้อนที่ต่อมน้ำลาย มีแนวทางการวินิจฉัยอย่างไร
วรวิทย์ อึ้งภูริเสถียร
A โรคของต่อมน้ำลายในเด็กพบได้แต่ไม่บ่อยมากนัก ส่วนใหญ่มักเป็นที่ parotid หรือ submandibular gland โดยกลุ่มโรคใหญ่ๆ ที่ต้องนึกถึง คือ inflammatory, neoplasm และ congenital.
ในผู้ป่วยเด็ก ส่วนใหญ่โรคของต่อมน้ำลาย จะเป็น inflammatory disease ต่างจากในผู้ใหญ่ ซึ่งมีอุบัติการณ์ของ inflammatory disease น้อยกว่า แต่ในกรณีที่มีก้อนที่ต่อมน้ำลายลักษณะก้อนแข็ง อุบัติการณ์ของ malignancy ในเด็กจะมากกว่าในผู้ใหญ่, รวมทั้งในผู้ป่วยเด็กต้องคำนึงถึงกลุ่ม congenital ด้วย เช่น dermoid cyst, branchial cleft cyst เป็นต้น.
การซักประวัติ, ตรวจร่างกาย เริ่มจากระยะเวลาที่เริ่มเป็น, เคยเป็นมาก่อนหรือไม่, อาการปวด บวม เป็นข้างเดียวหรือสองข้าง, อาการสัมพันธ์กับการกินอาหารหรือไม่, มีไข้ ไข้หวัด ร่วมด้วยหรือไม่, มีประวัติ trauma หรือไม่, ประวัติการทำฟันเป็นสาเหตุหรือไม่ ที่สำคัญคือ ดูลักษณะการบวมของต่อมน้ำลาย ว่าบวม ทั่วๆ ทั้งก้อน (diffuse swelling) หรือมีลักษณะโตเป็นก้อนเฉพาะที่ (discrete mass).
การตรวจร่างกาย ใช้การคลำ bimanual palpation โดยมือข้างหนึ่งอยู่ในปาก และมืออีกข้างหนึ่ง อยู่นอกปากจะช่วยแยกก้อนของต่อมน้ำลาย กับต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอได้ดีขึ้น, คลำดูลักษณะก้อนว่าเป็น cystic หรือ solid, กดเจ็บหรือไม่, mobile หรือ fixed, ดู facial movement ว่ามี facial palsy หรือไม่, รวมทั้งตรวจดูบริเวณรูเปิดของต่อมน้ำลายที่อยู่ในปากด้วย.
Investigation ที่ช่วยได้มาก คือ FNA (fine needle aspiration) ถึงแม้ว่าจากรายงานต่างๆ พบ ว่า ความแม่นยำของผล FNA ในเด็กอาจจะน้อยกว่าในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นเนื้องอก. แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีประโยชน์ เพราะสามารถบอกกลุ่มโรคคร่าวๆได้ เช่น abscess, cyst, noninfectious, noncystic lesion เป็นต้น.
การ biopsy ทำในกรณีที่เป็น solid firm mass ซึ่งเป็นมานานมากกว่า 6 สัปดาห์ หรือในกรณีที่ทำ FNA แล้วบอกผลไม่ได้ หรือสงสัยว่าเป็น malignancy.
พิบูล วชิรลาภไพฑูรย์ พ.บ.
โสต ศอ นาสิกแพทย์
สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
เทคโนโลยีใหม่ในการรักษาโรคตา
Q อยากเรียนถามว่าปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ๆที่ใช้รักษาโรคทางตาที่เคยรักษาไม่ได้หรือไม่
รัชดาภรณ์ ตันติมาลา
A ปัจจุบันเทคโนโลยีในการรักษาโรคทางตามีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก โรคทางตาหลายโรคที่เคยคิดว่าเป็นการเสื่อมตามอายุที่รักษาไม่ได้ ก็สามารถรักษาให้หายหรือดีขึ้นได้ เช่น ภาวะสายตายาว หรือจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ หรือเทคโนโลยี ช่วยให้การรักษาโรคตาบางโรคง่ายขึ้น และมีประสิทธิภาพดีขึ้น เช่นโรคต้อกระจก เป็นต้น.
โรคต้อกระจก
โรคต้อกระจกทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเหมือนมีหมอกหรือควันบัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป. ในอดีตการผ่าตัดรักษาโรคต้อกระจกดูจะเป็นเรื่องน่ากลัว และเป็นการผ่าตัดที่ใหญ่โต มีความเสี่ยงสูง รวมทั้งกระทบกับการดำเนินชีวิตหลังการผ่าตัดเป็นอย่างมาก. ปัจจุบันเทคโนโลยีการผ่าตัดต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงมีการพัฒนาก้าวหน้าเป็นอย่างมาก การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาสามารถทำ ได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง โดยการใช้เฉพาะยาชาหยอด อาจไม่ต้องแม้แต่ฉีดยาชา มักไม่มีความรู้สึกเจ็บและแทบไม่เสียเลือดเลย. นอกจากนั้น ยังสามารถรับการผ่าตัดได้โดยอาจไม่จำเป็นต้องนอนค้างที่โรงพยาบาล และที่สำคัญสามารถใช้สิทธิในการรักษาโรคต้อกระจกได้ทั้งกรณีสิทธิข้าราชการ ประกันสังคม และบัตรทองได้อีกด้วย.
ภาวะสายตายาว
ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่มักมีปัญหาสายตายาว ซึ่งทำให้ไม่สามารถอ่านหนังสือ ในระยะใกล้ๆได้ ต้องพึ่งพาแว่นตาสำหรับอ่านหนังสือ หรือใช้แว่นตาสองชั้น ซึ่งบางคนอาจไม่ชอบใส่เนื่องจากรู้สึกว่าอายุมาก. ปัจจุบันมีการใช้แว่นชนิดไร้รอยต่อ ทำให้การใส่แว่นแก้ปัญหาสายตายาวดูดีมากขึ้น หรือมีการนำเข้าคอนแทกเลนส์ที่สามารถแก้ปัญหาสายตายาวได้แล้ว (แต่ราคาแพงหน่อย). นอกจากนั้น วิทยาการทางการแพทย์ยังก้าวหน้า มีการนำคลื่นวิทยุมาใช้ในการปรับความโค้งกระจกตา ทำให้ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีสามารถกลับมาอ่านหนังสือได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นอีกครั้ง.
โรคจอประสาทตาเสื่อม
ในอดีตโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ อาจถูกมองว่าเป็นเรื่องของสังขาร และเรื่องของเวรกรรม ไม่สามารถให้การรักษาได้. แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์มีความก้าวหน้ามากขึ้น มีการนำแสงเลเซอร์มาใช้ร่วมกับการฉีดสารยาบางชนิด จะสามารถทำให้ผู้สูงอายุที่มีจอประสาทตาเสื่อมบางราย สามารถกลับมามองเห็นได้ดีขึ้น และยังป้องกันการตามัวบอดมากขึ้นจากภาวะจอประสาทตาเสื่อมเพิ่มเติมได้.
ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ พ.บ.
จักษุแพทย์ คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์