เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสเข้าร่วมประชุมสุนทรียเสวนา เรื่อง "หาทางออกเชิงระบบ ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์" ซึ่งจัดโดย สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานวิจัยและพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพ (สวค.) ที่ห้องประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์. ที่ประชุมประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานราชการ องค์กรวิชาชีพ องค์กรประชาสังคม และคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ. รูปแบบของสุนทรียเสวนาก็คือ เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้พูดอย่างอิสระจนจบ ห้ามไม่ให้มีการพูดขัดคอ หรือโต้แย้งระหว่างที่คนหนึ่งพูดยังไม่จบ ทั้งนี้ เน้นให้มีการฟังข้อมูล ความรู้สึก และข้อคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างตั้งใจ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง ดังที่เรียกกันว่า "การฟังอย่างลึก" (deep listening) โดยหวังว่าเมื่อมีความเข้าใจและเข้าถึงกันมากขึ้นก็สามารถลดอคติต่อกันและกัน และหาทางออกร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น.
ในวันนั้น นายแพทย์โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ นักมานุษยวิทยาการแพทย์ได้ให้ความเห็นว่า สาเหตุหลักของความขัดแย้งระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ ก็คือ ความไม่ไว้วางใจ และความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมของผู้รับบริการ การใช้อำนาจของผู้ให้บริการ และปัญหาการสื่อสาร. ที่สำคัญคือ โครงสร้างของระบบบริการทางการแพทย์ในปัจจุบันเองก็เป็นสาเหตุพื้นฐานของการก่อให้เกิดความขัดแย้ง เนื่องจากมีลักษณะใช้ระบบวิธีคิดแบบแยกส่วน (ไม่ใช้ระบบวิธีคิดแบบองค์รวม สนใจแต่กาย ไม่ใส่ใจความรู้สึกและจิตใจ), ใช้อำนาจและวัฒนธรรมแห่งวิชาชีพในการสร้างความสัมพันธ์ที่เหนือกว่าผู้รับบริการ, เป็นระบบบริการที่แยกขาดจากชุมชน (ทำให้ห่างเหินและเกิดช่องว่างกับชุมชนที่มีระบบวิธีคิดและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน), เป็นระบบการจัดการสมัยใหม่ (ที่เน้นเทคโนโลยี และขาดมิติทางจิตวิญญาณ รวมทั้งมีโครงสร้างและขั้นตอนที่ซับซ้อน สร้างความรู้สึกแปลกแยกแก่ผู้รับบริการ) และเป“นระบบทุนนิยม (ที่สร้างความสัมพันธ์แบบผู้ซื้อและผู้ขายบริการ ก่อให้เกิดความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ และความไม่ไว้วางใจของผู้รับบริการ).
ที่ประชุมได้มีการพูดแลกเปลี่ยนกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งพอจะสรุปประเด็นสำคัญได้ ดังนี้
1. ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่มีความรุนแรงในปัจจุบัน จนถึงขั้นเกิดกระแสการฟ้องร้องแพทย์ และมีคดีตัวอย่างที่แพทย์ถูกตัดสินให้ติดคุกนั้น จำเป็นต้องเร่งสร้างกลไก ได้แก่
- การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานบริการ และกลไกป้องกันความเสี่ยงในการให้บริการให้เกิดขึ้นในโรงพยาบาลทุกแห่ง.
- การจัดตั้งหน่วยบรรเทาทุกข์และเยียวยาในโรงพยาบาลทุกแห่ง ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดจากความเสียหายจากการรับบริการ โดยหาทางช่วยแหลือผู้เสียหาย.
- การจัดตั้งหน่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งที่ประกอบด้วยบุคลากรที่มีทักษะในการเจรจาไกล่เกลี่ยให้คู่ขัดแย้งรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรม.
- การจัดตั้งองค์กรกลางที่รับร้องทุกข์ของผู้ที่ได้รับความเสียหาย โดยมีองค์ประกอบที่มีความเป็นกลาง และเป็นที่เชื่อถือของทุกฝ่าย.
2. มาตรการในระยะยาว ได้แก่
- การออกกฎหมายคุ้มครองผู้เสียหายทางการแพทย์ เพิ่มเติมจากกลไกการเยียวยาที่มีอยู่ (เช่น มาตรา 41 ของพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545).
- การสร้างระบบการแพทย์ที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ โดยการพัฒนาหลักสูตรที่สามารถฝึกฝนให้บุคลากรทุกสาขามีระบบวิธีคิดแบบองค์รวม มีทักษะการสื่อสารที่ดี และใส่ใจในมิติด้านจิตใจ รวมทั้งสร้างระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิที่อยู่ใกล้ชิดชุมชนให้มีความเข้มแข็งและกระจายอย่างทั่วถึง.
- การพัฒนามาตรฐานวิชาชีพ.
- การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรและการกระจายตัวของบุคลากร เพื่อลดภาระงานของบุคลากรให้มีเวลาพัฒนาความรู้และดูแลผู้ป่วยอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งมีการสื่อสารและความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ป่วยและชุมชน.
- การปฏิรูปองค์กรวิชาชีพให้เป็นที่เชื่อถือของทุกฝ่าย.