ความผันผวนของธาตุทั้งสี่... ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ กระทบต่อสิ่งมีชีวิตมาช้านาน และเราเรียกว่า ภัยธรรมชาติ.
มาวันนี้ เราเริ่มยอมรับและตระหนักว่า ยุคแห่งความผันผวนของธาตุทั้งสี่โดยน้ำมือมนุษย์ได้เปิดฉากขึ้นแล้ว.
มีการคาดประมาณว่า ในทศวรรษ1990 ภัยธรรมชาติอันเกี่ยวโยงกับภูมิอากาศได้คร่าชีวิตคนไป 600,000 ราย โดยเกือบทั้งหมด (ร้อยละ 95) เกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา.
คลื่นความร้อนเมื่อฤดูร้อนปี พ.ศ. 2546 ทำให้คนยุโรปตะวันตกเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 70,000 กว่ารายเทียบกับฤดูร้อนปีก่อนๆ.
ไม่เพียงการผันผวนของอุณหภูมิอย่างเฉียบพลันรุนแรงจะสร้างปัญหา โลกที่ค่อยๆร้อนขึ้นทุกวันเป็นที่มาของอนุภาคในอากาศ เช่น ละอองเกสร อันเป็นตัวกระตุ้นการกำเริบของภาวะหอบหืด. ทุกวันนี้ ประชาชน 300 ล้านคนทั่วโลกจับหืด โดยที่ 255,000 คน ล้มตายในปี พ.ศ. 2548 ที่น่าวิตกต่อไปคือ จำนวนคนตายลักษณะนี้จะเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 20 ใน 10 ปีข้างหน้า เว้นเสียแต่ภาวะโลกร้อนจะได้รับการเยียวยา และการเตรียมพร้อมรับมือทางสาธารณสุขจะทันการณ์.
ชายฝั่งทะเลอันทรงเสน่ห์ดึงดูดให้คนกว่าครึ่งโลกเข้าไปอยู่อาศัยในรัศมี 60 กม. มาวันนี้ค่อยๆคลายมนต์ขลังและกลายเป็นแรงผลักเมื่อภาวะโลกร้อนได้ชักนำให้น้ำไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่ชายฝั่งเป็นระยะ จนนำมาซึ่งความตายคล้ายๆกรณีคลื่นยักษ์สึนามิ ทั้งระยะที่คลื่นเข้าโจมตีและระยะต่อมาที่โรคติดเชื้อ อันมีน้ำและแมลง เป็นพาหะเข้าซ้ำเติม ดังนั้นคนที่กำลังหนีตาย หนีโรคจากชายฝั่งย่อมพาความเครียดที่พร้อมจะส่งต่อไปยังพื้นที่เป้าหมายอย่างไม่ต้องสงสัย.
ในด้านตรงกันข้าม ปริมาณน้ำฝนที่ไม่แน่นอนอาจหมายถึง ภาวะแล้งน้ำ ซึ่งทุกวันนี้กำลังเล่นงานคน ร้อยละ 40 อยู่แล้วทั่วโลก คนกลุ่มนี้จึงเสี่ยงต่อการป่วยและตายด้วยอุจจาระร่วง แต่ละปีตัวเลขคนตายด้วยภาวะนี้อยู่ประมาณ 1.8 ล้านคน ทั้งนี้ยังไม่รวมโรคอื่นที่มากับภัยแล้ง เช่น ริดสีดวงตา.
เราคงจะเห็นส่วนของปัญหาได้ไม่ครบหาก ยังไม่ได้พิจารณาที่มาของปัญหา.
แผนที่โลกซึ่งดูบิดเบี้ยวผิดสัดส่วนในภาพ พยายามสื่อความหมายว่า คนส่วนใหญ่ที่กำลังตกระกำลำบากจากผลกระทบของภาวะโลกร้อน (แสดงโดยสัดส่วนในครึ่งล่างของภาพ) กลับเป็นคนที่มีส่วนน้อยกว่ามากในการก่อภาวะโลกร้อน แต่คนส่วนน้อยที่ได้รับผลกระทบ กลับเป็นตัวการสำคัญของการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังแสดงในครึ่งบนของภาพที่ 1.
ภาพที่ 1.
สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นและดำรงอยู่อย่างน้อยนับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ความเย็นชาต่อข้อตกลง เกียวโตเสมอมาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา น่าจะเป็นสัญญาณเด่นชัดว่า หลักการ "ใครก่อมลพิษ คนนั้นต้องจ่าย" มีผลในทางปฏิบัติน้อย เพราะดุลแห่งอำนาจของโลกเอียงไปหาชาติที่ได้เปรียบทางการเมือง การทหาร และเศรษฐกิจ.
ถึงตรงนี้ เราอาจสังเกตพบตรงกันว่า ไม่นานมานี้ การผงาดของจีนและอินเดียทำให้เกิดความเชื่อมากขึ้นทุกทีว่า ดุลแห่งอำนาจกำลังเปลี่ยนแปลง. อย่างไรก็ตาม ทิศทางการบริโภคของคนชั้นกลางที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในประเทศทั้งสอง ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากที่กำลังเกิดขึ้นในซีกโลกตะวันตก.
ในระยะ 10-20 ปีข้างหน้า จึงเชื่อได้ว่า ภาวะโลกร้อนและผลกระทบที่ตามมาจะขยายตัวต่อไป ระบบบริการสุขภาพจึงต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือ เครื่องมือสำคัญชิ้นหนึ่งคือ การเฝ้าระวังสถานการณ์.
การระบาดของโรคซารส์และไข้หวัดนก ได้ชักนำให้เกิดการจัดตั้งหน่วยเฝ้าระวังและตอบสนองอย่างฉับพลัน (surveillance and rapid response teams) อันเป็นกลไกถาวรขึ้นในโครงสร้างของกระทรวงสาธารณสุขทั้งในส่วนกลางและระดับจังหวัด อีกทั้งยังก่อเกิดเครือข่ายบุคคลและข่าวสารเชื่อมโยงทั้งภายในและต่างประเทศ.
ความร่วมมือในฐานะ clinician คือ ของจริงที่รอการพิสูจน์ว่าระบบเฝ้าระวังและตอบสนองฯนี้จะทำงานได้อย่างกระฉับกระเฉงสักเพียงใด.
ที่มา http://www.who.int/features/factfiles/climate_change/facts/en/index9.html [2]