เวลาของการใช้ทุนของแพทย์เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่สำคัญของชีวิตแพทย์... เป็นโอกาสแห่งการเรียนรู้บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการไปใช้ทุนในชนบทของนักศึกษาแพทย์ และเป็นกำลังใจแก่แพทย์จบใหม่ที่กำลังทำงานอย่างหนักในโรงพยาบาลชุมชน
ตอนเด็กๆ แม่ผมบอกถึงวิธีสอนสุนัขที่เลี้ยงไว้ว่า ถ้าจะสอนให้มันยืน เวลามันยืนได้ก็ให้อาหารมัน ถ้ามันถ่ายอุจจาระเรี่ยราด ก็ให้เอามันไปดมแล้วตีมัน มันจะจำได้และไม่ทำอีก. พอผมโตขึ้นเข้ารับราชการ ผมก็ถูกสอนว่า การบริหารงานราชการก็มีเรื่องของการให้คุณให้โทษ ให้คุณคือ การสร้างแรงจูงใจให้คนทำงานโดยขึ้นเงินเดือนให้ 2 ขั้น ถ้าให้โทษคือ เมื่อทำผิดวินัยและระเบียบราชการ ก็ตักเตือน ภาคฑัณฑ์ ไม่เลื่อนเงินเดือน ตัดเงินเดือน ให้ออก ไล่ออก แล้วแต่ความรุนแรง.
ความเชื่อนี้ดูจะรุนแรงขึ้นเมื่อผมได้เห็นคนที่ทำงานดีได้ 2 ขั้น แล้วทำงานดีขึ้น คนทำงานไม่ดี คนที่ทำงานเรื่อยๆ ก็เรื่อยๆ ต่อไปตามที่เขาเป็น รอจนเขาทำงานไม่ดี มาสาย ขาดงานก็ ลงโทษตักเตือน ภาคฑัณฑ์ ตามลำดับไป แล้วก็ปรับตัวดีขึ้นบ้าง จนวันหนึ่งก็กลับไปแย่เหมือนเดิมแล้วก็ถูกทำโทษอีก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาพร้อมกับนิสัยการทำงานแบบนั้นตั้งแต่เกิด ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปได้ คนดียังไงก็ดี คนไม่ดีก็ช่วยอะไรไม่ได้ ยังไงก็ได้แค่นั้น ผมเชื่ออย่างนั้น จนวันที่ผมได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจาก....พี่แสวง (นามสมมุติ).
พี่แสวง เป็นลูกจ้างประจำของโรงพยาบาลที่ทำงานมามากกว่า 10 ปี ด้วยความที่ไม่มีเจ้าหน้าที่เอกซเรย์ พี่แสวงจึงทำหน้าที่เอกซเรย์ให้คนไข้ด้วย แม้จะเรียนจบแค่ป. 6 แต่พี่แสวงก็เอกซเรย์ได้เห็นชัดเจน จนผมแยกความแตกต่างไม่ออกกับเจ้าหน้าที่เอกซเรย์ซึ่งเรียนจบมา. นอกจากนี้ เวลาว่างพี่แสวงยังช่วยเข็นคนไข้ด้วย เรียกว่าเป็นพนักงานเปลไปในตัว สำหรับผมแล้ว แม้พี่แสวงจะเป็นแค่คนตัวเล็กๆ ในโรงพยาบาล แต่ผมก็ชื่นชมเพราะมีความสามารถที่มากกว่าลูกจ้างคนอื่นๆ.
แต่แล้วผมต้องแปลกใจเมื่อถึงเวลาพิจารณาความดีความชอบประจำปี หัวหน้าฝ่ายการพยาบาลกลับเสนอไม่ให้ขึ้นขั้นเงินเดือนพี่แสวง. ผมจึงเพิ่งมารู้ว่า พี่แสวงมักจะขาดงานเป็นบางครั้งหายไป 4-5 วันโดยไม่บอกกล่าว เมื่อไปตามดูก็พบว่ากินเหล้า เมาอยู่ที่บ้าน ตามให้มาทำงานก็ไม่มา ทำให้เสียงานเสียการต้องหาคนอื่นมาทำงานแทน แม้ผมจะเป็น ผู้อำนวยการ แต่งานควบคุมกำกับลูกจ้างนั้น ผมได้ มอบหมายให้หัวหน้าฝ่ายการพยาบาลดูแลแทน เพราะเวลาส่วนใหญ่ก็มักจะยุ่งอยู่กับการตรวจรักษา. ดังนั้น ผมจึงเห็นชอบตามที่หัวหน้าฝ่ายการพยาบาลเสนอมา แล้วผมก็ลืมเรื่องนี้ไป จนอีก 2 เดือนต่อมา หัวหน้าฝ่ายการพยาบาลได้มาปรึกษาอีก เพราะพี่แสวงเมาไม่มาขึ้นเวรอีกแล้ว ผมจึงได้เรียกมาตักเตือน และพี่แสวงก็รับปากว่าจะปรับปรุงตัว ทำให้ผมคิดว่าพี่แสวง น่าจะแก้ไขตนเองได้ดีขึ้น.
ผ่านไปอีกไม่กี่เดือน ผมก็ได้เวลาไปเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางสาขาระบาดวิทยา และด้วยความชอบและสนุกกับการทำงานในโรงพยาบาลชุมชน จึงตั้งใจว่าจะกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลเดิมนี้อีก และแล้วเวลา 2 ปีในการเรียนแพทย์ประจำบ้านสาขาระบาดวิทยาผ่านไปไวเหมือนโกหก ผมได้กลับมายังโรงพยาบาลชุมชนเดิมอีก ทั้งที่ไม่มีใครเชื่อว่าจะกลับมาจริงๆ.
ปัญหาของพี่แสวง ที่ผมเองแก้แบบไม่ได้แก้ก็เวียนกลับมาที่ผมอีกครั้ง น้องหมอที่เป็นผู้อำนวยการแทนผมเล่าให้ฟังว่า พี่แสวงยังคงขาดงานหายไปกินเหล้าเป็นช่วงๆ โดยได้ใช้วิธีทางวินัยครบหมดแล้ว ทั้งตักเตือน ภาคฑัณฑ์ ไม่เลื่อนขั้นเงินเดือน ตัดเงินเดือน. ตอนนี้การลงโทษเหลืออย่างเดียวคือเสนอทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดให้ไล่ออก หัวหน้าฝ่ายการพยาบาลบอกว่า ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ก็จะปกครองคนอื่นไม่ได้ และถ้าเปลี่ยนผู้อำนวยการแล้วจะเริ่มตักเตือน ภาคฑัณฑ์ กันใหม่อีกรอบก็คงไม่เห็นด้วยแน่.
ผมจึงเชิญพี่แสวงรวมทั้งภรรยาที่เป็นลูกจ้างอยู่ในโรงพยาบาลเช่นกันมาคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พี่แสวงเล่าให้ฟังว่า เขารู้ตัวดีว่าทำผิด ยอมให้ลงโทษทุกอย่าง ตามปกติเขาจะไม่กินเหล้า แต่พอทำงานไปได้ 2-3 เดือน เขาจะอดไม่ได้ต้องกินเหล้าโดยไม่สามารถห้ามตัวเองได้ ภรรยาเล่าให้ฟังว่า พี่แสวงมักจะนั่งกินคนเดียวและไม่ยอมกินข้าวนาน 4-5 วัน หลังจากนั้นก็จะหยุดกินและกลับมาทำงานต่อได้เอง. ปัญหาทางครอบครัวไม่มีอะไรที่ต้องกังวลมากนัก แต่ลูกกำลังเรียนอยู่ ถ้าพ่อตกงานคงจะลำบากแน่ๆ อยากให้หมอเห็นใจและช่วยไม่ให้ออกจากงานด้วย.
ในฐานะผู้อำนวยการผมจำเป็นต้องตัดสินใจ อย่างเด็ดขาดในเรื่องการลงโทษทางวินัย ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ผมเห็นใจและไม่อยากทำลายชีวิตครอบครัวนี้ ในฐานะหมอ ทำให้ผมคิดว่าพี่แสวงป่วยด้วยโรคทางใจอะไรซักอย่าง เพราะถ้าเป็นจากการติดเหล้า ก็น่าจะกินทุกวัน แต่นี่หยุดได้ 2-3 เดือน แล้วกลับมากินหนักทีเดียว 4-5 วัน น่าจะเกิดจากภาวะเครียด จากการซักประวัติเพิ่มเติม พี่แสวงบอกว่า เขารู้สึกว่าลูกจ้างคนอื่นไม่ชอบเขา บางทีรู้สึกว่ามีคนเอาเปรียบเขา แต่เขาก็พยายามลืมๆ ไป คิดว่าช่างมัน ส่วนในครอบครัว ก็รู้สึกว่าภรรยาและลูกไม่ค่อยภูมิใจในตัวเขา เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี ไม่มีคุณค่า.
ผมนึกอยากเขกกระโหลกตัวเอง ทำไมเมื่อ 2 ปีก่อน ผมจึงไม่เรียกพี่แสวงมาคุยแบบนี้ ตอนนี้ผมจึงรู้ว่าทำไมพี่แสวงจึงต้องกินเหล้าโดยไม่สามารถควบคุมตนเองได้. จากที่เคยเรียนวิชาจิตเวชมาในช่วงเป็นนักศึกษาแพทย์ ทำให้ผมทราบว่าคงเนื่องจากความเครียด ที่สะสมอยู่ในจิตใต้สำนึก จากความที่รู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า ทำให้ตีความปรากฎการณ์ต่างๆ ของคนอื่นที่ปฏิบัติต่อตนไปในทางลบ ทั้งที่อาจจะจริงและไม่จริง เมื่อเก็บกด (repression) นานๆ จนจิตใต้สำนึกเก็บไว้ไม่อยู่ ก็ล้นออกมาก่อปัญหาทางพฤติกรรมได้. อีกทั้งพี่แสวงเองก็ไม่ได้มีการระบายความเครียด และไม่ได้ใช้กลไกป้องกันตัวเอง (self defense mechanism) ที่ดีมาช่วย เช่น การมองให้เป็นเรื่องตลก (sense of humour) หรือการออกกำลังกาย มาเพื่อช่วยให้หลั่งสารเอนดอร์ฟินออกมา (endogenous endorphin) เมื่อร่างกายต้องการเอนดอร์ฟินจึงจำเป็นต้องอาศัย exogenous endorphin จากยาเสพติดต่างๆ เช่น เหล้า เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้. เมื่อเมาได้ที่ความอัดอั้นในใจก็จะระบายออกมา โดยอาจจะบ่นดังๆ ในขณะที่เมา เมื่อจิตใต้สำนึกโล่งจากความเครียดที่อัดแน่นอยู่ ชีวิตของพี่แสวงก็ดำเนินต่อไปได้.
เมื่อรู้ดังนั้น ผมจึงได้พยายามอธิบายให้พี่แสวงเข้าใจ โดยยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ ว่าความเครียดนั้นก็เปรียบดังอุจจาระเป็นธรรมดาที่ทุกคนกินเข้าไปก็จะต้องถ่ายออกมาในแต่ละวัน จิตใต้สำนึกก็เปรียบดังถังเก็บอุจจาระใต้ส้วม ซึ่งถ้าอุจจาระจำนวนมากก็ย่อมเต็มเร็ว ถ้าล้นขึ้นมาก็ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งให้แก่ตนเองและคนรอบข้างได้. ทางออกที่มีก็คือ ถ้าเราถ่ายบ่อย ก็ต้องดูดอุจจาระออกให้บ่อยด้วย โดยการผ่อนคลาย ออกกำลังกาย ทำงานอดิเรกที่ชอบ ให้สารแห่งความสุขได้หลั่งออกมาบ้าง หรือเราอาจจะกิน ให้น้อยลง ก็คือ อย่าเก็บเอาเรื่องต่างๆ มาเป็นสาระ มาเป็นความเครียดในใจเรา มองโลกในแง่บวก ปล่อยมันไว้ในโลกใบนี้ อย่าเอามันมาเก็บไว้ในโลกของเรา หรือจิตใต้สำนึกของเรา เมื่อเรากินของเสียน้อย เราก็ถ่ายน้อยลงเอง หรืออีกอย่างคือ ขยายถังส้วมให้ใหญ่ ให้รองรับความเครียดได้มากๆ แต่โดยปกติแล้ว จิตใต้สำนึกของเราก็คงถูกกำหนดขนาดมาแล้วว่ารองรับได้แค่ไหน ถ้ามันล้นมันก็ระเบิดออกมา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม 2-3 เดือนพี่แสวงจึงต้องเมาแบบควบคุมไม่ได้สักทีหนึ่ง
พอรู้สาเหตุ ผมจึงบอกว่าพี่แสวงมีทางเลือก 2 ทาง ทางที่ 1 ลาออกไป หรือทางที่ 2 ไปบวชซักพักหนึ่ง เท่ากับเป็นการบังคับให้พี่แสวงบวชโดยปริยาย โดยผมบอกว่าผมจะเป็นโยมอุปัฎฐากให้ในวันที่บวช ก่อนบวช ภรรยาพี่แสวงมาขอยืมหนังสือธรรมะที่ผมวางไว้ในตู้หนังสือของห้องตรวจผู้ป่วยไปให้พี่แสวงอ่าน ซึ่งผมก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี ผมเลยยกหนังสือธรรมะที่มีอยู่ไปให้พี่แสวงอ่าน 1 ตั้งใหญ่.
ผมทราบมาจากหมอรุ่นน้องว่ามีวัดป่าแห่งหนึ่งซึ่งมีการฝึกปฏิบัติธรรมะเข้มข้น และมีการสอนนั่งวิปัสสนากรรมฐานด้วย พี่แสวงก็เห็นพ้องด้วยที่จะไปบวชที่วัดนี้. เมื่อผ่าน 3 เดือนของการบวชในช่วงเข้าพรรษา พี่แสวงก็กลับมาทำงานตามปกติ ผมได้รับรายงานจากหลายคนในโรงพยาบาลว่า พี่แสวงเปลี่ยน ไปเป็นคนละคนเลย ตั้งใจทำงาน สงบ ไม่มีขาดงานอีก และไม่กินเหล้าอีกเลย แถมเลิกบุหรี่ได้ด้วย. พี่แสวงเล่าให้ฟังว่า "ตอนที่บวชอยู่นั้น วันหนึ่งกลางดึกฝนตกหนัก ผมอยากกินเหล้า และอยากสูบบุหรี่มาก จึงเดินออกมาตั้งใจจะหนีออกไปซื้อเหล้ากิน แต่ใจก็นึกถึงหมอ ว่าหมอเอาตัวเองเป็นประกันไว้ ถ้าผมทำไม่สำเร็จ หมอจะเสียหน้าด้วย ผมเดินตากฝนรอบวัดทั้งคืน เช้าขึ้นมาจึงเลิกบุหรี่ และเหล้าได้ ต้องขอบคุณหมอ จริงๆที่ให้โอกาสผม".
ภรรยาของพี่แสวงบอกว่าเหมือนได้สามีคนใหม่ ลูกๆก็บอกว่าเหมือนได้พ่อคนใหม่ ตอนเย็นๆพี่แสวงจะสอนธรรมะให้ลูก และสอนนั่งวิปัสสนากรรมฐานให้ภรรยาและลูกด้วย. ภรรยาพี่แสวงเล่าให้ฟังว่า วันที่สึกออกมา หลวงพ่อท่านเลือกให้พี่แสวงเป็นคนเทศน์ก่อนสึกว่าได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง พี่แสวงเล่าชีวิตที่ผ่านมาให้ฟัง ทุกคนในวันนั้นประทับใจมาก จนในภายหลังมีหมอท่านหนึ่งที่บวชเรียนในช่วงนั้นขับรถจากต่างจังหวัดมาสนทนาธรรมกับพี่แสวงถึงที่บ้านด้วย ผมและกรรมการบริหารหลายคนอดดีใจไม่ได้ที่เรื่องจบแบบนี้ไม่ได้จบด้วยการไล่ใครออก เพราะคงไม่มีใครอยากทำร้ายครอบครัวคนอื่นด้วยการทำอย่างนั้น.
สิ่งที่กำหนดชีวิตของคนแต่ละคนมีหลายอย่าง ซึ่งนอกจากเราเองไม่รู้แล้ว บางครั้งตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ ตัวเลย เพราะบางเรื่องก็อยู่ในจิตใต้สำนึก ความเชื่อที่จะใช้กลไกการให้คุณให้โทษเพื่อกำหนดพฤติกรรมของแต่ละคนจึงอาจจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ได้. การให้คุณให้โทษนั้นคงจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าขาดซึ่งการพัฒนาด้านลึกในจิตใจของคนคนนั้น ซึ่งถ้าพัฒนาได้การปรับเปลี่ยนนั้นจึงจะเป็นการปรับเปลี่ยนที่แท้ ซึ่งจะยังคงอยู่แม้ว่าผู้ให้คุณ ให้โทษจะไม่อยู่ หรือไม่ควบคุมกำกับแล้วก็ตาม.
ผมเองก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างที่เราอาจจะละเลยไปเช่นกัน บางครั้งเราในฐานะแพทย์มักจะยอมเสียเวลาไปกับการให้คำปรึกษาแนะนำให้ผู้ป่วยเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ และเปิดประเด็นเข้าไปรับรู้ถึงความทุกข์ในจิตใจของผู้ป่วย. ขณะเดียวกัน เรากลับลืมคนที่ทำงานด้วยกับเรา ว่าเขาจะทุกข์จะสุขอย่างไร ครอบครัวเขาจะเป็นอย่างไร บางครั้งเราก็ใช้งานเขาเหมือนเครื่องจักร โดยลืมไปว่าเขาก็เป็นคนไข้ได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะคนเข็นเปลไปจนถึงพยาบาลที่ทำงานกับเรา สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเขาก็เป็นสัญญาณที่บอกถึงปัญหาในจิตใจของเขาได้เช่นกัน บางครั้งแม้เราไม่สามารถไปแก้ปัญหาให้เขาได้ เพียงคำชื่นชมที่แสดงให้เขาได้รู้ว่าเรารับรู้ในความมีคุณค่าเขา ก็อาจเป็นยาวิเศษที่บรรเทาเบาบางความทุกข์ของเขาได้ไม่มากก็น้อย.
ผมนึกถึงคำสอนของอาจารย์บุญยงค์ วงค์รักมิตร อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน ที่บอกว่า 'ไม่มีคนไหนที่แย่สุดๆ แม้เป็นคนที่ไม่มีใครเอาแล้ว แต่เขาก็ต้องมีดีอะไรบางอย่าง ถ้าเราให้โอกาสเขา เขา ก็จะพัฒนาตนเองได้". ดังนั้น ไม่ว่าในฐานะหมอหรือในฐานะของผู้อำนวยการ เราก็มีหน้าที่ที่ให้โอกาส และเยียวยาทุกข์ของผู้คนทั้งคนไข้และผู้ที่อยู่รอบตัวเรา.
แม้ว่าผมจะจากโรงพยาบาลแห่งนั้นมานานหลายปีแล้ว จนไม่รู้ว่าตอนนี้พี่แสวงเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็ไม่สำคัญว่า พี่แสวงจะเปลี่ยนแปลงในทางใด เพราะภาระกิจที่แท้จริงของตัวเราคงไม่ใช่การพัฒนาคนอื่น แต่เป็นการพัฒนาตัวเราให้อ่อนโยนขึ้น เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น ไม่ใช่เพียงเป็นหมอ เป็นผู้อำนวยการ แต่เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้นด้วย.
หลายครั้งที่ผมเหนื่อยกับปัญหาของผู้ร่วมงาน สิ่งที่จะผุดขึ้นมาในสมองของผมคือ คำพูดของพี่แสวงที่ว่า "ขอบคุณหมอจริงๆ ที่ให้โอกาสผม" ครับ....ขอบคุณพี่แสวงที่ให้โอกาสผมเช่นกัน.
พงษ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ พ.บ.
เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท และอดีตประธานชมรมแพททย์ชนบท