ผมเพิ่งกลับจากการออกไปสำรวจชุมชน กับนักศึกษาแพทย์กลุ่มหนึ่ง ที่อำเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยได้พักแรมในหมู่บ้านเป็นเวลา 1 สัปดาห์. แม้ว่าจะมาที่ชุมชนแห่งนี้เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน แต่ผมก็ได้เรียนรู้เรื่องราวและปัญหาใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา. นอกจากความเสียหายต่อพืชไร่และสัตว์เลี้ยง ซึ่งทำให้ประชาชนขาดรายได้แล้ว ประชาชนยังพบกับความเครียดจากน้ำท่วมบ้าน การตกงาน การคมนาคมที่ยากลำบาก พิษภัยจากสัตว์พิษ (งูพิษ ตะขาบ) การจมน้ำ (ทราบจากแพทย์ในพื้นที่ว่ามีคนจมน้ำตายทั้งจังหวัดกว่า 30 ราย ซึ่งสูงกว่าปกติ). นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยโรคเรื้อรังหลายรายขาดยารักษาเนื่องจากไม่สามารถเดินทางไปรับบริการที่โรงพยาบาล ทำให้โรคกำเริบมากขึ้น.
จากการสำรวจชุมชนและเยี่ยมตามบ้าน พบว่าวัยกลางคนขึ้นไปมักมีโรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ข้อเสื่อม เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยที่เป็นโรคที่พบไม่บ่อย เช่น วัณโรคปอด เอดส์ มะเร็งปากมดลูก โรคสะเก็ดเงิน (psoriasis) ตับแข็ง ภาวะไตวายเรื้อรัง (ที่กำลังรับ hemodialysis) เป็นต้น.
ในการเยี่ยมบ้าน มีข้อดี คือ มีเวลาพูดคุยกับผู้ป่วย ญาติ และเพื่อนบ้านอย่างเป็นกันเอง ทำให้ได้รับรู้ ปัญหาของผู้ป่วยอย่างเป็นองค์รวม เข้าใจถึงความคิด (idea) ความรู้สึก (feeling) การทำหน้าที่ (function) และการคาดหวัง (expectation) ของผู้ป่วยและญาติได้อย่างลึกซึ้ง.
อาทิ เช่น คุณป้าอายุ 60 ปี มีอาการเลือดออกทางช่องคลอด ไปตรวจที่โรงพยาบาลชุมชน แพทย์สงสัยว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก จึงส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่ในกรุงเทพฯ ซึ่งทางโรงพยาบาลได้นัดมาตรวจถึง 3 ครั้งแล้ว สามีของผู้ป่วยเล่าว่า "หมอบอกว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แต่ก็ไม่เห็นทำอะไรให้ มีแต่นัดให้ไปตรวจอยู่เรื่อยๆ ตอนหลังเลยไม่ไป เพราะไปกรุงเทพฯแต่ละครั้งลำบาก ต้องเหมารถไปแต่เช้า ค่าเช่ารถ ก็แพง.....". เมื่อซักละเอียด ก็พบว่าผู้ป่วยเคยรับไว้รักษาที่โรงพยาบาลอยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งแพทย์ได้ทำการให้เลือดแก่ผู้ป่วย 3 ขวด ทั้งผู้ป่วยและสามีทราบว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ซึ่งก็ทำใจได้ เพียงแต่ขาดความกระจ่างว่า ควรดูแลอย่างไรต่อไป. ทางโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้มีหนังสือส่งตัวกลับมายังโรงพยาบาลชุมชนใกล้บ้าน. เมื่อทราบปัญหา จึงได้ปรึกษาทีมงานโรงพยาบาลชุมชนซึ่งผู้ป่วยและญาติมีความรู้จักมักคุ้นดีให้ช่วยดูแลแบบประทัง (palliative care) ต่อไป. ผู้ป่วยและสามีก็รู้สึกโล่งใจหายกังวล เพราะได้ที่พึ่งที่อยู่ใกล้บ้าน.
เราได้ไปเยี่ยมอีกครอบครัวหนึ่ง มีพ่อบ้านอายุ 48 ปี ป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงินชนิดรุนแรงมา 10 กว่าปี. เดิมทีผู้ป่วยพอมีฐานะจากอาชีพรับซื้อของเก่า ก็ได้ไปรักษาที่คลินิกเอกชนอยู่พักใหญ่ ต่อมาได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่ในกรุงเทพฯ อยู่ 1 ครั้ง ซึ่งหมอก็ให้การวินิจฉัยว่าเป็นสะเก็ดเงินตรงกัน. หลังจากนั้นจึงย้ายกลับมารักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดอยู่หลายปี. เมื่อ 2 ปีก่อนมีอาการป่วยหนัก น้ำหนักลดจาก 50 กว่ากิโลกรัมเหลือ 28 กิโลกรัม เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลชุมชนใกล้บ้าน พบว่าเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และวัณโรคปอด ทางโรงพยาบาลได้ให้การรักษาจนร่างกายฟื้นความแข็งแรงได้จนเป็นปกติ. ครอบครัวนี้รู้สึกชื่นชมทีมโรงพยาบาลชุมชนเป็นอย่างมากที่สามารถทำให้รอดชีวิตได้. วันที่เราไปเยี่ยมผู้ป่วย พบว่ามีรอยโรคตามผิวหนังที่บริเวณขา 2 ข้าง เล็บทุกเล็บกร่อนและยังมีร่องรอยของข้ออักเสบเรื้อรัง. ผู้ป่วยบอกว่าช่วง 2 ปีมานี้ ทำงานไม่ได้เลย ตอนนี้ร่างกายดีขึ้นจนรู้สึกพอใจ สามารถพูดคุยอย่างร่าเริง และมีอารมณ์ขันได้.
จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้ป่วยและภรรยา พบเรื่องราวที่น่าสนใจ เช่น
♦ 10 กว่าปีมานี้ ต้องเสียเงินรักษาโรคสะเก็ดเงินไปมากมายมหาศาล ต้องขายที่น่าไป 4-5 ไร่ ขายทองที่เคยสะสมไป 10 กว่าบาท ขายเรือที่ใช้ล่องรับซื้อของเก่าตามน้ำ ต้องเปลี่ยนอาชีพมารับจ้างเย็บผ้าจากโรงงาน พอได้เงินสด แต่ก็ต้องนำไปใช้จ่ายในการรักษาโรค เดือนละ 3,000 บาท
♦ เคยถูกคนมาหลอกขายยาสมุนไพรถึงที่บ้านซึ่งเขาสืบรู้ว่ามีผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน ก็หลอกว่ายานี้ ใช้รักษาโรคนี้ดีชะงัด.
♦ ผู้ป่วยมีกำลังใจดี คิดว่าโรคที่เป็นเกิดจากกรรมเก่า จึงสวดมนต์ทุกคืน ทำให้รู้สึกสบายใจ มีอารมณ์ขัน และมองโลกในเชิงบวก เช่น พูดว่า "รู้สึกภูมิใจที่เกิดมาเป็นโรคตั้งหลายโรคที่คนอื่นเขาไม่เป็นกัน"
♦ มีแรงสนับสนุนช่วยเหลือจากภรรยาและญาติเป็นอย่างดี.
ผู้ป่วยสะท้อนว่า มีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคที่เป็นอยู่ 3 ข้อ (โรคนี้มีสาเหตุเกิดจากอะไร มีทางรักษาให้หายขาดหรือไม่ มียาและวิธีที่ถูกต้องอย่างไร) ซึ่งไม่เคยได้รับทราบมาตลอด 10 กว่าปี.
เมื่อถามว่าทำไมไม่ถามหมอที่รักษา เขาก็ตอบว่า "พอหมอตรวจเสร็จ ก็รู้สึกหมดเวลา เห็นมีคิวคนไข้รอยู่ยาวเหยียด ก็เกรงใจไม่กล้าถาม".
จากการเยี่ยมสำรวจผู้ป่วยโรคเรื้อรังในชุมชนในทำนองนี้ ทำให้นักศึกษาได้มองเห็นข้อบกพร่องของ ระบบบริการสุขภาพ อยู่ 3 ประเด็นใหญ่ๆ ได้แก่
♦ ระบบการสื่อสารกับผู้ป่วย ที่ไม่มีเวลาและวิธีการสื่อสารที่เหมาะสมให้ผู้ป่วยได้รับความกระจ่างแจ้ง.
♦ ขาดการประสานงานในเครือข่ายของระบบบริการระหว่างระดับหมู่บ้าน-ตำบล-อำเภอ-จังหวัด-ส่วนกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการส่งต่อผู้ป่วยแบบ 2 ทาง (ส่งไปและส่งกลับ).
♦ ขาดการส่งเสริมบทบาทของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ทำงานในชุมชน (สถานีอนามัย/ศูนย์สุขภาพชุมชน) ในการติดตามและให้การศึกษาแก่ผู้ป่วย.
ประเด็นเหล่านี้ ถ้านักศึกษาสนใจก็อาจเห็นได้ที่โรงเรียนแพทย์ แต่การลงมาสัมผัสปัญหาและความทุกข์ยากของผู้ป่วยในชุมชน ย่อมเข้าใจและเข้าถึงปัญหาเหล่านี้ได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น.