เมื่อพูดถึงประเทศไต้หวัน สิ่งแรกที่เรามักจะนึกถึงคือคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย. หรือไม่ก็อาจจะนึกถึงประเทศอุตสาหกรรมที่พี่น้องแรงงานไทยนิยมไปทำงานกัน รวมถึงละครโทรทัศน์และนักร้องชื่อดังที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในบ้านเรา. แต่พอพูดถึงวิทยาการทางการแพทย์ หลายคนอาจจะทำหน้าสงสัยว่าที่ประเทศไต้หวันเขามีอะไรดีหรือ ทำไมต้องไปดูงานที่นั่น โดยเฉพาะทางสาขาศัลยกรรมตกแต่งที่ผมได้ไปเรียนต่อเพิ่มเติมเป็นเวลาหนึ่งปี. ก่อนไป ผมเองถูกถามด้วยคำถามเดียวกันนี้จากแทบทุกคนที่ผมรู้จัก ส่วนใหญ่จะสงสัยว่าทำไมไม่ไปอเมริกา ออสเตรเลีย หรือถ้าเป็นเอเชียก็จะนึกถึงญี่ปุ่น ไม่มีใครเลยที่นึกถึงไต้หวัน. แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทางด้านศัลยกรรมตกแต่งและเสริมสร้าง (plastic and reconstruction) ของเขานั่นมีความเจริญก้าวหน้าไปถึงระดับโลกแล้ว ประกอบกับทางเราได้มีความสัมพันธ์อันดีกับทางไต้หวันมานานได้มีการจัดประชุมร่วมกันรวมถึงการส่งแพทย์ไทยไปดูงานมาแล้วกว่าสิบปี ดังนั้นผมจึงคิดว่าเขาคงต้องมีอะไรดีที่เราจะได้เรียนรู้จากเขาแน่นอน จึงได้ตัดสินใจไปฝึกอบรมเพิ่มเติมด้านศัลยกรรมตกแต่งกระดูกใบหน้าในปี พ.ศ 2549.
ไต้หวันเป็นประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก จากเหนือถึงใต้เป็นระยะทางแค่ประมาณ 400 กม. ก็คือประมาณกรุงเทพฯ ถึงนครสวรรค์เท่านั้นเอง และพื้นที่ส่วนใหญ่ยังมีลักษณะเป็นภูเขา ทำให้พื้นที่ที่สามารถจะอยู่อาศัยได้ยิ่งมีน้อยเข้าไปอีก. ดังนั้นการที่มีประชากรถึง 20 ล้านคน ทำให้ไต้หวันเป็นประเทศหนึ่งที่มีความหนาแน่นประชากรต่อพื้นที่สูงที่สุดในโลก. นอกจากนี้ไต้หวันยังเป็นประเทศที่ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติค่อนข้างบ่อย ทั้งแผ่นดินไหว และพายุไต้ฝุ่น รวมถึงการที่ต้องเตรียมพร้อมในการรับมือกับประเทศมหาอำนาจอย่างจีน. นี่อาจจะเป็นสาเหตุให้ผู้คนในไต้หวันมีความขยันขันแข็งและสามารถพัฒนาให้ประเทศมีความเจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็วในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งก็รวมถึงความเจริญทางด้านการแพทย์ด้วย.
สำหรับโรงพยาบาลที่ผมได้ไปทำงานอยู่คือ โรงพยาบาลฉางกัง (Chang Gung Memorial Hospital) ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นโรงพยาบาลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไต้หวัน มีทั้งหมด 5 แห่งทั่วประเทศซึ่งถ้ารวมกันทุกโรงพยาบาลในเครือแล้วก็จะมีขนาดกว่า 9,000 เตียงเลยทีเดียว. โรงพยาบาลฉางกังก่อตั้งมาเพียงสามสิบปีแต่ในปัจจุบันได้พัฒนาจนเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับเอเชียและระดับโลก ซึ่งสาขาที่มีชื่อเสียงที่สุดสาขาหนึ่งก็คือทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง (plastic surgery) โดยเฉพาะทางสาขาย่อยด้านจุลยศัลยกรรม (microsurgery) และศัลยกรรมกะโหลกศีรษะและกระดูกใบหน้า (craniofacial surgery) ที่มีผลงานทางวิชาการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ชั้นนำของโลกเป็นจำนวนมาก. ทุกปีจะมีแพทย์จากทั่วโลกโดยเฉพาะจากทางยุโรปและอเมริกาแข่งขันกันสมัครในตำแหน่งของแพทย์ผู้ช่วยอาจารย์ (fellow) เป็นจำนวนถึง 40-50 ราย ซึ่งต้องถือมีการแข่งขันกันสูงมากทีเดียวสำหรับสถาบันฝึกอบรมทางด้านศัลยกรรมตกแต่งด้วยกัน. นอกจาก นี้ยังมีศัลยแพทย์อีกมากมายจากประเทศในเกือบทุกทวีปมาดูงานระยะสั้นกันอีกตลอดปี ซึ่งเมื่อได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของโรงพยาบาลนี้แล้ว ยิ่งต้องทึ่งในความสามารถของเขาขึ้นอีกมาก.
ย้อนกลับไปเมื่อช่วง 40 ปีที่แล้ว ไต้หวันถือเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่สองมากพอสมควรเพราะในเวลาที่เกิดสงครามเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นเข้าปกครองประเทศอยู่ จึงถูกเป็นเป้าหมาย การโจมตีจากฝ่ายสัมพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก. เมื่อสงครามเสร็จสิ้นลง ประเทศจึงอยู่ในสภาพที่บอบช้ำมาก โรงพยาบาลไม่สามารถจ่ายเงินเดือนได้ เครื่องไม้เครื่องมือก็มีสภาพเก่าและชำรุดเสียหาย เครื่องปรับอากาศสำหรับห้องผ่าตัดก็คือการเอาพัดลมมาเปิดผ่านก้อนน้ำแข็งนั่นเอง การซักผ้ายังต้องใช้มือและการหุงอาหาร ก็ต้องใช้เตาถ่าน การขนส่งสินค้ายังต้องใช้เกวียน และการเดินทางยังต้องใช้จักรยานเป็นหลัก. ประชาชนมีฐานะยากจนเป็นส่วนใหญ่ อาชีพหลักคือการเกษตรกรรมและประมง. หลังจากนั้นประมาณสิบปี ประเทศไต้หวันก็เริ่มมีการพัฒนาและลงทุนในภาคอุตสาหกรรมขึ้นอย่างมาก ซึ่งมีส่วนให้ประเทศมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และประชาชนเริ่มมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น. แต่การพัฒนาทางการแพทย์ก็ยังต้องถือว่ายังตามหลังการพัฒนาทางอุตสาหกรรมพอสมควร ความคิดริเริ่มในการก่อสร้างโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานจึงเกิดขึ้นจากนายหวางยังฉิง (Yung-Ching Wang) ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทอุตสาหกรรมพลาสติกรายใหญ่ที่สุดของประเทศไต้หวัน ได้ก่อตั้งโรงพยาบาลฉางกังขึ้น เพื่อระลึกถึงบิดาของเขา โดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีการบริหารจัดการแบบไม่แสวงหาผลกำไรตั้งแต่ปี พ. ศ. 2519 เป็นต้นมา.
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลคนแรกคือนายแพทย์ซามูเอล นอร์ดอฟ (Dr Samuel Noordhoff) ซึ่งเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งจากประเทศสหรัฐอเมริกา. นายแพทย์นอร์ดอฟได้เข้าทำงานและรักษาคนไข้ที่ประเทศไต้หวันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 ในฐานะของศัลยแพทย์มิชชันนารี จึงมีโอกาสได้เห็นปัญหาของระบบสาธารณสุขของประเทศค่อนข้างลึกซึ้ง. ต่อมาได้รับการทาบทามจากนายหวาง จึงได้ร่วมวางกันวางรากฐานโรงพยาบาลฉางกัง ตั้งแต่เริ่มบุกเบิก รวมถึงการพัฒนาหน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่งไปพร้อมกัน. ในขณะนั้นมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ต้องการเข้ารับการรักษา ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยปากแหว่ง เพดานโหว่ ผู้ป่วย มะเร็งศีรษะและลำคอ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยที่ได้รับการบาดเจ็บทางมือซึ่งเป็นผลพวงของความเจริญด้านอุตสาหกรรม ผู้ป่วยที่ได้รับการบาดเจ็บบริเวณใบหน้า รวมถึงผู้ป่วยที่ต้องการผ่าตัดแก้ไขความพิการต่างๆ. ผลจากการวางระบบที่ดี มีการเก็บข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ การประชุมวิชาการเป็นภาษาอังกฤษ การส่งแพทย์ไปศึกษาต่อต่างประเทศ การส่งเสริมให้เขียนผลงานวิชาการเพื่อตีพิมพ์ในวารสารต่างชาติ และการที่คิดค่าตอบแทนตามภาระงานที่ทำและผลงานทางวิชาการ ทำให้คุณภาพของแพทย์และพยาบาลมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว รวมถึงชื่อเสียงของโรงพยาบาลก็ได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วไป โดยในปัจจุบันมีประชาชนเข้ารับการรักษาเกือบ 300,000 คนต่อวันเลยทีเดียว.
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เข้ารับการรักษาที่นี่ ใช้สิทธิของประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนทุกคนอยู่แล้ว และประชาชนก็สามารถเลือกโรงพยาบาลที่จะเข้ารับการรักษาเองได้ ทำให้คนไข้จำนวน มากเลือกที่จะรับการรักษาที่นี่ ซึ่งเป็นประโยชน์กับแพทย์อย่างมากเพราะทำให้เห็นผู้ป่วยที่มีลักษณะที่หลากหลาย และทำให้ทักษะความเชี่ยวชาญของแพทย์มีมากขึ้นตามลำดับ ผลงานทางวิชาการที่นำเสนอก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและได้รับการยอมรับในที่สุด.
สำหรับตัวผมเองได้มีโอกาสได้เยี่ยมชมโรงพยาบาลฉางกังเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2545 ความประทับใจแรกคือความใหญ่โตของโรงพยาบาล. ที่ผมไปคือสาขาหลินโข่ว (Linkou) ซึ่งอยู่ทางเหนือของกรุงไทเปไปประมาณ 20 กม. เท่านั้น สาขานี้ถือว่าใหญ่ที่สุด คือเป็นโรงพยาบาลขนาดเกือบ 4,000 เตียง. ฟังเขาเล่าว่า ในตอนแรกที่สร้างโรงพยาบาลนั้น บริเวณโดยรอบแทบจะไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย มีแต่ป่าไผ่เท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีโรงงานอุตสาหกรรม และเป็นที่ตั้งของฝ่ายวิจัยและพัฒนาของบริษัทคอมพิวเตอร์ชื่อดังของไต้หวันมากมาย ทำให้มีความเจริญคึกคักต่างจากเดิมเป็นอย่างมาก สามารถกล่าวได้ว่าเป็นเพราะการสร้างโรงพยาบาลตรงเขตนี้ที่นำความเจริญเข้ามาให้.
สิ่งที่ประทับใจอีกอย่างคือการจัดระบบรถโดยสารของโรงพยาบาล ซึ่งในโรงพยาบาลจะมีท่ารถของ ตัวเอง และมีจุดหมายปลายทางต่างกัน 4 จุด คือไปที่กรุงไทเป 2 จุด เมืองเถาหยวน (Taoyuan) และจาอี้ (Chiayi) ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 40 กม. โดยเก็บค่าโดยสารในอัตราเดียวกับรถประจำทางอื่นๆ. จุดนี้ทำให้ประชาชนที่ต้องการเดินทางมารักษามีความสะดวกค่อนข้างมาก รวมถึงเป็นระบบสวัสดิการของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่ดี. ผมสังเกตว่าเจ้าหน้าที่ไม่น้อยเลยที่อาศัยรถบัสของโรงพยาบาลในการเดินทางมาทำงาน และผมเชื่อว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ไม่ทำให้เกิดปัญหาจราจรติดขัดในเขตรอบโรงพยาบาลเลย ถือเป็นการวางแผนระยะยาวที่ฉลาดมาก.
อีกอย่างคือระบบอาสาสมัครในโรงพยาบาล ซึ่งอาศัยผู้สูงอายุมาคอยช่วยแนะนำและบอกทิศทางในการเข้ารับการรักษาแก่ผู้ป่วยที่มารับการบริการ. อาสาสมัครแต่ละท่านก็มีสีหน้ายิ้มแย้มและมีความสุขอย่างมาก บางครั้งผมเห็นอาสาสมัครบางคนเป็นผู้พิการด้วยซ้ำ แต่ทุกคนเขามาช่วยด้วยใจจริงโดยไม่มีผลตอบแทนเป็นตัวเงินแต่อย่างใด. ผมคิดว่าเขามีความตระหนักในคุณค่าของผู้สูงอายุเป็นอย่างดีและการที่เปิดโอกาสให้เขาได้มีกิจกรรมทางสังคมก็จะเป็นการให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าและทำให้มีสุขภาพจิตและสุขภาพดีตามกันไปด้วย.
ระบบการเก็บข้อมูลและระบบนัดหมายของโรงพยาบาลก็มีการออกแบบมาอย่างดี. ในห้องตรวจแพทย์ที่แผนกผู้ป่วยนอก จะมีคอมพิวเตอร์ไว้สำหรับแพทย์เพื่อบันทึกข้อมูลการตรวจ ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็ยังคงการบันทึกด้วยมือไว้ด้วยในบางส่วน. นอกจากนี้ยังสามารถเรียกดูผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและผลเอกซเรย์ได้ทันที ซึ่งผมว่าช่วยลดเวลาที่จะต้องให้ผู้ป่วยไปตามผล และลดค่าใช้จ่ายในการที่ ต้องใช้แผ่นฟิล์มในทุกราย รวมถึงการดูประวัติย้อนหลังของผู้ป่วยก็ทำได้ง่าย. การสั่งยาก็ใช้ระบบบาร์โค้ด ทำให้เภสัชกรไม่ต้องเดาว่าหมอจะสั่งอะไร การนัดหมายก็ทำได้เลยจากห้องตรวจทำให้ไม่ต้องมาเสียเวลารอบัตรนัด. นอกจากนี้ในวัฒนธรรมจีนการลงชื่อ ต้องใช้การประทับด้วยหมึกแดงทุกครั้ง ทำให้รู้ว่าใครเป็นคนรักษาอย่างแน่นอน.
สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตจากผู้คนในประเทศที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วคือวัฒนธรรมในการทำงานของเขา. คนในประเทศไต้หวันขยันมาก ร้านค้าจะปิดประมาณ 4 ทุ่มเป็นส่วนใหญ่ และร้านสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมง จะได้รับความนิยมมาก เรียกว่ามีความถี่ของร้าน มากกว่าเรามาก. สำหรับในโรงพยาบาลก็จะคึกคักกันจนถึงประมาณ 3 ทุ่ม เพราะคลินิกพิเศษจะเปิดถึงเวลานี้ รวมถึงห้องสมุดและห้องเก็บแฟ้มประวัติคนไข้ด้วย ซึ่งผมว่ามีส่วนช่วยในการค้นหาข้อมูล และทำการวิจัยอย่างมาก เพราะเราจะมีเวลาดูแฟ้มประวัติอย่างละเอียด โดยไม่ต้องรีบหรือปลีกเวลาทำงานไปทำค้นหาข้อมูล เราสามารถที่จะใช้เวลาหลังเลิกงานมานั่งทำงานวิจัยต่อได้ซึ่งผมรู้สึกชอบมาก.
แพทย์ชาวไต้หวันก็มีความขยันและอึดอย่างเหลือเชื่อ. เพื่อนผมที่มาอบรมด้วยกันจากยุโรป อเมริกา หรือเอเชียด้วยกันอย่างเกาหลี สิงคโปร์ ก็ยังยอมยกนิ้วให้เลยสำหรับความขยัน. แม้ว่าคนไข้ที่เขาลงทุนลงแรงผ่าตัดไปนั้นจะไม่ได้ให้ค่าตอบแทนที่มากมายอะไร เทียบกับการทำศัลยกรรมความงามที่ได้รายได้ต่างกันมาก แต่พวกเขาดูเหมือนจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับความก้าวหน้าของสถาบัน แล้วก็ไม่ค่อยเห็นเขาบ่นว่างานหนักเลย วันไหนผ่าตัดเสร็จ 5 โมงเย็นเสียอีกที่รู้สึกว่าเลิกเร็วไป. อาจเป็นเพราะบรรยากาศการทำงานของเขาที่แต่ละคนต่างก็แข่งกันสร้างผลงาน ทำให้คนที่จะทำงานที่โรงพยาบาลนี้ต้องมีลักษณะที่เรียกว่าบ้างานเลยก็ว่าได้. เพื่อนชาวไต้หวันของผมบอกว่าถ้าใครไม่มีลักษณะ worka holic ก็คงจะอยู่ที่นี่แบบไม่ค่อยเป็นสุขนัก และระบบค่าตอบแทนก็มีส่วนที่ทำให้แพทย์ของเขาอยู่ในระบบได้ รวมถึงความมุ่งมั่นขยันขันแข็งที่เป็นลักษณะประจำตัวของชาวจีนไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก.
สำหรับเวลาหนึ่งปีที่ได้มีโอกาสมาศึกษาต่อที่ไต้หวัน ทำให้ผมได้เปิดหูเปิดตาและได้เรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆ อีกหลายอย่าง. ที่ผมชอบสำหรับชาวเอเชีย คือความเป็นครอบครัว (เท่าที่ผมได้รู้จักกับเพื่อนแพทย์ชาวเอเชียด้วยกันทำให้ได้รู้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่ก็อาศัยอยู่กับพ่อแม่ หรือถ้ามีครอบครัวแล้วก็อาจจะอาศัยอยู่ใกล้เคียงกับบ้านเดิม) และความมีน้ำใจ (ชาวไต้หวันค่อนข้างที่จะโอบอ้อมอารีไม่แพ้คนไทย). เขาจะคอยถามปัญหาความเป็นอยู่และการปรับตัวตลอด แล้วก็พาไปทานอาหารร่วมกันค่อนข้างสม่ำเสมอ และให้เกียรติแพทย์จากทุกประเทศที่มาเยี่ยมชมโรงพยาบาลของเขา ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ผมประทับใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะผมได้ยินการตัดพ้อจากเพื่อนหลายคนที่ได้มีโอกาสไปดูงานที่อื่นว่าในหลายแห่งจะไม่สนใจแพทย์ที่มาจากเอเชียเลย. ผมก็ถือว่าโชคดีมากที่ไม่ต้องเจอเหตุการณ์แบบนั้นกับตัวเอง. หลังจากผมกลับมาแล้วก็เป็นที่น่าดีใจว่ามีหมอรุ่นน้อง อีกหลายคนเลยที่สนใจจะไปดูงานซึ่งผมก็มีความยินดีที่จะให้ข้อมูลและก็สนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะได้นำสิ่งที่ได้เห็น ได้เรียนรู้ กลับมาร่วมกันพัฒนาวงการแพทย์ของเราให้เจริญยิ่งขึ้น.
สุรเวช น้ำหอม พ.บ.
หน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่ง
ภาควิชาศัลยศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล