โรคติดต่อที่ยังคุกคามประเทศไทยอีกโรคที่สำคัญคือไข้จับสั่นหรือมาลาเรีย เรื่องราวของโรคนี้เป็นมาเป็นไปอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟัง.
โรคนี้พบมานานหลายพันปีแล้ว ชาวโรมันในอดีตก็เคยเป็นเหยื่อของมัน ส่วนใหญ่จะพบในพื้นที่อากาศร้อนชื้นทำให้เข้าใจกันว่าเกิดจากอากาศเสียจึงเรียกโรคนี้ว่า Malaria มาจากภาษาอิตาลี คือ Mal ที่แปลว่าเสีย กับ aria ที่แปลว่าอากาศ ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ที่เสียชีวิตจากโรคนี้ประมาณ 1 ล้านคนต่อปี.
ทราบกันดีว่าชาวอินเดียนแดงและเปรูใช้เปลือกต้น Cinchona ในการรักษาโรคนี้. ค.ศ. 1639 มิชชันนารีที่เดินทางไปเผยแผ่ศาสนาก็นำมันกลับมาที่ยุโรปด้วย. ค.ศ. 1820 Pierre Joseph Pelletier และ Joseph Bienaime Caventou สองนักเคมีชาวฝรั่งเศสก็สกัดสารออกฤทธิ์ของมันได้เรียกว่า Quinine หลังการค้นพบนี้มันก็กลายเป็นยาที่ทั่วโลกต้องการ.
แต่ก็ไม่มีใครทราบสาเหตุของโรคนี้ จนกระทั่ง ค.ศ. 1879 เมื่อ Charles Louis Alphonse Laveren (1845-1922) แพทย์ชาวฝรั่งเศสนำเลือดจากผู้ป่วยมาตรวจโดยดูผ่านกล้องจุลทรรศน์ เขาพบว่ามี parasite ปนอยู่ (ปัจจุบันการตรวจหาเชื้อมาลาเรียทำโดยนำเลือดผู้ป่วยมาย้อมสีให้เห็นเชื้อได้ชัดขึ้นก็ยังดูยาก แต่ Lavaren ดูโดยไม่ได้ย้อมสีใดๆ เลยยังเห็นเชื้อ ต้องยอมรับว่าเก่งจริงๆ). ต่อมา ค.ศ. 1882 เขาย้ายไปศึกษาโรคมาลาเรียที่อิตาลีก็พบเชื้อนี้อีก จึงสรุปว่าโรคนี้เกิดจาก parasite (เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี ค.ศ. 1907).
แล้วเชื้อมันมาจากไหน? เป็นคำถามที่ทุกคนสนใจ Ronald Ross (1857-1932) แพทย์ชาวอังกฤษทำการศึกษาโรคมาลาเรียในสัตว์ปีก (Avian malaria) พบว่ายุงเป็นพาหะของโรคนี้. ต่อมา Giovanni Battista Grassi (1854-1925) นักชีววิทยาชาวอิตาลีก็พบว่ายุงก้นปล่อง Anopheles เป็นพาหะของโรคนี้ในคน (แต่ด้วยเหตุผลทางการเมืองทำให้ Ross เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปีค.ศ. 1902).
ปัจจุบันทราบแล้วว่าเชื้อมาลาเรียอยู่ในสกุล Plasmodium โดยมีอยู่ 4 ชนิดคือ P. falciparum, P. vivax, P. ovale และ P. malariae เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายมันจะไปอยู่ที่ตับเพื่อเพิ่มจำนวน 12 วันต่อมาพวกมันก็จะเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อไปโจมตีเม็ดเลือดแดงของเรา เมื่อยุงก้นปล่องกัดผู้ป่วยก็จะนำเชื้อไปสู่คนอื่นต่อไป ถ้าถามว่าตัวไหนร้ายกาจที่สุดก็ต้องตอบว่า P. falciparum เพราะปกติเม็ดเลือดแดงจะมีผิวเรียบทำให้ผ่านหลอดเลือดขนาดเล็กในสมองได้ แต่เมื่อติดเชื้อนี้ผิวของเม็ดเลือดแดงจะกลายเป็นรูปหนามจึงมีโอกาสติดอยู่ในหลอดเลือดขนาดเล็กของสมองได้ ที่เรียกว่ามาลาเรียขึ้นสมองนั่นเอง ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นเชื้อที่ถูกศึกษามากกว่าเพื่อน.
มาพูดเรื่องการรักษาบ้าง ค.ศ. 1939 Andersag, Breitner และ Jung ก็สังเคราะห์สาร Resochin เพื่อใช้เป็นยารักษามาลาเรีย (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Chloroquine). แต่ต่อมาก็มีรายงานการดื้อยานี้เกิดขึ้น (ประเทศไทยมีอัตราการดื้อยาเป็นอันดับต้นๆ ของโลก) ทำให้ต้องพัฒนายาตัวใหม่ๆ ออกมาเช่น primaquine และ mefloquine เป็นต้น.
จากภูมิปัญญาท้องถิ่นชาวจีนมีการใช้สมุนไพรชิงเฮา (Qinghao) ในการรักษามาลาเรียซึ่งได้ผลดี (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของชิงเฮาคือ Artemisia annua L.). ค.ศ.1971 ทีมนักวิทยาศาสตร์จีนก็สกัด สารออกฤทธิ์ของมันได้สำเร็จและตั้งชื่อว่า artemisinine (ทำให้ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลสาขาการแพทย์ในปี ค.ศ. 2003).
ค.ศ. 1976 William Trager แพทย์ชาวอเมริกันสามารถหาวิธีเลี้ยงเชื้อมาลาเรียในหลอดทดลองได้สำเร็จ ทำให้การวิจัยและพัฒนาวัคซีนก้าวหน้าขึ้นมาก จึงได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลสาขาการแพทย์ในปี ค.ศ. 1994.
การป้องกันโรคยังคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด วัคซีน Spf66 เป็นความหวังในตอนแรกเพราะมันผ่าน phase II ไปได้ด้วยดี แต่ต้องผิดหวังเมื่อผลการทดลอง phase III ในประเทศไทยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Lancet ค.ศ. 1996 พบว่าไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค.
ต่อมาเริ่มมีรายงานการดื้อยา artemisinine จึงต้องพัฒนายาตัวใหม่มาเพิ่มเติม. Atovaquone ก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่ผลการวิจัยได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่เมื่อค.ศ. 1999 ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลนำโดยศาสตราจารย์ นายแพทย์ศรชัย หลูอารีย์สุวรรณ คณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดลทดลองให้ยา Atovaquone ร่วมกับยา Proguanil hydrochloride พบว่าผู้ป่วยมีอัตราการหายเกือบ 100% ทำให้ได้รับรางวัล Khwarizmi Award ในปี ค.ศ. 2001 (รางวัลนานาชาตินี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Abu Jafar Mohammad ibn Mousa Khwarizmi นักคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ชาวอิหร่าน).
รู้จัก P. falciparum มานาน M. J. Gardner และคณะวิจัยชาวอเมริกันพึ่งถอดรหัสพันธุกรรมทั้งหมดได้สำเร็จ โดยตีพิมพ์ในวารสาร Nature เดือนตุลาคม ค.ศ. 2002.
ล่าสุด WARIR ร่วมกับ Glaxo SmithKline พัฒนาวัคซีนตัวใหม่ชื่อ FMP-1 ซึ่งทดลองผ่าน phase I ไปแล้วและ 11 ตุลาคม ค.ศ. 2003 ก็เริ่มทดลอง phase II แล้วในแอฟริกา คงต้องรอลุ้นผลการวิจัยอีกสักระยะ.
ฟังแล้วดูเหมือนว่าวัคซีนมาลาเรียก้าวหน้าไปไกล แต่ที่จริงมันพัฒนาไปช้ากว่าที่ควร เนื่องจากการวิจัยต้องใช้เงินมากแต่โรคนี้พบในประเทศที่ยากจนเสียเป็นส่วนใหญ่ ประเทศพัฒนาแล้วจึงไม่ค่อยสนับสนุนทุนวิจัยมากนัก (เทียบกับทุนวิจัยวัคซีนเอดส์ไม่ได้เลย) คนไทยก็มีความสามารถไม่แพ้ต่างชาติแต่รัฐบาลไม่ค่อยให้ทุนในการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) แล้วเมื่อไหร่เราจะก้าวทันเขา.
"ถ้าคุณอยากเข้าใจสิ่งต่างๆ ในวันนี้ คุณต้องค้นหาอดีตของมัน"
Pearl Buck กล่าวไว้ว่า "ถ้าคุณอยากเข้าใจสิ่งต่างๆ ในวันนี้ คุณต้องค้นหาอดีตของมัน" ประวัติศาสตร์มีเพียงหนึ่งเดียว แต่บันทึกทางประวัติศาสตร์นั้นมีเยอะ บางอย่างก็ไม่ตรงกัน ความพยายามรวบรวมจากหลายแหล่ง เพื่อหาข้อสรุปช่วยให้เราเข้าใกล้ "หนึ่งเดียว" นั้นมากขึ้น
ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์ พ.บ.
โรงพยาบาลบ้านแหลม, จังหวัดเพชรบุรี
E-mail : [email protected]