มองจากมุมของระบบการแพทย์ยุคใหม่ ยิ่งได้ปฏิบัติงานในสถานพยาบาลขนาดใหญ่ ยิ่งสะท้อนขีดความสามารถ การได้รับการยอมรับถึง "ฝีมือ" ของแพทย์คนนั้น
แต่สำหรับ นพ.วศิน โพธิพฤกษ์ กลับมีมุมมองในทางกลับกัน
ลึงลงไปในใจของคุณหมอหนุ่มคนนี้ การเลื่อนระดับความรับผิดชอบในเชิงปริมาณ ซึ่งเริ่มต้นจากโรงพยาบาลขนาด 10 เตียง เป็นขนาด 30, 60 และ 90 เตียง ในช่วงชีวิตการทำงาน 15 ปีที่ผ่านมาตามลำดับประสบการณ์การทำงานที่สั่งสมเพิ่มพูน กลับยิ่งทำให้คุณหมอมีโอกาสสัมผัสความสุขจากการทำงานลดน้อยลงเรื่อยๆ
การได้ย้อนกลับไปทำงานใกล้ชิดคลุกคลีกับประชาชนที่ทุกข์ยากถึงในชุมชน ซึ่งบางคนมองเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อย อยากหลีกลี้ให้ ห่างไกลต่างหาก ที่กลับกลายเป็น "ที่หมาย" ที่จะช่วยคืนคุณค่าของการทำหน้าที่หมอ
แล้วเส้นทาง "เติบโต" แห่งชีวิตการทำงานในแบบฉบับของ นพ.วศิน ก็เกิดเป็นจริง เมื่อโรงพยาบาลทัพทัน จ.อุทัยธานี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาด 90 เตียง ที่คุณหมอสังกัดอยู่ เปิดรับสมัครแพทย์ไปประจำที่ศูนย์แพทย์ชุมชนตลุกดู่ ซึ่งเป็นสถานบริการสุขภาพในเครือข่ายของโรงพยาบาลทัพทัน หลังจากที่ศูนย์สุขภาพชุมชนตลุกดู่ปรับสถานะเป็นศูนย์แพทย์ชุมชน (CMU) ตลุกดู่ ในฐานะหนึ่งในพื้นที่นำร่องการจัดตั้งศูนย์แพทย์ชุมชนที่สนับสนุนโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในช่วงปลายปี 2549
ศูนย์แพทย์ชุมชนตลุกดู่ อยู่ห่างออกไปจากโรงพยาบาลทัพทัน 14 กิโลเมตร หรือใช้เวลาเดินทางราว 20 นาที มีขอบเขตรับผิดชอบ 19 หมู่บ้าน ประชากรที่ดูแลทั้งในส่วนของประชากรในพื้นที่รับผิดชอบและประชากรเครือข่ายรวมเกือบ 8.5 พันคน
นพ.วศิน แบ่งเวลาออกมาปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์การแพทย์ตลุกดู่เดือนละ 2 สัปดาห์ ส่วนอีก 2 สัปดาห์เป็นช่วงของ นพ.กมลชัย อมรเทพรักษ์ แพทย์จากโรงพยาบาลเดียวกันอีกท่านหนึ่ง ซึ่งรักการ ทำงานแบบใกล้ชิดชุมชนเหมือนกัน
ภารกิจการเป็นแพทย์ที่ศูนย์แพทย์ชุมชนตลุกดู่นั้น แตกต่างจากการทำงานในโรงพยาบาลชุมชนอย่างมาก แน่นอนว่างานหลักยังคงเป็นเรื่องของการตรวจรักษา แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ การได้ทำหน้าที่ "หมอของชุมชน" ยิ่งกว่าที่ผ่านมา โดยมีโอกาสได้ดูแลผู้ป่วยในพื้นที่ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ แต่ละรายอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีเวลาพูดคุยสื่อสารกับผู้ป่วยและญาติอย่างใกล้ชิดกว่าที่ผ่านมา
"ผมทำงานเป็นข้าราชการมานานกว่า 16 ปี งานส่วนใหญ่อยู่ที่โรงพยาบาล ความจริงแล้วผมอยากใช้ชีวิตอยู่โรงพยาบาลเล็กๆ ขนาด 3-4 เตียงเพื่อดูแลผู้ป่วยได้ใกล้ชิดต่อเนื่อง เมื่อเกินความสามารถก็ส่งต่อ แต่ยิ่งทำงานไป โรงพยาบาลก็ยิ่งเติบโต ขยายขึ้นเรื่อยๆ ผมทำงานมานานพอสมควร ก็เห็นสมควรว่าน่าจะหยุด และมองหาวิธีว่าทำอย่างไรจึงเกิดชุมชนที่มีความสุข ประชาชนมีสุขภาพดีขึ้นมา แต่มันก็เป็นเหมือนความฝัน ทำได้ยากในสภาพปัจจุบัน ตัวผมเองก็ไม่มีประสบการณ์การทำงานอย่างจริงจังกับชุมชนเท่ากับหมออนามัย เลยคิดว่าอยากมาทำงานตรงนี้ ทำเท่าที่จะทำได้" คุณหมอวศินเปิดอกเล่าถึงความในใจ
งานอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้มีโอกาสได้ขยายภารกิจการทำหน้าที่แพทย์กว้างออกไปจากเดิมอย่างมากก็คือการ "เยี่ยมบ้าน" ที่คุณหมอแบ่งเวลาในช่วงบ่ายของวันจันทร์-ศุกร์ ออกไปเยี่ยมติดตามอาการผู้ป่วยที่มาพบแพทย์เองลำบาก หรือต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่อง เช่น ผู้ป่วยจิตเวช มะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย เด็กที่เป็นโรคลิ้นหัวใจพิการ ฯลฯ ถึงที่บ้านพร้อมกับทีมงานของศูนย์แพทย์ฯ ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่มาก่อน ซึ่งทำให้งานนี้เดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น
คุณหมอบอกว่างานส่วนนี้คือส่วนสำคัญที่ช่วย "เติมเต็ม" ให้ความใฝ่ฝันที่จะทำหน้าที่หมอผู้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ อีกทั้งยังทำให้ได้เรียนรู้ชีวิตผู้ป่วยอย่างเป็นองค์รวม และเข้าใจศาสตร์ของวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวได้ลึกซึ้งมากกว่าการอ่านจากตำราอย่างไม่อาจเทียบกันได้
คุณหมอออกตัวว่าที่ผ่านมายังมีโอกาสทำงาน เป็น "หมอครอบครัว" เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ยังเข้าถึงประชาชนในขอบเขตจำกัด และสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ไม่มากนัก แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็ทำให้ได้สัมผัสและค้นพบถึงความสุขอันลึกซึ้งจากการได้ทำงานอย่างมีคุณภาพสมกับที่ตั้งใจเมื่อครั้งเลือกเดินบทเส้นทางสายนี้
ดูแลผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย
เยี่ยมผู้ป่วยโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังหลังจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล
ออกติดตามเยี่ยมผู้ป่วยเรื้อรังในชุมชน
และแน่นอนที่สุดว่า การเลือกก้าวออกจากห้องตรวจ เบิ้นมอเตอร์ไซค์ฝ่าเปลวแดดมุ่งสู่บ้านเรือนของผู้ที่ป่วยไข้ด้วยความกระตือรือร้นของคุณหมอ ได้สร้างความสุขให้แก่ชาวบ้านทัพทันและพื้นที่ในละแวกอย่างยากจะบรรยาย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่คือการเยียวยาชั้นเลิศเท่าที่แพทย์คนหนึ่งจะมอบให้แก่ผู้ป่วย ซึ่งไม่ว่าจะใช้เงินทองมากมายมหาศาลเพียงไรก็ไม่อาจซื้อหาได้...