เมื่อเดือนที่แล้วผมเป็นวิทยากรไปอภิปรายเรื่องปัญหาที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพแพทย์ จัดโดยคณะอนุกรรมการด้านสุขภาพอนามัย และผู้สูงอายุผู้พิการ ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้อภิปรายซึ่งเป็นรองคณบดีคณะแพทย์ใหญ่แห่งหนึ่งได้ให้ข้อมูล (ที่ทำให้หลายๆคน รวมทั้งผมด้วย ไม่สบายใจอย่างยิ่ง) ว่าปีนี้มีผู้สละสิทธิการเข้าเรียนแพทย์หลังจากสอบคัดเลือกได้แล้วถึงร้อยละ 25 (ค่าเฉลี่ยของทุกโรงเรียนแพทย์) ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าวิตกมาก เพราะในอดีตเมื่อหลายสิบปีมาแล้วนักเรียนสายวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อติดบอร์ด (หมายถึงผู้ที่สอบ ม.8 หรือ ม.ศ.5 ซึ่งในอดีตใช้ข้อสอบร่วมกันและสอบพร้อมกันทั้งประเทศ และประกาศผลเรียงลำดับคะแนนลำดับที่ 1-50) ส่วนใหญ่เลือกที่จะสอบเข้าเรียนแพทย์ทั้งนั้น
แต่ในปัจจุบันสิ่งเหล่านี้กำลังจะกลายเป็นอดีตไปแล้ว. ผมในฐานะครูแพทย์คนหนึ่งมีความห่วงใยในเรื่องนี้มาก ทุกคนก็ทราบดีว่าการเรียนแพทย์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ต้องใช้ทั้งความคิดและความจำ มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่สอบผ่านการแข่งขันเข้ามาได้แต่ไม่สามารถเรียนได้จนจบ ในรุ่นผมมีเพื่อน 3 คนที่ใช้เวลาเรียนถึง 10 ปีแล้วต้องถูกรีไทร์ออกไปอย่างน่าเสียดาย.
วันนี้ (9 สิงหาคม 2550) ผมได้ไปอภิปรายในการประชุมวิชาการของโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง ผู้ที่เข้าประชุมวิชาการหลายท่านได้คุยกับผมเกี่ยวกับปัญหาในสังคมปัจจุบันที่ได้รุมเร้าและเกิดผลกระทบในทางลบต่อวิชาชีพแพทย์ และยังได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องสื่อ เนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีรายการโทรทัศน์ หลายรายการที่นำเรื่องที่ผู้ป่วยได้รับผลอันไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาลมาออกอากาศ โดยการนำเสนอข้อมูลรายละเอียดจากผู้ป่วยเพียงด้านเดียว ไม่ให้โอกาสผู้ชมได้รับฟังจากแพทย์ผู้ทำการรักษาหรือแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆและเป็นกลางเลย.
นอกจากนั้นในรายการหนึ่งยังมีวิทยากรที่เป็นนักกฎหมายได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์แพทย์และบุคลากรของโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งว่ามีการกระทำ ในลักษณะที่เรียกว่า "ซ่องโจร" (แพทย์สภาได้ทำการประท้วงไปยังสถานีโทรทัศน์ช่องนั้นและขอให้ดำเนินการแก้ไขโดยด่วนแล้ว) เรื่องนี้เกี่ยวพันกับคดีที่ผู้ป่วยได้ฟ้องร้องโรงพยาบาลเรียกค่าเสียหายต่อศาลแพ่ง และศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้ว (คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์) ซึ่งผู้เข้าฟังการอภิปรายท่านหนึ่งบอกกับผมว่า ลูกสาวได้เปลี่ยนใจเลิกคิดเรียนแพทย์แล้วหลังจากได้ดูรายการนี้.
ขณะนี้การนำเรื่องราวของผู้ป่วยที่เกิดภาวะอันไม่พึงประสงค์จากการรักษามาออกรายการตามสื่อโทรทัศน์ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่แล้วพิธีกรในรายการรวมทั้งวิทยากรที่มีชื่อเสียงหลายๆท่านได้มีการพูดวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะปลุกเร้าอารมณ์ของผู้ชมในทางที่ให้เกิดความเสียหายแก่วิชาชีพแพทย์ และโรงพยาบาลต่างๆเพื่อให้เกิดความอยากติดตาม โดยไม่ได้มีการรับฟังข้อมูลจากผู้ที่ถูกกล่าวหา หรือให้ผู้ที่มีความรู้และเป็นกลางมาให้ข้อมูลแก่ผู้ชมอย่างเพียงพอ.
บางท่านมีการพูดยุยงให้ฟ้องแพทย์เป็นคดีอาญา การนำเสนอในลักษณะอย่างนี้จะทำให้ปัญหาการฟ้องร้องแพทย์มีความรุนแรงและมีผลกระทบต่อวิชาชีพมากขึ้น มีแพทย์จำนวนไม่น้อยหนีไปประกอบอาชีพอื่น รวมทั้งมีนักศึกษาแพทย์ที่ลาออกระหว่างการเรียนเนื่องจากกลัวปัญหาการฟ้องร้องที่มีขึ้นอย่างต่อเนื่อง. สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นปัญหาที่จะต้องรีบแก้ไขก่อนที่จะเกิดความรุนแรงมากขึ้นจนเป็นวงจรที่แก้ไขไม่ได้ ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข ทั้งประเทศและจะสร้างความเสียหายต่อชีวิตและสุขภาพของพี่น้องประชาชนอย่างแน่นอน เพราะหากทำให้แพทย์ส่วนใหญ่เกิดความตื่นตระหนกและหวาดกลัวการฟ้องร้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีอาญา (ซึ่งมีแพทย์ถูกคุมขังระหว่างการประกันตัวมาแล้ว) จะทำให้แพทย์จำเป็นต้องลดความเสี่ยงของตนเองลงโดยการประกอบวิชาชีพด้วยวิธีป้องกันตนเอง โดยการส่งตรวจพิเศษต่างๆให้มากที่สุดไว้ก่อน เช่น ผู้ป่วยมาด้วยอาการ ปวดศีรษะ ปวดหลัง มาครั้งแรกก็อาจส่งตรวจ CT, MRI เป็นต้น และอาจกลัวการถูกฟ้องร้องในคดีอาญา จนกระทั่งไม่กล้าตัดสินใจผ่าตัดผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงในโรงพยาบาล อำเภอ ซึ่งการส่งต่ออาจทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสใน การรักษาไปจนถึงเสียชีวิตก็ได้ ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องป้องกันอย่างเร่งด่วน.
ผมและทีมงานได้ร่างกฎหมายที่จะนำมาแก้ไขปัญหาที่คาใจเพื่อนแพทย์ในเรื่องการถูกฟ้องร้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีอาญา โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการในระยะท้าย (พวกเราจะพยายามฟัน ฝ่าอุปสรรคต่างๆ ทั้งในขั้นตอน และกระบวนการซึ่งมีอยู่มากมายรวมทั้งแรงต่อต้านจากฝ่ายต่างๆ) ทั้งนี้เพื่อให้เพื่อนแพทย์ประกอบวิชาชีพได้ด้วยความมั่นใจในการดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างเต็มที่ตามหลักวิชาการและดำรงไว้ซึ่งจริยธรรมตามคำสอนของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร์อดุลยเดชวิกรมพระบรม
ราชชนก.
อำนาจ กุสลานันท์ พ.บ. น.บ., น.บ.ท.,
ว.ว. (นิติเวชศาสตร์)
ศาสตราจารย์คลินิก
เลขาธิการแพทยสภา