ผลที่มีต่อผู้ป่วยและผู้ที่เกี่ยวข้อง
คำประกาศ " ข้อเท็จจริงทางการแพทย์ " ดังกล่าวข้างต้นมีผลต่อผู้ป่วย ญาติของผู้ป่วยและผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นข้อ 2, 3, 4, 5 และอื่นๆ เพราะข้อเหล่านี้สามารถที่จะใช้อ้างอิงกรณีที่เกิดผลบางอย่างตามมาได้ และสิ่งที่มีอยู่ดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงทางการแพทย์จริงซึ่งผู้ป่วยหรือผู้ที่เกี่ยวข้องอาจยังไม่เคยทราบหรือไม่เคยเข้าใจมาก่อน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะทำให้เป็นคำประกาศ " ข้อเท็จจริงทางการแพทย์ " นั้นยังเป็นเพียงแนวคิดเท่านั้นจะต้องผ่านการพิจารณาและความเห็นชอบจากผู้ที่มีอำนาจและหน้าที่ ในการดำเนินการต่อไป.
มุมมองของแพทยสภาในเรื่องข้อเท็จจริงทางการแพทย์ในขณะนี้
แพทยสภาซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพทางด้านสาธารณสุของค์กรหนึ่งได้มีแนวคิดในเรื่อง " ข้อเท็จจริงทางการแพทย์ "ไว้อย่างถูกต้องตามแนวทางวิทยาศาสตร์โดยแท้ดังตัวอย่างกรณีที่เกิดขึ้นดังนี้
อุทาหรณ์ : กรณีเรื่องร้องเรียนต่อแพทยสภา (จ28:8/48:50)
" สำนักงานเลขาธิการแพทยสภาได้รับเรื่องร้องเรียนจากนาย ก. กล่าวหานายแพทย์ ย. กรณีเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2545 ผู้ร้องโดนแก้วบาดมือได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล บค. โดยมีนายแพทย์ ย. เป็นแพทย์ผู้รับผิดชอบในการรักษา หลังจากได้ทำการเย็บแผลแล้ว แขนขวามีอาการบวมและไม่สามารถงอนิ้วนางได้ โดยทางโรงพยาบาลไม่ได้แสดงความรับผิดชอบ จึงขอให้แพทยสภาตรวจสอบ
เลขาธิการแพทยสภาได้ส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการจริยธรรมฯ ชุดที่ X ดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริง
คณะอนุกรรมการจริยธรรมฯ ชุดที่ X พิจารณาข้อร้องเรียนประกอบกับเวชระเบียนบันทึกการรักษาของผู้ป่วย คำชี้แจงข้อเท็จจริงของแพทย์ ความเห็นจากราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย และคำให้การของนาย ก. (ผู้ร้องเรียน) ที่ได้มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม จากเอกสารข้อมูลที่รวบรวมได้ทั้งหมดคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากแก้วบาดที่บริเวณหลังมือขวาและซอกนิ้วระหว่างนิ้วกลางและนิ้วนางโดยแพทย์ได้ให้การรักษาบาดแผลของผู้ป่วยตามขั้นตอนและวิธีการอย่างเหมาะสม แต่การเย็บแผลในบาดแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุนั้นมีโอกาสติดเชื้อได้ ซึ่งเมื่อเกิดการติดเชื้อแล้ว ผลจากการติดเชื้ออาจไปทำลายเนื้อเยื่อต่างๆ เช่น เส้นเอ็น ข้อเยื่อบุกระดูก ซึ่งอาจจะเป็นผลทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถงอนิ้วได้ ดังนั้นการรักษาผู้ป่วยรายนี้ของแพทย์ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ยอมรับได้ จึงเห็นว่าเป็นกรณีไม่มีมูล
คณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณาแล้วมีความเห็นพ้องกับคณะอนุกรรมการจริยธรรมฯ ชุดที่ X ว่า เป็นกรณี " คดีไม่มีมูล "
จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นที่ประชุมพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า การให้การดูแลรักษาของนายแพทย์ ย. เหมาะสมตามเกณฑ์มาตรฐานของการประกอบวิชา ชีพเวชกรรม ตามข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2526 หมวด 3 ข้อ 1 " ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องรักษามาตรฐานของการประกอบวิชาชีพเวชกรรมในระดับดีที่สุด......."
มติคณะกรรมการแพทยสภา
คดีไม่มีมูล ยกข้อกล่าวหา นายแพทย์ ย. กรณีมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรม "
วิเคราะห์
1. เวชระเบียนมีความสำคัญยิ่งในการพิสูจน์ " แนวทางหรือการดำเนินการทางการแพทย์ " ที่แพทย์ให้การดำเนินการในขณะที่แพทย์ประกอบวิชาชีพ เวชกรรมต่อการร้องเรียนนั้นๆ.
2. ความเห็นจากราชวิทยาลัยหรือวิทยาลัยภายใต้องค์กรวิชาชีพ (แพทยสภา) ย่อมต้องใช้เวชระเบียนในการพิจารณาเช่นเดียวกัน.
3. การที่แพทยสภา " ยกข้อกล่าวโทษเพราะเห็นว่าเป็นกรณีไม่มีมูล " นี้นับว่ามีความสำคัญยิ่งเพราะหมายความว่า
ก. แพทยสภายอมรับว่าการติดเชื้อเป็นผลธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นได้ในทางการแพทย์ โดยเฉพาะบาดแผลจากอุบัติเหตุที่อาจถือได้ว่าเป็นบาดแผลที่ไม่สะอาดและมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย.
ข. แพทยสภาถือว่ากรณีผลธรรมดาที่เกิดขึ้นได้นั้นเป็นเรื่อง " ปกติ " ในทางการแพทย์ที่อาจเกิดได้ มิใช่สิ่งที่ผิดปกติแต่อย่างใด จึงทำให้กรณีอุทาหรณ์ดังกล่าวถือว่าเป็น" คดีที่ไม่มีมูล" นั่นเอง.
ค. ผลธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นได้นี้คือ " ข้อเท็จจริงทางการแพทย์ " นั่นเอง.
4. ผลธรรมดาอันอาจเกิดขึ้นได้ที่แพทยสภาเข้าใจนี้นับว่าเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์อย่างยิ่ง เนื่องจากผลธรรมดาดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับมาตรา 63 แห่งประมวลกฎหมายอาญาได้.
มาตรา 63
" ถ้าผลของการกระทำความผิดใดทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น ผลของการกระทำความผิดนั้นต้องเป็นผลตามธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้ "
นั่นหมายความว่า ถ้าแพทยสภามองว่าผลธรรมดาที่เกิดขึ้นได้นั้น ต้องถือว่าเป็นความผิดของแพทย์ เช่น ความประมาทของแพทย์แล้ว อาจส่งผลให้แพทย์อาจมีความผิดในเรื่องการกระทำอันเป็นการประมาทเป็นเหตุให้เกิดอันตรายสาหัส ตามมาตรา 300 แห่งประมวลกฎหมายอาญาได้.
มาตรา 300
" ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ"
หมายเหตุ : ขณะนี้เรื่องข้อเท็จริงทางการแพทย์แพทยสภาได้พิจารณาเสร็จเรียบร้อยแล้วและผ่านการพิจารณาของที่ปรึกษากฎหมายของแพทยสภาเรียบร้อยแล้ว กำลังอยู่ในขั้นตอนพิจารณากลั่นกรอง คำที่ใช้เท่านั้น ซึ่งคาดว่า " คำประกาศข้อเท็จจริงทางการแพทย์ " จะประกาศใช้ในเร็ววันนี้ซึ่งจะทำให้แพทย์ (ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม) มีหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการอ้างอิงขึ้นได้บ้าง.
สรุป
ข้อเท็จจริงทางการแพทย์จะเป็นข้อเท็จจริงหรือคำอธิบายที่ทำให้สังคมได้เข้าใจถึงกระบวนการและการดำเนินการทางการแพทย์ได้มากขึ้น โดยเฉพาะการเกิดสภาวะอันไม่พึงประสงค์ในทางการแพทย์ที่อาจมีขึ้นได้ ทั้งนี้เพื่อให้สังคมได้ทราบล่วงหน้าและอย่างน้อยย่อมทำให้ทราบว่าในการดำเนินการทางการแพทย์นั้นอาจเกิดสภาวะอันไม่พึงประสงค์จนถึงเสียชีวิตได้. อย่างไรก็ตาม ประการใดที่จะเป็นข้อเท็จจริงทางการแพทย์หรือเป็นความประมาทของแพทย์ (ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม) องค์กรวิชาชีพคือ " แพทยสภา " เท่านั้นจะเป็นผู้ที่พิจารณาและทราบดีที่สุด เพราะมีความรู้และเข้าใจในทางการแพทย์ได้ดีที่สุด. การมีข้อเท็จจริงทางการแพทย์จึงมิได้หมายความว่าการเกิดสภาวะอันไม่พึงประสงค์ทุกครั้งจะต้องถือว่า เป็นข้อเท็จจริงทางการแพทย์ทั้งหมด แต่จะต้องพิจารณาเป็นการเฉพาะรายในปัญหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นร่วมกับพยานหลักฐานในทางการแพทย์นั่นเอง.
ผู้นิพนธ์
วิสูตร ฟองศิริไพบูลย์ พ.บ., วท.ม., ว.ว. (นิติเวชศาสตร์) รองศาสตราจารย์, ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และกรรมการแพทยสภา
สมบูรณ์ ธรรมเถกิงกิจ พ.บ., น.บ., อ.ว. (นิติเวชศาสตร์)รองศาสตราจารย์, ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
วีรพัฒน์ สุวรรณธรรมา พ.บ. ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาล รามาธิบดี, มหาวิทยาลัยมหิดล