Michael E. Porter และ Elizabeth Olmsted Teisberg ร่วมกันแต่งหนังสือ ชื่อ Redefining Health Care : Creating Value-Based Competition on Results. ในหนังสือนี้ Porter และ Teisberg วินิจฉัยว่า ระบบบริการสุขภาพของประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งแพง และด้อยคุณภาพ เพราะเป็นระบบส่งเสริมคนที่เก่งในการผลักภาระค่าใช้จ่ายให้คนอื่น และลดทอนปริมาณการบริการ. ทั้ง 2 จึงเสนอว่า ระบบบริการสุขภาพควรมุ่งแข่งขันสร้างมูลค่าบริการ ให้แก่ผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวชี้วัดความสำเร็จควรเป็น patient outcome per dollar.
เป้าหมายของการแข่งขันใหม่นี้ มุ่งหมายแทนที่ สิ่งเป็นอยู่ในระบบฯ ของสหรัฐอเมริกาปัจจุบันคือ การแข่งขันระหว่างโรงพยาบาลด้วยกัน ระหว่างวิชาชีพ หรือสาขาวิชา ซึ่งไม่ได้ยึดประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นที่ตั้ง.
Porter และ Teisberg ยกตัวอย่าง Fairview-University Children ' s Hospital (Minnesota)เป็นโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือทันสมัยที่สุดและทีมงานเก่งที่สุดในการให้บริการผู้ป่วย cystic fibrosis จนสามารถยืดอายุผู้ป่วย โดยค่ามัธยฐานระดับประเทศจาก 32 ปี เป็น 46 ปี. ความสำเร็จของโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นผลจากความพยายามอย่างแน่วแน่ยาวนานในการบูรณาการหน่วยบริการต่างๆ ให้ทำงานอย่างเป็นเอกภาพในการตอบสนองความต้องการบริการการแพทย์ในหลายด้านของผู้ป่วยกลุ่มนี้. คงมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกที่บทคัดย่อจากหนังสือเล่มดังกล่าวไม่ได้ พูดถึงในกรณีความสำเร็จของโรงพยาบาลนี้ แต่ได้มีข้อสรุปแนวทาง 8 ประการที่หนังสือนี้เสนอเพื่อให้เกิดการแข่งขันที่กล่าวถึง เช่น
1. ไม่พยายามให้บริการทุกประเภทหรือตามอย่างโรงพยาบาลอื่นโดยไม่คำนึงถึงจุดเด่นของตนเอง.
2. กล้าถามว่า มีบริการอะไรที่ควรเลิกทำบ้าง.
3. เลือกกลุ่มผู้ป่วยที่ชัดเจนทั้งในขอบเขตทางภูมิศาสตร์และความต้องการบริการ โดยไม่เอาโรค เครื่องมือ ความเชี่ยวชาญเป็นตัวตั้ง.
4. จัดหน่วยบริการต่างๆ ให้สามารถตอบสนองความต้องการนั้นได้อย่างเป็นเอกภาพ และมีเอกลักษณ์ของตนเอง.
5. วัดความสำเร็จของหน่วยบริการที่ผลงานและผลลัพธ์อันสอดคล้องกับความต้องการของผู้ป่วย.
การประยุกต์แนวคิดของหนังสือเล่มนี้ ในบริบทการให้บริการสุขภาพของสังคมไทย มีข้อพิจารณาอีกหลายประการ เช่น
1. จะหาแรงจูงใจอะไรมากระตุ้นโรงพยาบาลในเมื่อช่องว่างระหว่างผู้รับบริการและผู้ให้บริการในด้านความรู้ความเข้าใจ ยังใหญ่มหึมา.
2. ในท้องถิ่นที่ประชาชนไม่มีทางเลือก ต้องพึ่งพาโรงพยาบาลรัฐเพียงแห่งเดียว อะไรคือแรงจูงใจให้โรงพยาบาลอยากพัฒนาบริการ ในเมื่อปัจจุบันลำพังให้มีแพทย์ประจำติดต่อกัน 3 ปี ระหว่างใช้ทุนก็นับว่ายากแล้วในพื้นที่ที่ประชาชนไม่มีอำนาจซื้อ.
3. ในพื้นที่ที่ประชาชนมีอำนาจซื้อ โรงพยาบาลรัฐจะผันเงินบริจาคที่มุ่งสร้างตึกและซื้อเครื่องมือ มาเป็นการพัฒนาทีมงานอย่างเพียงพอได้อย่างไร.
4. ในพื้นที่ที่ประชาชนมีอำนาจซื้อจำกัด รัฐควรลงทุน แต่จะลงทุนอย่างไรให้เกิดผลจริงจังยังไม่ชัดเจน ในเมื่อการเมืองยังไม่นิ่ง และมักแทรกแซงการตัดสินใจลงทุนโดยมิชอบ.
5. สปสช. และ third party payer อื่นๆ จะพัฒนากระบวนการกำกับ ตรวจสอบ และลงโทษผู้ให้บริการที่ฉ้อฉลอย่างไร เช่นกรณีจ่ายใต้โต๊ะให้คนนำส่งผู้บาดเจ็บแล้วฟัน 15,000 บาทแรกจากกองทุนคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถโดยให้บริการต่ำกว่ามาตรฐาน พอผู้บาดเจ็บใช้เงินจนหมดตามสิทธิก็ส่งต่อให้โรงพยาบาลรัฐรับภาระ เป็นต้น.
6. พรพ. จะทำอย่างไรให้โรงพยาบาลเกิดความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง โดยยึดผู้ป่วยเป็นที่ตั้ง แทนที่จะมุ่งเพียงเพื่อให้ได้ใบรับรองคุณภาพ.
(ศาสตราจารย์ นายแพทย์ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล)